Category Archives: รวมบทความ

รีวิว The Tinder Swindler

รีวิว The Tinder Swindler

รีวิว The Tinder Swindler สิบแปดมงกุฎทินเดอร์ หนังสารคดี netflixรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวความรักยุคใหม่ที่เป็นเหมือนเกมอันตรายในโลกของการหาคู่ออนไลน์ และสิ่งที่เห็นวิ้งๆ ปิ๊งวับอาจจะไม่ใช่ทองเสมอไป ชายหนุ่มในฉายา “The Tinder Swindler” ทั้งหลอกล่อและตบทรัพย์สาวๆ หลายคนไปหลายล้านดอลลาร์ แถมยังเป็นผู้ร้ายข้ามแดนในอีกหลายประเทศ ระวัง ปัดผิดชีวิตเปลี่ยน นี่คือเรื่องราวสวยหรูราวเทพนิยายในฝันของใครหลายคนที่กลายมาเป็นฝันร้าย มาติดตามกันว่าผู้หญิง 3 คนที่ตัดสินใจเอาคืนจะจัดการเรื่องนี้ยังไง

รีวิว The Tinder Swindler

ชีวิตในวัยเด็กเราล้วนถูกหล่อหลอมว่าการเติบโตมามีความ “ความรัก” ด้วยการเจอเจ้าชายรูปงาม หล่อ รวย น่าจะถือว่าเป็นนิพพานของหญิงสาวหลายๆคน แต่ใครจะไปคิดว่าการได้เจอชายในฝันอาจจะกลายเป็นฝันร้ายที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำไปยันวันตาย กับสารคดีสุดบันเทิงที่สนุกยิ่งกว่าหนังอาชญากรรมกับ The Tinder Swindler

ซิซีเลีย หนึ่งในหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกต้มตุ๋น มานั่งบรรยายชีวิตรักที่เธอตามหาจากโซเชียลมีเดียอย่างทินเดอร์มาตลอดทั้งชีวิต ว่าการจะค้นเจอ “ชายหนุ่มในฝัน” นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเปรียบชีวิตของตัวเองเสมือน “เบลล์” ใน Beauty and the Beast ฉบับวอลท์ ดิสนีย์ ที่คิดว่าสักวันเธออาจจะได้เจอเจ้าชายรูปงาม

ผู้หญิงอย่างซิซีเลียยังเปรียบเปรยว่าตัวเองเป็นผู้หญิงจากเมืองเล็กๆที่เฝ้าฝันจะมีความรักอันยิ่งใหญ่ไม่ต่างอะไรจากเบลล์ เธอได้เจอผู้ชายที่กำลังประสบปัญหาในชีวิตและเธอได้มีโอกาสจะช่วยเหลือเขาไว้ เช่นเดียวกันอสูรก็ได้ช่วยเบลล์ในอีกทางหนึ่ง ทั้งสองจึงได้เข้าสู่ชีวิตของกันและกันในที่สุด ถึงเธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องราวอันแสนคลาสสิกนี้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่มันก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเสมอ

การตามหาเจ้าชายชาร์มมิ่งในชีวิตจริงเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากๆ และผู้หญิงหลายคนบนโลกนี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ซิซีเลียสารภาพกับคนดูว่าเธอเล่นแอปฯ ทินเดอร์มานานกว่า 7 ปี แมตช์กับคนมากมายหลักพัน แน่นอนว่าเธอมองหาความสัมพันธ์ที่ยืนยาวมากกว่าแค่หาคู่นอน เธอยังหยิบยกประโยคจากหนังเรื่องดังที่มาริลิน มอนโร กล่าวเอาไว้ว่า “ไม่รู้เหรอคะว่า ผู้ชายรวยก็เหมือนผู้หญิงสวย คุณอาจไม่ได้แต่งงานกับผู้หญิงแค่เพราะเธอสวย แต่ให้ตายสิมันก็มีส่วนไม่ใช่เหรอ”

จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้ปัดทินเดอร์ไปเจอกับไซม่อน เลอไวฟ์ หนุ่มหล่อนักธุรกิจที่มีไลฟ์สไตล์หรูหรา ไม่ว่าจะเป็นภาพงานประชุม การพักผ่อนบนเรือยอร์ช หรือกระทั่งการนั่งเครื่องบินส่วนตัว ซิซีเลียแทบไม่คาดคิดว่าหลังจากที่เธอ “ปัดขวา” ไปเพียงไม่กี่นาที ไซม่อนจะตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “อยากมาเจอผม ก่อนที่ตัวเขาจะเดินทางออกจากลอนในวันพรุ่งนี้ไหม” แน่นอนว่า หลังจากคุยกันได้ไม่นาน ซิซีเลียจึงตัดสินใจไปพบกับเขา ที่โรงแรมหรูอย่างโฟร์ซีซั่นในกรุงลอนดอน

ระหว่างนัดทานกาแฟ ซิซีเลียก็ได้รับรู้ว่า ไซม่อนเป็นลูกชายของนักธุรกิจที่ดำรงตำแหน่งซีอีโอของแอลแอลดีไดมอนด์ ที่รับช่วงต่อมาจากรุ่นพ่อ อีกทั้งเขายังตรงไปตรงมาว่ามีลูกสาวแล้วหนึ่งคน แต่ได้แยกทางกับแม่ของเด็กแล้วเรียบร้อย  อีกทั้งงานของเขาทำให้ต้องเดินทางไปไหนมาไหนทั่วโลกตลอดเวลา เขาจึงยื่นข้อเสนอให้กับซิซีเลียว่าอยากจะไปบัลแกเรียระหว่างที่เขาไปเจรจาธุรกิจไหม แน่นอนว่าซีซิเลียไม่อยากจะปล่อยให้ผู้ชายคนนี้หลุดมือไป เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปกับเขา

รีวิว The Tinder Swindler

ดูเหมือนกับว่าช่วงเวลาที่ซิซีเลียได้อยู่กับไซม่อนในระยะเวลาสั้นๆ เธอสัมผัสได้ถึงความโรแมนติกของชายหนุ่มคนนี้ จนกระทั่งเมื่อเดทครั้งแรกจบลง ทั้งสองจึงพูดคุยติดต่อกันผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่าง WhatsApp อยู่ตลอด พร้อมกับที่ไซม่อนบอกความจริงเกี่ยวกับตัวเขาที่ว่า การทำงานอยู่ในวงการเพชรนั้นค่อนข้างอันตรายเนื่องจากมีศัตรูทางธุรกิจที่หมายหัวจะเอาชีวิตเขาอยู่ตลอดเวลา

เหตุการณ์ใน The Tinder Swindler ถูกตัดสลับมาเล่าผ่านเพอร์นิลล่า หญิงสาวอีกคนที่ได้พบกับไซม่อนผ่านทางทินเดอร์ และดูจะมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรจากซิซีเลีย ในเวลาต่อมา เมื่อผู้หญิงทั้งสองคนกำลังจะได้พบเจอเรื่องราวที่ระทึกที่สุดในชีวิต เมื่อฝ่ายชายได้ส่งภาพบอดี้การ์ดของตัวเองถูกจู่โจมจนบาดเจ็บ ก่อนจะเริ่มขอความช่วยเหลือจากฝั่งผู้หญิงด้วยการขอให้พวกเธอช่วยทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตที่เปิดขึ้นด้วยชื่อของพวกเธอเอง!

เรื่องราวอันแสนเหลือเชื่อยิ่งกว่าหนังโจรกรรม The Tinder Swindler พาเราไปสำรวจความฝันของหญิงสาวที่มองหาความรักอันแสนสุดโต่ง ราวกับเทพนิยาย เพราะเจ้าชายในยุคปัจจุบันคงไม่ต่างอะไรจากมหาเศรษฐี โดยที่พวกเธออาจจะไม่ทันได้ฉุกคิดว่า บางครั้งการได้เจออะไรที่ดีเกินจริงนั้น อาจจะมาพร้อมกับเบื้องหลังสุดสะพรึงเช่นกัน

เมื่อซิซีเลียและเพอร์นิลล่า เริ่มค้นพบความจริงที่ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นระดับเซียน แต่นั่นก็สายเกินแก้แล้ว เพราะบัญชีบัตรเครดิตที่ถูกสูบเงินออกไปจนเต็มวงเงิน ล้วนแล้วแต่ถูกใช้งานผ่านชื่อของพวกเธอเอง ดูหนัง

ระหว่างทางของ The Tinder Swindler คือการสำรวจห้วงอารมณ์ของเหยื่ออย่างซิซีเลียและเพอร์นิลล่า ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวชีวิตอันสุดแสนโรแมนติกชวนฝันให้กับคนดู ว่าทั้งคู่กำลังแจ็คพ็อตได้เจอเจ้าชายที่ตามหามาทั้งชีวิต แต่ทุกอย่างก็กลับพลิกผันกลายเป็นหนังระทึกขวัญ เมื่อความจริงได้ปรากฏขึ้น ในฐานะผู้ชมที่ได้นั่งฟังเรื่องราวของพวกเธอทั้งสองก็ได้แต่เซอร์ไพรส์ว่า เรื่องราวแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกของความเป็นจริงได้ด้วยหรือ (มีฉากไล่ล่าแบบหนังรถซิ่งด้วยนะเออ !)

ที่เด็ดดวงไปกว่านั้นคือองค์สุดท้ายของสารคดีที่มาพร้อมการพลิกสถานการณ์ เมื่อ “เหยื่อ” คนหนึ่งไม่ยอมจำนนอีกต่อไป ยังไม่รวมไปถึงบทสรุปที่พลิกตอนจบของหนังแฮปปี้เอนดิ้งในแบบที่เราเคยชมมานับครั้งไม่ถ้วน พร้อมกับความกวนโอ้ยของตัวผู้กำกับหญิงอย่างเฟลิซิตี้ มอร์ริส ที่เราไม่อยากสปอยล์เพราะอยากให้คุณไปสตรีมกันเอาเอง ว่าสารคดีเรื่อง “สนุก” ไม่แพ้หนังอาชญากรรมหลายๆเรื่องเลยทีเดียว

มาในเรื่องนี้ทีมผู้สร้างก็ยังแนวการเล่าเรื่องสนุกๆ กับอาชญากรรมออนไลน์แบบเดิม ซึ่งโครงเรื่องแนวหลอกให้รักจากโลออนไลน์ โดยเฉพาะแอปหาคู่อย่างทินเดอร์อาจจะเป็นอะไรที่คนดูคิดว่ามันมีเกลื่อนอยู่แล้วทั่วโลก แต่จุดเด่นของเรื่องนี้คือ อาขญากรที่ตัวสารคดีนำมาบอกเล่าเป็นการไล่ล่าอาชญากรระดับโลกใหญ่โตมากๆ

สรุป สิบแปดมงกุฎทินเดอร์ สนุกและดีไหม

มีหมายจับหลายประเทศ โดยยังคงใช้สูตรตัวละครชาวบ้านธรรมดาที่ตกเป็นเหยื่อ ไล่ล่ากลับไปยังตัวอาชญากรได้ในแบบเดียวกับที่  Don’t Fuck With Cats เคยทำเอาไว้ ซึ่งตำรวจแทบจะไม่ต้องสืบอะไรมากเพราะเหยื่อตามสืบข้อมูลให้มากมายแล้ว (เอาจริงๆ คดีแนวนี้ตำรวจทุกที่ก็ไม่ค่อยสนใจทำด้วย) ทำให้เรื่องราวที่ออกมาดูสนุก ตื่นเต้น เร้าอารมณ์ว่าเหยื่อจะตามเอาคืนอาชญากรที่หลอกพวกเธอด้วยวิธีไหน และขั้นตอนในการตามสืบกันเองเป็นอย่างไร โดยในเรื่องนี้ใช้คลิปจากเหตุการณ์จริงๆ ที่ถ่ายไว้ตอนวางแผนมาเปิดให้ดูด้วย

ในเรื่องนี้เริ่มจากหญิงสาว 2 คนที่ตกเป็นเหยื่อจากไซมอน (มีหลายชื่อ) หนุ่มหล่อที่อ้างว่าตัวเองเป็นทายาทมหาเศรษฐีในวงการค้าเพชร ซึ่งเหยื่อทั้งสองคนนี้อยู่คนละประเทศ แล้วก็ถูกหลอกพร้อมกัน สารคดีจะเล่าเรื่องที่อาจจะคล้ายกันของทั้งคู่มากว่าโดนหลอกจากไซมอนในแบบไหนผ่านทินเดอร์ แต่สิ่งที่ทั้งคู่แตกต่างกันมากคือ

เหยื่อคนนึงคือโดนหลอกให้รัก ส่วนอีกคนโดนหลอกให้เป็นเพื่อน ซึ่งหมอนี่อาจจะมีความสัมพันธ์แบบอื่นอีก แต่ในเรื่องจะนำความสัมพันธ์ปลอมทั้งสองแบบนี้มาเล่าคู่ขนานกันว่าทั้งคู่โดนหลอกพร้อมกันเพื่อเหตุผลอะไร ซึ่งต้องบอกเลยว่าหมอนี่คือสุดยอดอาชญากรโรแมนซ์ สแกม ที่เล่นกับความรู้สึกของคนอื่นได้อย่างสุดยอดมาก

ทั้งการวางแผนเป็นขั้นตอน การสร้างภาพให้เหยื่อเชื่อสนิทใจ มีทีมงานต้มตุ๋นค่อยช่วย หรือแม้แต่พนักงานโรงแรมหรูเองก็ยังเชื่อว่าหมอนี่คือทายาทมหาเศรษฐีจริงๆ และไม่ใช่แค่การหลอกเอาเงินเข้าตัวอย่างเดียว แต่ไซมอนเองเสพติดชีวิตหรูหราจากการหลอกลวงมากกว่าเป็นมิจฉาชีพที่หลอกเพื่อเงินแล้วชิ่งหนีเพียงอย่างเดียว

ตัวสารคดีเล่าเรื่องจากหญิงสาว 2 คน ที่โดนหลอก จนเมื่อพวกเธอรู้ความจริงก็นำเรื่องไปสู่นักข่าว ก็กลายเป็นการวางแผนเก็บข้อมูลเพื่อนำมาทำสกู๊ปเปิดโปงชิ้นใหญ่ ก่อนที่ข่าวชิ้นนี้จะโด่งดังมากมาย และทั้งคู่ก็ต้องเจอผลกระทบจากการออกมาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน ซึ่งจุดเด่นของทีมงานนี้ตั้งแต่

Don’t Fuck With Cats  ก็คือการถ่ายทอดอารมณ์ดราม่าของตัวละครในเรื่องออกมามากกว่าแค่เล่าเรื่องไปเฉยๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องเราอาจจะเธอเล่าเรื่องแบบดูสนุกไปกับการถ่ายทำสารคดี เหมือนเรื่องราวเหล่านี้ผ่านไปพ้นไปแล้วแบบเทพนิยายในฝันลวงๆ แต่แล้วกลับมีช็อตเปลี่ยนอารมณ์กลายเป็นเรื่องเศร้าที่เล่าไปพร้อมน้ำตา

อีกทั้งการที่คนในโลกโซเชียลส่วนหนึ่งกลับประณามตัดสินว่าพวกเธอผิดเพราะโลภ ดูคนแต่ภายนอก สารคดีได้เผยให้เห็นผลกระทบร้ายๆ กลับไปยังเหยื่อที่พยายามเปิดเผยเรื่องราวนี้แบบรอบด้าน แต่ในผลร้ายๆ นั้นก็ยังมีเรื่องดีๆ ตามมาเมื่อเรื่องราวโด่งดังจนนำไปสู่คนที่ให้เบาะแสข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขนมาถึงตัวเหยื่อคนที่ 3 ที่เป็นคนวางแผนโต้กลับเอาคืนไซมอนได้อย่างเจ็บแสบเช่นกัน ซึ่งตรงนี้คือจุดพีคของเรื่องราวในสารคดีนี้

แต่ก่อนที่เรื่องราวจะจบลงในแบบความยุติธรรมมีจริง สารคดีกลับทำให้เห็นว่าไม่จริงเสมอไป ซึ่งบอกเลยว่าตอนจบของเรื่องนี้อาจจะทำให้คนดูที่อินๆ กับเรื่องยิ่งเจ็บปวดกับบทสรุปในโลกความเป็นจริงที่โหดร้าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าความผิดตกอยู่กับทินเดอร์ ยังไงสารคดีเรื่องนี้ก็น่าจะช่วยเป็นกระบอกเสียงความยุติธรรมให้กับเหยื่อได้อีกทางเช่นกัน

สำหรับคนที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้ Tinder ขออธิบายข้อมูลพื้นฐานสักเล็กน้อย Tinder เป็นแอปสำหรับหาคู่ เมื่อเราเข้าใช้งาน ระบุเพศที่ต้องการหา ระยะทางในรัศมีกี่กิโลเมตร

แอปก็จะส่งภาพโปรไฟล์ของบุคคลที่เข้าข่ายความต้องการเรามาให้เลือก ถ้าคนไหนไม่ถูกใจก็ปัดซ้าย ถ้าถูกใจคนไหนก็ปัดไปทางขวา ทางคนที่เราถูกใจก็ปัดขวาภาพของเราเหมือนกัน แอปก็จะขึ้นคำเตือนว่า “Matched” แปลว่าเราและเขาถูกใจซึ่งกันและกัน จะมีสิทธิ์ในการส่งข้อความหากันได้ แล้วก็พูดคุยนัดหมายสานต่อไปกันเอง Tinder เป็นแอปสัญชาติอเมริกัน ถือกำเนิดมาได้ 10 ปีแล้ว ด้วยเหตุที่ใช้ง่ายจึงมีผู้คนนิยมใช้จำนวนมาก ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 75 ล้านคน

The Tinder Swindler เล่าเรื่องราวของ 18 มงกุฏนายหนึ่งที่ใช้ Tinder เป็นช่องทางหลักในการหลอกลวงหญิงสาวยุโรปจำนวนมาก ได้เงินไปนับสิบล้านเหรียญ อ่านพล็อตแล้วชวนให้นึกถึงหนังต้มตุ๋นที่ฮอลลีวูดสร้างกันออกมาหลายเรื่อง อย่างเช่น Dirty Rotten Scoundrel (1988), The Hustle (2019), Focus (2015) และอีกหลายเรื่อง

ที่ตัวเอกของเรื่องเป็น 18 มงกุฏมืออาชีพ สร้างภาพลักษณ์จอมปลอมของตัวเองขึ้นมาว่าเป็นมหาเศรษฐี จนเหยื่อตายใจแล้วค่อยสร้างสถานการณ์คับขันมีความเดือดร้อนต้องใช้เงิน แล้วขอความช่วยเหลือจากเหยื่อเป็นเงินทีละนิดทีละหน่อย จนเป็นตัวเลขรวมจำนวนหลายล้าน จนเราไม่คิดว่าในโลกจริง ๆ ก็มีคนที่ใช้วิธีแบบนี้หากินแล้วก็ใช้วิธีเดิม ๆ นี่แหละหลอกเหยื่อได้มากมายนับสิบราย

เพอร์นิลลา คนซ้าย และ ซีซิล คนขวา 2 สาวที่มาเล่าเรื่องราวประสบการณ์เลวร้ายของเธอ

หนังเดินเรื่องด้วยวิธีการสัมภาษณ์หญิงสาวผู้โชคร้าย ซีซิล (Cecilie Fjellhøy) และ เพอร์นิลลา (Pernilla Sjöholm) 2 รายสลับกันไปมา ตั้งแต่เริ่มสนใจใน Tinder จนกระทั่งมาเจอตัวร้ายของเรื่อง ไซมอน เลอไวฟ์ (Simon Leviev) ที่แนะนำตัวเองว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐี เจ้าของธุรกิจค้าเพชรชาวอิสราเอล เขาสนใจในตัวเธอ นัดเธอไปพบ พาพวกเธอนั่งรถโรลสรอยซ์ พาทานอาหารแพง ๆ ที่ชีวิตพวกเธอไม่เคยได้สัมผัส พาไปขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว จนพวกเธอตายใจว่านี่ฉันโชคดีได้มาพบกับเจ้าชายในฝัน แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ววิกฤตเลวร้ายที่สุดในชีวิตกำลังจะมาเยือนพวกเธอ

รีวิว The Tinder Swindler
ซีซิลกับไซมอน

แม้ว่า The Tinder Swindler จะถูกจัดว่าเป็น ‘หนังสารคดี’ แต่ไม่ใด้เป็นสารคดีที่ว่าด้วยเนื้อหาสาระด้านวิชาการ แต่เล่าเรื่องราวของ 18 มงกุฎกับเหล่าสาวผู้เคราะห์ร้าย ก็มีความน่าสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

The Tinder Swindler

พอดูไปได้ 15 นาที หนังก็เอาคนดูอยู่หมัด ถึงแม้ว่าเรารู้แล้วว่า 2 สาวนี้จะต้องตกเป็นเหยื่อ แต่ก็ยังชวนติดตามว่า ไซมอนจะใช้ไม้ไหนมาหลอกพวกเธอ แล้วเมื่อไหร่พวกเธอถึงจะรู้ตัว ไปจนถึงองก์สุดท้ายของเรื่อง ว่าในที่สุด ซีซิลกับเพอร์นิลลาจะมาเจอกันได้อย่างไร แล้วจะแก้แค้นเอาคืนไซมอนด้วยวิธีไหน

รีวิว The Tinder Swindler
ไซมอน เลอไวฟ์ หล่อ รวย สะอาด ดูเนี้ยบ สาวไหนก็หลงรัก

ต้องบอกว่าจุดสำคัญที่ทำให้การเล่าเรื่องราวของ The Tinder Swindler เดินหน้าไปอย่างมีสีสัน ก็ด้วย ซีซิล กับ เพอร์นิลลา เจ้าของเรื่องตัวจริงนี่แหละ ที่มานั่งเล่าเรื่องราวด้วยตัวของเธอเอง ด้วยอากัปกิริยาแบบสบาย ๆ เหมือนเราเป็นคู่สนทนาได้มาฟังเธอเล่าประสบการณ์สุดระทึกของเธอเอง แม้จะเป็นคนเดินดินธรรมดาหาใช่นักแสดงไม่ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของ 2 คนนี้ ก็สามารถดึงให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับเธอได้ ยิ้ม หัวเราะมีความสุขในตอนที่เธอเล่าถึงช่วงเวลามีความสุขกับไซมอน ร้องไห้เสียใจเมื่อรู้ว่าโดนหลอกแล้ว และยิ้มเยาะสะใจตอนที่คิดแผนเอาคืน

รีวิว The Tinder Swindler
เฟลิซิตี้ มอร์ริส (Felicity Morris)

และคนสำคัญที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยก็คือ เฟลิซิตี้ มอร์ริส (Felicity Morris) ผู้กำกับหญิง ที่ผ่านการเป็นผู้อำนวยการสร้างทีวีซีรีส์มาแล้ว 6 เรื่อง และ The Tinder Swindler คือผลงานกำกับเรื่องแรกของเธอ ซึ่งเธอก็สอบผ่านและทำได้ดีมากด้วย ต้องยอมรับนะครับว่า การทำสารคดีให้สนุก น่าติดตามนั้น ยากกกว่าการสร้างหนังมาก

เพราะมันต้องยึดอยู่กับความเป็นจริง ไม่มีสเปเชียลเอฟเฟกต์ ไม่มีบทสนทนาของตัวละคร แต่มอร์ริสเธอก็เอาอยู่ ถ้าคนดูจะต้องเห็นแต่หน้าของซีซิลกับเพอร์นิลลาที่มานั่งเล่าเรื่องของเธอตลอด 2 ชั่วโมง คงไม่มีใครดูจบเป็นแน่ จึงต้องมีภาพฟุตเทจสั้น ๆ แทรกมาประกอบการเล่าเรื่องแบบถี่ ๆ สลับกับคลิปสั้น ๆ และคลิปเสียงที่ไซมอนและ 2 สาวส่งให้กัน ทำให้หนังเดินหน้าไปอย่างราบรื่นไปจนถึงองก์สุดท้ายของหนัง กับการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญที่มีผลอย่างมากต่อเรื่องราว ที่พาไปสู่บทลงเอยของ ไซมอน เลวีฟ และเปลี่ยนโทนเรื่องไปเป็นการสืบสวนไล่ล่าไซมอน รีวิว The Tinder Swindler

หนังจบในสูตรสำเร็จของหนังที่สร้างจากเรื่องจริง ด้วยภาพนิ่งของบุคคลจริง แล้วคำบรรยายถึงสถานะล่าสุดของบุคคลเหล่านี้ ซึ่งต้องบอกเลยว่า เฮ้อ โลกเรานี้ช่างไร้ความยุติธรรมจริงจริ๊ง ไม่ว่าจะประเทศไหน ชาติไหน

เป็นสารคดีที่ให้ครบถ้วนทั้งสาระและบันเทิงครับ ดูเอาสนุกได้ แถมยังฝากข้อคิดไว้เตือนทุกคนด้วยว่า โลกเรานี้อยู่ยากนะ มีอันตรายแฝงอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งในแอปหาคู่ ที่พึ่งพิงของคนใจเปลี่ยว ก็ยังน่ากลัวเสียจริง

เป็นสารคดีความยาวเกือบสองชั่วโมงที่เล่าเรื่องสนุกมาก ทุกอย่างถูกวางจังหวะการเล่าการบิ้วอารมณ์ได้เป็นอย่างดี เป็นสารคดีที่สร้างออกมาได้ดีมากเรื่องหนึ่งของเน็ตฟลิกซ์ที่คอสารคดีห้ามพลาดโดยเด็ดขาดครับ รีวิวหนัง

รีวิว The Northman

รีวิว The Northman

รีวิว The Northman

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับเป็นหนังเรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นหนังในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนศตวรรษที่ 10 เจ้าชายแห่งนอร์ดิก ที่แปรผันเปลี่ยนตัวมาเป็นนักรบ ที่โหดเหี้ยมชื่อแอมเลธ (สการ์สการ์ด) แสวงหาการแก้แค้นอย่างนองเลือดต่อชายผู้รับผิดชอบต่อการสังหารบิดาของเขา (ฮอว์ค) และ ได้รับคำแนะนำเหนือธรรมชาติตลอดทาง

ดูหนัง The Northman (2022)  เดอะ นอร์ทแมน หลังจากผู้กำกับได้แจ้งเกิดเต็มตัวไปกับซีรีส์ The Queen’s Gambit หลังจากทีแรกนึกว่าปี 2020 จะไม่ใช่ปีที่สวยหรูสำหรับนักแสดงสาวดาวรุ่งอย่าง Anya Taylor-Joy ที่หนัง Emma. และ The New Mutants เจอพิษโควิดทำให้หนังไม่เปรี้ยงตอนเข้าโรงฉาย

สำหรับแฟน ๆ ของน้อง Joy ที่กำลังรอผลงานเรื่องต่อไป ก็ไม่ต้องรอนาน (แต่เธอก็เหมือนได้แพลตฟอร์มสตรีมมิง มาช่วยไว้ช่วงปลายปี) เพราะตอนนี้เธอกำลังถ่ายทำหนังเรื่อง The Northman ที่จะเป็นหนังรวมดาวนักแสดงแถมได้ผู้กำกับมือดีมากำกับด้วย เว็บดูหนัง

รีวิว The Northman

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องราวการสืบเชื้อ สายกษัตริย์ของเจ้าชายแอมเลธ (อเลกซานเดอร์ สการ์สการ์ด) ตั้งแต่ที่เขาได้เห็นลุงของตัวเองฆ่าพ่อของเขาเพื่อขึ้นครองราช การหนีเอาชีวิตรอดในวัยเด็กทำให้ แอมเลธ ถูกเลี้ยงดูโดยเผ่าวัยกิ้งแล้วเขาหวังว่าสักวันหนึ่งจะแก้แค้นให้พ่อได้สำเร็จ ในระหว่างนั้นการเดินทางของเขาก็ถูกลิขิตให้พบกับ โอลก้า (แอนยา เทย์เลอร์‑จอย)

หญิงสาวที่ต้องร่วมเดินทาง และ กลายเป็นราชินีของเขาเข้าสักวัน นอกจากนั้นเขายังต้องปลดปล่อยทาส และ แม่ (นิโคล คิดแมน) เป็นอิสระในการสำรวจตำนานนอร์ดิกที่มีความทะเยอทะยาน มีการบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ — ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับแนวคิดของ Marvel ใน แฟรนไชส์ ​​Thorจะรู้จักชื่อต่าง ๆ เช่น Odin หรือ Freyja — แต่นี่เป็นเรื่องราวที่โหดร้ายของมนุษย์เป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายคนหนึ่ง: Prince Amleth สัตว์ร้ายของนักรบที่เล่น ด้วยความดุร้ายโดยAlexander Skarsgård เขาเดินผ่านหน้าจอ ไหล่ก้มไปข้างหน้า และรับน้ำหนักของการฆ่าทุกอย่างที่เขาทำตั้งแต่หนีออกจากบ้านเป็นลูกหลังจากได้เห็นการฆาตกรรมพ่อของเขา King Aurvandil ( Ethan Hawke ) โดยลุง Fjölnir (Claes Bang)

ในการย้ายอำนาจเพื่อเข้ายึดครองอาณาจักร ของพวกเขาในภาคเหนือ ถ้าเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนแฮมเล็ตนั่นเป็นเพราะว่า Eggers และ ผู้ร่วมเขียนบทของเขา กวีชาวไอซ์แลนด์ Sjón ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวเดนมาร์กสมัยศตวรรษที่ 12 เรื่องเดียวกันกับ Shakespeare แต่ทั้งสองได้ผสมผสานเรื่องราวลึกลับของนิทานไอซ์แลนด์อย่างเชี่ยวชาญในบทละครตลกขบขันห้าบทที่มีหลายชั้นหลายชั้น ดูหนัง

เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ในครอบครัว ความโรแมนติกป่าเถื่อน และ ความรุนแรงที่กระหายเลือด ซึ่งหลังจากผ่านไปสองชั่วโมงครึ่ง จิตใจ ร่างกาย และ จิตวิญญาณของคุณอาจ เพียงแค่ต้องการอ่างน้ำแข็งเพื่อฟื้นตัว

บทสรุป The Northman

รีวิวหนังมาใหม่ ฉากแอ็คชั่นแต่ละฉาก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนด้วยความแม่นยำ และ ความลึกของออกเทนสูงโดยช่างภาพ Jarin Blaschke ที่ไม่ต้องเสียประสิทธิภาพการทำงานไปโดย เปล่าประโยชน์ ในฉากเดียว กล้องติดตาม Amleth คำรามเข้าสู่การกระทำ วิ่งไปที่แคมป์ ในขณะที่หอก และ ลูกธนูพุ่งผ่านร่างที่เปลือย เปล่าของเขา ก่อนที่เขาจะพุ่งขึ้นไปบนกำแพงไม้สูง ลากตัวเองไป แล้วใช้ขวานไปชนกับหัว คอ และ ด้านหลังของฝ่ายตรงข้าม หลายคน ต่อมา ขณะที่เขาเดินด้อม ๆ มอง ๆ ไปทั่วหมู่บ้าน

และ ถูกยิง เราได้เห็นความรุนแรงที่โหดร้ายอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งมาเยี่ยมเยียนผู้หญิง และ เด็กที่ป้องกันตัวไม่ได้ ก่อนที่เขาจะกลับไปที่เฟรมด้วยรูปแบบ การฆาตกรรม ใช้เวลานานเช่นนี้ พร้อมด้วยนักแต่งเพลง Robin Carolan และ Sebastian Gainsborough ที่เต้นเป็นจังหวะ จังหวะกลอง และ โน้ตต่ำเน้นย้ำภาพป่าเถื่อน และ ความโหดร้ายที่ไม่เอื้ออำนวยของเวลาเหล่านี้

ผู้กำกับ Robert Eggers The Northman จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานไวกิ้งในศตวรรษที่ 10 โดยจะเป็นการผจญภัยของเจ้าชายนอร์ดิคผู้ตามล้างแค้นให้กับพ่อที่ถูกสังหาร มีฉากหลังเกิดขึ้นในประเทศไอร์แลนด์

โดย Alexander Skarsgård จาก The Legend of Tarzan (2016) จะรับบทเป็นเจ้าชาย และ Nicole Kidman นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์จะรับบทเป็นแม่ (ทั้งคู่เคยร่วมจอแก้วกันมาแล้วในซีรีส์ Big Little Lies ของ HBO)

Nicole Kidman และ Alexander Skarsgård จากซีรีส์ Big Little Lies กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง หนังยังสมทบด้วยนักแสดงมากฝีมืออย่าง Willem Dafoe จาก The Light House (2019) และ Spider-Man (2002), Ethan Hawke

จากหนังไตรภาค Before Sunrise (1995-2013), Bill Skarsgård จาก It (2017-2019), Björk ยอดศิลปินหญิงแห่งไอซ์แลนด์ รวมถึง Ralph Ineson กับ Kate Dickie ผู้รับบทพ่อแม่จาก The VVitch (2015) ผลงานเก่าของผู้กำกับก็กลับมาด้วยเช่นกัน

Björk ยอดศิลปินหญิงแห่งไอซ์แลนด์
หนังจะเป็นผลงานของผู้กำกับ Robert Eggers จาก The VVitch ที่เป็นหนังแจ้งเกิดทั้งตัวผู้กำกับเอง และ Taylor-Joy ซึ่งทำให้ทั้งเขา และ เธอสนิทกันจนได้กลับมาร่วมงานกันในหนังเรื่องล่าสุดนี้ด้วย

ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันมากกว่าที่จะเป็นเพื่อนร่วมงาน การได้มีโอกาสร่วมสร้างหนังด้วยกันอีกครั้งเป็นอะไรที่สุดยอดมาก เราทั้งคู่ต่างเติบโตกันไปคนละทิศละทาง และ ตอนนี้เราได้กลับมาร่วมทางกันอีกครั้ง ฉันดีใจ และ ภูมิใจมาก ๆ ค่ะ”

ถือว่าผู้กำกับจะได้ยกระดับสเกลหนังของตัวเอง จากสองเรื่องก่อนหน้าที่มีมีตัวละครน้อยตัว และ เหตุการณ์เกิดในพื้นที่เล็ก ๆ แต่หนนี้นักแสดงเบอร์ใหญ่หลายคน และ โพรดักชันก็อลังการไม่น้อย (ดูจากเรื่องย่อ)

ย่อมเป็นความท้าทายสำหรับผู้กำกับหนุ่มอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าEggers จะต้องใส่ทั้งความแปลก ความหลอน ความคลั่งลงไปในหนังแบบจัดเต็มไม่แพ้ผลงานเรื่องก่อนหน้าอย่าง The Lighthouse (2019) (Nicole Kidman เพิ่งออกมาเล่าว่า เธอรู้สึกผวากับบรรยากาศในกองถ่ายไปแล้วเรียบร้อย)

นอกจากนี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง Collider เธอได้กล่าวว่า หนัง The Northman จะเป็นหนังที่นำเสนอด้วยวิธีการที่โลกยังไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้หนังพักกองถ่ายซึ่งถ่ายทำกันอยู่ที่ประเทศไอร์แลนด์เพราะโควิด-19 กลับมาระบาดหนักในพื้นที่นั้นอีกครั้ง The Northman ยังไม่มีกำหนดฉายในตอนนี้แต่คาดว่าน่าจะภายในปี 2021 แน่นอน เว็บหนัง

 

รีวิว The Ice Road

รีวิว The Ice Road

รีวิว The Ice Road

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับทุกวันนี้มีหนังออกใหม่ทุกๆวันจนตอนนี้เรียกได้ว่าดูยังไงดูทั้งชีวิตก็ไม่หมด -.- โดยถ้าเราจะพูดถึงหนังที่มี เลียม นีสัน นำแสดง คงร่ายได้ชื่อมายาวเป็นหางว่าว แต่ละเรื่องล้วนเข้าฉายในไทย ส่วนใหญ่เป็นหนังแนวแอคชันที่แทบจะเรียกได้ว่า ตรงใจกับคอดูหนังชาวสยาม หนังสไตล์ที่เหมาะกับชายคนนี้ มีทั้งความดุดัน ขึงขัง และ มีความเท่อยู่ในบุคลิก คราวนี้ก็เช่นกัน ลุงเลียมมาในมาดคนขับรถบรรทุกที่ได้รับงานขับผ่านทะเลน้ำแข็ง ในหนังเรื่อง ‘The Ice Road เหยียบระห่ำ ฝ่านรกเยือกแข็ง’ ครับ

เป็นแอคชันที่ทั้งเขียนบท และ ทั้งกำกับโดย Jonathan Hensleigh คนที่เคยเขียนบท และ กำกับ ‘The Punisher’ เคยเขียนบท ‘Die Hard: With a Vengeance’, ‘Next’, ‘Jumanji (1995)’ และ เคยเขียนโครงเรื่องของ ‘The Saint’ และ ‘Armageddon’ ก็เรียกได้ว่ามีผลงานมากพอสมควรเลย เว็บดูหนัง

รีวิว The Ice Road

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องย่อ ‘ไมก์’ (Liam Neeson) คนขับรถ 18 ล้อมากประสบการณ์ที่ต้องฝ่ามรสุมเข้าไปช่วยชีวิตชาวเหมืองหลังจากเหมืองเพชรที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแคนาดาเกิดถล่ม เขาต้องเร่งนำทีมกู้ภัยซิ่งข้ามมหาสมุทรเยือกแข็งเพื่อช่วยเหลือชาวเหมืองที่ติดอยู่ใต้ดินก่อนที่ออกซิเจนจะหมด พร้อมฝ่าทุกอุปสรรคเพราะสภาพอากาศที่เลวร้ายไม่ใช่อันตรายเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องเผชิญหน้า

ไมก์ และ ‘จิม’ (Laurence Fishburne) จึงต้องนำขบวนรถบรรทุก ซิ่งข้ามมหาสมุทรเยือกแข็งระยะทางกว่า 300 ไมล์ ที่กำลังจะละลาย ฝ่าภูมิประเทศ และ ภูมิอากาศที่โหดร้ายอย่างกับนรกภายในระยะเวลาจำกัดเพียง 30 ชั่วโมง เพื่อขนส่งบางสิ่งบางอย่างไปช่วยคนงานในเหมืองใต้ดินให้รอดตาย ซึ่งนอกจากพวกเขาจะต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติที่ยากต่อการเอาชนะแล้ว ก็ยังมีภัยบางอย่างที่กำลังจะมาทำให้ภารกิจยากยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก

‘The Ice Road’ หรือ ‘เหยียบระห่ำ ฝ่านรกเยือกแข็ง’ ในชื่อภาษาไทย เป็นผลงานการกำกับของ ‘โจนาธาน เฮนสเลก’ (Jonathan Hensleigh) ผู้กำกับ และ ผู้อำนวยการสร้างที่เคยผ่านงานแอ็กชันที่เรียกได้ว่าแต่ละเรื่องนี่ ถือว่าระดับเป้ง ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่ ‘Con Air’ (1997), ‘Armageddon’ (1998) และ ‘Gone in 60 Seconds’ (2000) พร้อมกับ ‘มาร์ก เวนสโลว์’ (Mark Vanselow) สตันต์ และ นักออกแแบบคิวบู๊คู่ใจลุงเลียม นีสันมาร่วมออกแบบงานแอ็กชันเย็นยะเยือกในครั้งนี้ด้วย แล้วที่สำคัญคือ ตอนนี้ Netflix รีบประมูลหนังเอาเข้ามาให้ดูกันผ่านทางสตรีมมิงเรียบร้อยแล้วด้วย แต่ว่าตอนนี้น่าจะดูได้เฉพาะในต่างประเทศนะครับ Netflix ภาษาไทยยังไม่มี

รีวิว The Ice Road

แต่แม้ว่ามันจะมีให้ดูกันผ่านสตรีมมิง (ส่วนของไทยก็น่าจะเร็ว ๆ นี้แหละ) แต่สิ่งที่ผู้เขียนเองอยากแนะนำก็คือ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เหมาะกับการดูในโรงภาพยนตร์ครับ ไม่ได้ว่าจะอะไรนะครับ แต่ด้วยแอ็กชันของตัวหนังที่่ว่าด้วยเรื่องของการทำภารกิจผจญภัยสไตล์บู๊บนรถบรรทุก ภายใต้บรรยากาศเย็นเยือกแข็งแบบนี้ การดูในโรงน่าจะเป็นอะไรที่เหมาะมาก ๆ เพราะนอกจากจะได้ซึมซับภาพ และ เสียงแอ็กชันได้อย่างเต็มที่แล้ว น่าจะได้ซึมซับกับแอร์โรงหนังที่น่าจะหนาวสู้กับความหนาวในหนังได้อะไรแบบนั้นเลย น่าจะได้บรรยากาศไปอีกแบบ (แซวนะครับ 555)

ตัวหนังเองจริง ๆ แล้วในแง่ของบท จริง ๆ ถ้าใครที่ดูตัวอย่างก็อาจจะรู้สึกเหมือนผู้เขียนว่า มันจะมีอะไรไปมากกว่าการขับรถฝ่าผืนน้ำแข็งที่กำลังจะแตกมั้ยว้า ซึ่งพอดูแล้วก็ถือว่าโอเคครับ เพราะว่ามันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่ามันจะถูกดึงมาเป็นไฮไลต์ก็เถอะนะ แต่โดยรวมของหนังก็ถือว่าออกมาเป็นหนังแอ็กชันกึ่ง ๆ ผจญภัย กึ่ง ๆ ทริลเลอร์ที่เล่าผ่านเรื่องราวของการเดินทางด้วยรถบรรทุกขนาดยักษ์

และ แน่นอนว่า ในพาร์ตแอ็กชัน คนที่หวังว่าอยากเห็นลุงเลียมกลับมาบู๊ดุเดือด ก็น่าจะไม่ผิดหวังล่ะครับ เพราะคราวนี้ลุงเลียมที่ตอนแรกดูทรงแล้วจะไร้พิษสง เป็นตาลุงตกอับขับรถบรรทุกที่มีน้องชายป่วยอาการทางจิต แต่พอเข้าโหมดแอ็กชัน ลุงเลียมก็ใส่มาเต็มแบบไม่กลัวอายุกันเลย อาจจะไม่ได้ตะลุยเดี่ยวเป็นฮีโรเก่งโคตรเวอร์แต่ก็เรียกได้ว่าบู๊ดุเดือดแบบที่แฟน ๆ ลุงเลียมน่าจะไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะฉากรถจมน้ำ ที่ทีมงานใช้วิธีแช่น้ำแข็งแล้วเอารถลงไปหย่อนจริง ๆ ซึ่งลุงเลียมแกก็ต้องลงไปดำผุดดำว่ายในบ่อน้ำแข็งด้วยจริง ๆ (เบื้องหลังคือให้ลุงแกดำน้ำลงไปทีละ 10-20 วินาที) นี่ก็เรียกได้ว่าสปิริตแรงกล้า สมกับเป็นเดอะแบกหนึ่งเดียวของหนังจริง ๆ เพราะแม้จะมี ‘ลอว์เรนซ์ ฟิซเบิร์น’ ร่วมด้วย แต่ก็มาสั้นมากเกินกว่าจะมีบทบาทเด่นชัดเจน

รีวิว The Ice Road

ส่วนอีกจุดที่อยากพูดถึงก็คือความเวอร์ครับ ไม่อยากพูดถึง “พี่ดอมรถซิ่ง” แต่ก็ต้องพูดถึงอีกแล้วแหละ เพราะเอาจริง ๆ หนังเรื่องนี้ก็จัดได้ว่ามีความเวอร์อยู่พอควรนะครับ แถมยังเกี่ยวกับรถเหมือนกันอีก คือในหนังเราจะได้เห็นอะไรบางอย่างที่แอบเวอร์อยู่ไม่น้อยทีเดียว เช่นความพยายามพลิกรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่ล้มตะแคงให้กลับมาวิ่งต่อได้ การโดดปีนขึ้นรถที่กำลังวิ่ง หรือแม้แต่ตัวละครที่เหมือนจะตายแต่ก็ดันไม่ตาย อะไรแบบนี้ คือแน่นอนว่า มันคงไม่เวอร์ระดับรถซิ่งเรื่องนั้น แต่มันก็มีความเวอร์อยู่นิด ๆ แหละ ซึ่งถ้าจะดูเอาความบันเทิงก็โอเคล่ะครับ

พาร์ตดราม่าก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่หนังเรื่องนี้ใส่เข้ามา โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว (ยิ่งเขียนรีวิวไปก็ยิ่งนึกถึงหนังรถซิ่งทุกทีสิน่า 555) คือตัวของลุงเลียมเองจะมีน้องชายเป็นทหารผ่านศึกที่ประสบปัญหาทางจิตจนได้รับการกระทบกระเทือน แต่มีทักษะด้านซ่อมรถขั้นเทพ ส่วนตัวนางเอกนักขับรถบรรทุกอย่าง ‘แทนทู’ (Amber Midthunder) ที่อยากอาสาเข้ามาร่วมขับรถแบบไม่ลังเล เพราะมีพี่ชายเป็นหนึ่งในคนงานที่ติดอยู่ใต้เหมืองใต้ดิน

ซึ่งจริง ๆ แล้วโดยโครงสร้างพล็อตก็ถือว่าไม่ได้มีอะไรใหม่นะครับ เป็นพล็อตสไตล์หนังแอ็กชันยุค 90’s ที่มีพระเอกนางเอกที่ยึดมั่นในความถูกต้อง กับผู้ร้ายขี้โกง และ ฝ่ายผู้มีอำนาจที่ดูไม่ยี่หระไม่นำพาอะไรกับวิกฤติใหญ่ที่อยู่ภายนอกห้องทำงาน นั่นเลยทำให้ตัวพล็อตหนังโดยรวมทั้งพาร์ตแอ็กชัน และ ดราม่าก็เลยไม่ได้ถึงกับสดใหม่ แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่น่าเกลียด ยังมีปมดราม่าน้องชายให้ได้เอาใจช่วย กับแอ็กชันบู๊แหลกสไตล์ลุงเลียมให้ได้พอได้ลุ้นได้สนุก แม้ว่าบางจุดจะแอบเชยจนพอจะเดาได้บ้างก็เถอะ ดูหนัง

บทสรุป The Ice Road

รีวิวหนังมาใหม่ นอกจากข้อสังเกตเรื่องพล็อตแล้ว อีกจุดที่ผู้เขียนเองมองข้ามไปไม่ได้จริง ๆ ก็คือเรื่องของซีจี ที่แม้ว่าพาร์ตแอ็กชันบางส่วนจะทุ่มทุนสร้าง แต่หลาย ๆ ส่วนโดยเฉพาะฉากแอ็กชันเวอร์ ๆ หรือพวกระเบิด ก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่ซีจีหลาย ๆ ส่วนไม่เนียนเอาซะเลย ยังมีอาการลอย ๆ หรือปั้นโมเดลผิดสัดส่วนอย่างเห็นได้ชัดอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เยอะจนน่าเกลียด ยังพอจะถู ๆ ไถ ๆ กับสเปเชียลเอฟเฟกต์โดยรวม ๆ ได้

โดยรวม ๆ แล้ว ผู้เขียนเองก็ยังอยากเชียร์ให้ไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์กันนะครับ ไม่ได้ว่าจะอะไรนะครับ แต่เชื่อว่าหนังแอ็กชันระดับนี้ การจะดูให้ได้ภาพ และ เสียงให้ได้อารมณ์ และ สนุกไปกับหนังได้ การดูในโรงหนังก็น่าจะดึงดูดความรู้สึกได้ดีกว่า แม้ว่าตัวพล็อตเองจะไม่ใหม่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นแอ็กชันที่ดูเอามัน ดูเอาลุ้นได้ แถมยังได้บรรยากาศหนาวเหน็บจนฉี่จะราดอย่างแน่นอน เว็บหนัง

จุดเด่น
– ลุงเลียม นีสัน บู๊ดุเดือดมาก แฟน ๆ น่าจะไม่ผิดหวัง
– แอ็กชันบู๊ดุเดือดตายยากสไตล์หนังแอ็กชันยุคเก่า แอบเดาได้ แต่ก็ยังมีจุดให้สนุกลุ้นได้
– มีปมดราม่าความสัมพันธ์ในครอบครัว กับความไว้วางใจแทรกแต่พองาม
– ดูในโรงน่าจะเหมาะกว่า เพื่อให้ได้บรรยากาศ และ ความหนาวแบบถึงใจ

จุดสังเกต
– มีความเวอร์ไปบ้าง (แต่ก็คงไม่เท่ากับหนังรถซิ่งเรื่องนั้นแล้วล่ะนะ)
– ซีจีบางจุดยังไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่
– งานนี้ ลุงเลียมคือเดอะแบกหนึ่งเดียวของจริง

RELEASE DATE 28/10/2021
แนว แอ็กชัน/ระทึกขวัญ
ความยาว 1.48 ชม. (108 นาที)
เรตผู้ชม PG-13
ผู้กำกับ Jonathan Hensleigh (โจนาธาน เฮนสเลก)

 

รีวิว Promising Young Woman

รีวิว Promising Young Woman

รีวิว Promising Young Woman

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับหนังรักอินดี้เรื่องนี้ที่แอดอยากเล่า เรื่องราวของ Cassie จากการสูญเสียเพื่อนที่เป็นที่รักอย่าง Nina ไป เธอลาออกจากคณะแพทย์ และ มาทำงานเป็นลูกจ้างร้านกาแฟ แต่ในบางราตรี เธอก็แปลงร่างเป็นสาวแซ่บแกล้งเมา รอตะครุบเหยื่อสุภาพบุรุษที่หวังดีแต่ฉวยโอกาสลวนลาม และ ข่มขืนผู้หญิงที่เมาไม่ได้สติในผับบาร์อย่างเธอ หนังเล่าเรื่องราวชีวิตของ Cassandra หรืออีกชื่อก็คือ Cassie (Carey Mulligan เป็นผู้เข้าชิงออสการ์จาก An Education) ที่ยังไม่สามารถ move on เว็บหนัง

วันหนึ่ง Cassie ได้เจอกับคุณหมอ Ryan (Bo Burnham จาก The Big Sick) เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนแพทย์ ทำให้เธอได้ทราบข่าวคราวของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ที่เคยทำลายชีวิตของ Nina ว่า คนเหล่านั้นกำลังมีชีวิตที่ดี ทั้งชีวิตครอบครัว และฐานะหน้าที่การงาน เธอจึงเริ่มปฏิบัติการล้างแค้นคนเหล่านั้นเป็นรายคน ตั้งแต่ Al Monroe (Chris Lowell จาก The Help) ผู้ที่ทำลายชีวิต Nina โดยตรง, ​Madison (Alison Brie จาก The Post) เพื่อนสาวผู้ ignorant, คณบดีที่เข้าข้าง Al เพิ่งเพราะเขาเป็นนักศึกษาชายอนาคตไกล, ผู้พิพากษา ? ผู้ตัดสินให้ Al ได้รอดพ้นผิด ฯลฯ

รีวิว Promising Young Woman

รีวิวหนังมาใหม่ แคสแซนดรา (แครีย์ มัลลิแกน) สาวร้านขายขนมผู้มีงานอดิเรกคือการออกเที่ยวกลางคืน และ แกล้งเมาเพื่อล่อลวงผู้ชายที่หวังดีประสงค์ร้ายต่อร่างกายของสาว ๆ ที่ไร้สติไปแก้แค้นเมื่ออยู่เพียงตามลำพัง การแก้แค้นของเธอดำเนินต่อไปโดยซ่อนปมในอดีตสมัยที่เธอยังเป็นนักเรียนแพทย์เอาไว้ จนกระทั่งเธอได้พบ ไรอัน (โบ เบิร์นแฮม) เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียน ที่นำพาทั้งความโรแมนติก และ การระลึกถึงบาดแผลในอดีตกลับมาให้ชัดเจนอีกครั้ง การแก้แค้นมากชั้นเชิงนี้จะจบอย่างไร? ความรักจะเปลี่ยนเธอให้รู้จักการอภัยได้หรือไม่? ต้องติดตาม

หลังจากเวทีลูกโลกทองคำประกาศผู้เข้าชิงสำหรับปี 2021 หนังเรื่อง Promising Young Woman ก็กลายเป็นที่จับตามอง ด้วยการที่หนังสามารถเข้าชิงถึง 4 รางวัลในสาขาหลัก ทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมฝั่งดราม่า รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมและ รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากฝีมือกำกับ และ เขียนบทครั้งแรกของ เอมเมอรัลด์ เฟนเนลล์ ผู้ที่เราอาจคุ้นหน้าจากผลงานการแสดงของเธอมากกว่า จากบท คามิลลา ในซีรีส์ The Crown ซีซันล่าสุดทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งสำหรับงานเบื้องหลังเธอก็ฉายแสงไม่ธรรมดาตั้งแต่งานชิ้นแรกทีเดียว

รีวิว Promising Young Woman

เอมเมอรัลด์ เฟนเนลล์ (เสื้อคลุมขาวตรงกลาง) และรางวัลสุดท้ายที่หนังเข้าชิงคือรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ของ แครีย์ มัลลิแกน ซึ่งเธอเคยเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงมาแล้วทั้งเวทีออสการ์ และ ลูกโลกทองคำจากหนัง An Education (2009) และนี่เป็นอีกครั้งที่เธอเล่นในหนังของผู้กำกับหญิงเก่งและโชว์ฝีมือการแสดงได้น่าสนใจ

ต้องยอมรับว่าเมื่ออ่านเรื่องย่อเรามีความคาดเดาประมาณหนึ่งว่านี่จะเป็นหนัง พลังหญิงในแนว ล่า ที่ออกตามแก้แค้นพวกผู้ชายที่เคยทำร้ายสตรีเพศทั้งหลาย กลิ่นคาวเลือด และ ความบ้าคลั่งแบบหนังเกรดบีแทบจะลอยออกมาผ่านตัวอักษรได้เลย

ฉากที่ยั่วล้อ โจ๊กเกอร์ ของค่ายดีซี สะท้อนภาพคนธรรมดาที่บ้าคลั่งเพราะความอยุติธรรม แต่ทว่าเมื่อหนังเล่าผ่านไปได้เพียง 20 นาที เราก็จะรู้ตัวทันทีว่าเรา พลาด และ มองผิดไปไกลโขอยู่ เพราะไม่เพียงการแก้แค้นของตัวเอกจะไม่ได้แขยงสายตาแล้ว มันยังเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมทางจิตใจ และ หักความรู้สึกผู้ชมได้อย่างน่าปรบมือให้ ต้องยอมรับการหลอกล่อผ่านบทหนังที่มีกลิ่นตลกร้ายให้หัวเราะในลำคอได้ตลอด

รวมถึงการนำเสนอที่แยบคายของเฟนเนลล์ที่กระแทกคำถามใส่ในใจผู้ชมได้ตลอดเรื่อง เกี่ยวกับนิยามคำว่าสุภาพบุรุษ และ ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเราจะเป็นคนดีจริง ๆ หรือเปล่า? ซึ่งมันก็กลายเป็นว่าหนังมันสมเหตุสมผลสุด ๆ ขณะเดียวกันก็แสบสันต์ชวนสะใจสำหรับผู้ชมได้อย่างดี

แม้การปรากฏตัวของ ไรอัน เพื่อนหนุ่มแสนดีสมัยเรียนของตัวเอก จะไม่ได้เป็นสิ่งเกินคาดเดาว่าเขาจะพาเรื่องไปอย่างไร และ จะมีบทสำคัญในช่วงหลังอย่างไร ทว่าในความเดาได้นั้น เฟนเนลล์ก็ยังเก็บลูกไม้ในรายละเอียดที่เราคาดไม่ถึง อัดใส่เราได้เรื่อย ๆ อยู่ดี

รีวิว Promising Young Woman

และ การที่เฟนเนลล์ดึงนักแสดงสายเดี่ยวไมโครโฟนอย่าง โบ เบิร์นแฮม ที่มีผลงานตลกเวที และ งานเบื้องหลังที่ประสบความสำเร็จสูง อย่างการกำกับ และ เขียนบทหนัง Eighth Grade (2018) ที่กลายเป็นหนังแห่งปีของ AFI มารับบทไรอัน มันก็ลงตัวเหมาะเจาะ เมื่อต้องการผู้ชายสักคนที่ภาพลักษณ์ดูสะอาด และ ไร้พิษภัย ซึ่งเบิร์นแฮมก็แทบจะเป็นไรอัน ที่คนดูไว้ใจได้แทบจะทันทีที่ปรากฏตัว โดยไม่ต้องแสดงอะไรมากมายเลย เว็บดูหนัง

โบ เบิร์นแฮม ผู้กำกับสายรางวัลดาวรุ่งที่มาร่วมแสดง แต่หากจะชื่นชมการแสดงในเรื่องนี้แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องยอมรับว่า แครีย์ มัลลิแกน คือคนที่โดดเด่นในหนังที่สุด แม้ว่าบทหนังจะไม่ได้อำนวยให้เธอได้โชว์เทคนิคมากมายนักในบางช่วงเวลา แต่เมื่อหนังต้องการความลึกในการแสดง เธอก็สามารถเฉิดฉาย และ ทำให้เราจดจำเธอในฉากนั้นได้อย่างไม่พลาดสักนาที ไม่ว่าจะการใช้สายตานิ่ง ๆ จ้องใส่เหยื่อหนุ่มที่หลงกลติดกับอยู่กับเธอสองต่อสอง

จนผู้ชมเองยังต้องหงอตาม หรือช่วงที่เผยปมดราม่าในใจอันซับซ้อนของเธอที่บางครั้งขัดแย้งกันเองระหว่างการล้างแค้นหรือการให้อภัย ตลอดจนบรรดาสายตาผิดหวังในมนุษย์ที่ภายนอกดูเป็นคนดีเสียเหลือเกิน แต่ภายในกลับช่างเหม็นเน่า ทำให้หนังเป็นมากกว่าหนังล้างแค้นไปมากทีเดียว และ ถ้าว่าไปมัลลิแกนมองการแสดงหลายเฉดในหนังเรื่องเดียวได้น่าทึ่งมาก ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นหญิงใสซื่อที่ตกหลุมรักหรือหญิงโรคจิตที่หมกมุ่นกับการล้างแค้น เธอทำให้เราเชื่อได้หมดแม้จะเป็นฉากที่อยู่ถัดกันเลยก็ตาม

สรุป Promising Young Woman

รีวิวหนังมาใหม่ สิ่งที่สุดท้ายที่คงต้องขอชมคือการออกแบบศิลป์ และ การถ่ายภาพที่พยายามสะท้อนสัญญะบางอย่างให้เราได้ขบคิด เช่นการวางกรอบสี่เหลี่ยมไว้หลังนางเอกเพื่อให้นางเอกยื่นหน้าผ่านเส้นขอบสมมติออกไป ในฉากที่นางเอกเกิดการเปลี่ยนแปลงทลายกำแพงในใจบางอย่าง หรือการใช้ทรงผมของนางเอกเพื่อเผยปรากฏการณ์ภายในใจของตัวเอกในแต่ละช่วงเวลาของพัฒนาการในหนังก็นับว่า คิดมาถี่ถ้วน และ ตั้งใจไม่น้อยทีเดียว คือดูเรื่องราวของหนังก็สนุก ดูรายละเอียดการออกแบบหนังเองก็ไม่น่าเบื่อ ได้ครบทั้งการตกแต่งหน้า และ ไส้ในจริง ๆ

นอกจากโจ๊กเกอร์ ตัวเอกยังแต่งตัวที่ชวนนึกถึงฮาร์ลีย์ ควินน์ ซึ่งสะท้อนทั้งบุคลิกตัวละคร และ อาจยั่วล้อ มาร์ก็อต ร็อบบี้ ที่มาเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังด้วย ชื่อหนังสือที่ตัวเอกอ่าน ก็เป็นชื่อหนังสั้นเรื่องแรกของเฟนเนลล์ด้วย

เป็นทั้งกรอบกำแพง และ วงรัศมีนางฟ้า
แม้การหักมุมของหนังจะมีความเหี้ยมเกรียม และ ทำเอาจุกได้มากกว่าฉากแหวะ ๆ เสียอีก แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่หนังเกรดบีเลือดสาดแต่อย่างใด ใครอยากดูหนังล้างแค้นโหด ๆ เลือดนองนี่ไม่ใช่คำตอบ แต่ใครมองหาหนังเผ็ด ๆ คม ๆ แสบ ๆ ลูกเล่นลีลาเป็นร้อยกระบวนท่าแล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้โคตรได้ และ ไม่แปลกเลยที่มันจะเป็นหนังขวัญใจผู้ชมหรือนักวิจารณ์ในเวทีรางวัลคุณภาพที่ผสมผสานความบันเทิงอย่างกลมกล่อมที่สุด ดูหนัง

ชื่อภาพยนตร์: Promising Young Woman / สาวซ่าส์ล่าบัญชีแค้น
ผู้กำกับภาพยนตร์: Emerald Fennell/เอเมอรัลด์ เฟนเนลล์
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Emerald Fennell/เอเมอรัลด์ เฟนเนลล์
นักแสดง: Carey Mulligan/แครี่ มัลลิแกน, Bo Burnham, Alison Brie
แนว/ประเภท: Crime, Drama, Thriller
ความยาว: 113 นาที
ปี: 2021
อัตราส่วนภาพ: 2.39 : 1
เรท: ไทย/-, USA/R
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 22 มีนาคม 2021

 

รีวิว Uncharted

รีวิว Uncharted

รีวิว Uncharted

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับทุกคนวันนี้แอดมินอยากจะรีวิวเรื่องมากๆ เรื่อง ‘Uncharted’ เกมสุดฮิตของค่ายนอตีด็อก ( Naughty Dog ) ที่ทำลงแพลตฟอร์มของเพลย์สเตชัน ( PlayStation ) ได้กลายเป็นหนังให้พวกเราแฟนๆคอเกมแล้วโดยโซนี พิคเจอร์ส ( Sony Pictures ) ถึงกับเปิดค่ายย่อยอย่าง ‘The PlayStation Studios’ มารองรับการดัดแปลงเกมเป็นหนังโดยเฉพาะโดยมี ‘Uncharted’ เป็นหนังประเดิมค่ายแถมดึงทีมงานจากหนังแฟรนไชส์ ‘Spider-Man’ มากุมบังเหียน

แถมถอดชุดไอ้แมงมุมของทอม ฮอลแลนด์ ( Tom Holland ) ออกแล้วแทนที่ด้วยชุดผจญภัยทะมัดทะแมงพร้อมด้วยการปล่อยข่าวการตลาดครั้งใหญ่ว่า ‘Uncharted’ ยังเป็นเกมโปรดที่ทอม ฮอลแลนด์เล่นตอนถ่ายหนัง ‘Spider-Man Homecoming’ อีกด้วยเรียกได้ว่ามีองค์ประกอบการันตีขนาดนี้แถมเตรียมเปิดประตูรับทรัพย์เต็มที่โดยได้ผู้กำกับอย่างรูเบน เฟลสเชอร์ (Ruben Fleischer) ที่กำกับทั้ง ‘Venom’ และ ‘Zombieland’ มาการันตีว่าหนังจะออกมาถูกใจคนดูแน่นอน เว็บดูหนัง

รีวิว Uncharted

รีวิวหนังมาใหม่ หนังเริ่มเรื่องด้วยวัยเด็กของ นาธาน เดรค ที่ร่วมมือกันหวังปล้นแผนที่ขุมทรัพย์แต่กลับถูกจับได้ทำให้แซมพี่ชายของเขาต้องหายไปจากชีวิตจนปัจจุบัน เดรค (รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์) ต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นบาร์เทนเดอร์และ แอบจิ๊กของลูกค้าเลี้ยงชีพแต่กลอุบายของเขาก็ถูกจับไต๋ได้โดยวิกเตอร์ ซัลลิแวน (รับบทโดย มาร์ค วาห์ลเบิร์ก Mark Wahlberg) ยอดโจรสมองเพชรที่ชวนเขาร่วมภารกิจล่าขุมทรัพย์โดยใช้ปริศนาการหายตัวไปของแซมมาเป็นสิ่งล่อใจ

แต่พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ออกตามล่าสมบัติแต่ยังมี ซานติอาโก มอนคาดา (รับบทโดย แอนโทนิโอ แบนเดอราส Antonio Banderas) นักธุรกิจขาใหญ่ พร้อมด้วยแบรดด็อก (รับบทโดย ทาทิ แกเบรียล Tati Gabrielle) มือสังหารสาวโหดที่ยอมมือเปื้อนเลือดเพื่อให้ได้ครองสมบัติ รวมถึงโคลอี เฟรเซอร์ (รับบทโดย โซเฟีย อาลี Sophia Ali) ผู้ครองกุญแจอีกหนึ่งดอก โดยงานนี้เดรคไม่อาจไว้ใจใครได้เลยแม้กระทั่งซัลลิแวน

รีวิว Uncharted

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าหนังเพียบพร้อมด้วยทีมงานเกรด A ในการผลิตหนังแอ็กชันผจญภัยสักเรื่องให้ออกมาบันเทิง และ เรียกเงินเข้ากระเป๋าโซนีได้เป็นกอบเป็นกำ ถ้าเราจะเอาแค่ความสนุกแบบดูจบแล้วลืม ๆ ไปเลย ‘Uncharted’ มีให้คุณแน่นอนครับ แถมเซอร์วิสแฟนเกมหนักมาก ๆ ทั้งสกอร์ดนตรีประกอบ และ ภาพโหมดสโลว์โมชันที่แทบถอดแบบจากเกมมาเอาใจสายเกมเมอร์โดยเฉพาะ พร้อมวิช่วลเอฟเฟกต์แบบเชื่อมือได้สไตล์สตูดิโอหนังระดับบิ๊ก หากต้องการแค่นี้ผมยืนยันว่าหนังมีให้แน่นอนครับ

แต่สิ่งที่ ‘Uncharted’ ทำตกหล่นอย่างไม่น่าให้อภัยเลยประการแรกคือการสร้างตัวละครที่ดึงดูดใจ สมมติว่าเอาคนอื่นมารับบทนาธาน เดรค ก็ยากล่ะครับที่คนดูจะอยากเอาใจช่วยบาร์เทนเดอร์นิสัยโจรที่ทั้งเรื่องหาความฉลาดแทบไม่เจอโดนหลอกแล้วหลอกอีกดักดานจนงงว่ามันจะไปคิดปริศนาสมบัติอันซับซ้อนได้ยังไง แถมหนังก็เลือกเล่าข้าม ๆ ไปหลายจุดจนมันขาดความเชื่อถือดูไปเกิดอาการเอ๊ะไปยังไงยังงั้น

ส่วนต่อมาคือฉากผจญภัยต่าง ๆ ที่แม้วิช่วลเอฟเฟกต์จะเลอเลิศแบบไม่เถียงเลยว่าดูแล้วไม่เสียดายตังค์แน่นอน แต่ในความสนุกผิวเผินของหนังก็คือการไม่ให้ความสำคัญกับบทภาพยนตร์แถมยังไม่ค่อยได้ใส่อุปสรรคอะไรให้เราอยากเอาใจช่วยทั้งเดรค และ ซัลลิแวนเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นตัวละครหลักแต่เรากลับไม่มีข้อมูลอะไรให้ยึดเกาะหรือทำให้รู้สึกว่าอยากให้พวกเขาตามหาสมบัติให้สำเร็จเท่าใดนัก แม้จะใส่ความเป็นแอนตีฮีโร่ให้ซัลลิแวนว่าเป็นคนที่คบคนหวังผลประโยชน์แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าท้ายที่สุดมันก็ทิ้งเดรคไม่ลงอยู่ดี

รีวิว Uncharted

สุดท้ายแล้วแม้ว่าหนังจะได้นักแสดงระดับแม่เหล็กอย่างทอม ฮอลแลนด์มารับบทตัวละครที่แฟนเกมชื่นชอบ แต่ด้วยบทหนังที่แบนราบเกินไปมันก็ไม่ทำให้ฮอลแลนด์ดูมีเสน่ห์ในฐานะนักผจญภัยขาบู๊เท่าไหร่นักแม้ว่าจะมีฉากถอดเสื้อเซอร์วิสสาว ๆ ก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ ส่วนมาร์ค วาห์ลเบิร์กก็เอาตัวรอดไปได้ด้วยลุคแบดบอยแต่ก็ดันดูไม่น่าเชื่อถือในฐานะโจรเศรษฐีเท่าไหร่นัก

ตรงกันข้ามกับบรรดานักแสดงที่มาสมทบโดยเฉพาะแอนโทนิโอ แบนเดอราสที่เสน่ห์แบบหนุ่มใหญ่ล้นเหลือมาก สำเนียงสแปนนิชก็เซ็กซี่จนกลบบรรดานักแสดงหลาน ๆ ซะมิดเชียวหรือจะเป็น ทาทิ แกเบรียล ในบทมือสังหารสาวก็ยังทำให้เราเห็นความเท่ของเธอ หรือจะเป็น โซเฟีย อาลี ที่ได้โชว์ความสวยคมคายแบบสาวลูกครึ่งตะวันออกกลางจนอย่างน้อยคนดูหนุ่ม ๆ ก็มีอะไรให้กระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง

ย้ำกันอีกทีว่าแม้จะพลาด และ ไม่น่าจดจำ แต่อย่างน้อย ‘Uncharted’ ก็มาเติมเต็มให้โรงหนังมีโปรแกรมที่ดึงดูดคนดูกลุ่มใหญ่ได้ และ ที่สำคัญหนังก็ยังทำหน้าที่ได้ดีในฐานะหนังบันเทิงเรื่องหนึ่ง เพียงแต่หากอยากให้ตัวหนังมีฐานแฟนคลับเท่าเกมอาจต้องพัฒนาบทหนัง และ ตัวละครนำให้น่าสนใจกว่านี้อีกเยอะ ดูหนัง

สรุป Uncharted

รีวิวหนังมาใหม่ ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ดู ผมกลรู้สึกว่าสนุก และ บันเทิงดี ไม่ได้แย่สำหรับผม และ ค่อนข้างชอบด้วย แต่ก็มีจุดหลัก ๆ ที่ไม่ชอบเหมือนกัน ผมขอบอกก่อนว่าผมไม่ใช่แฟนเกมส์ Uncgarted และ ไม่ได้รู้เนื้อเรื่องของเกมส์มาก่อน เข้าไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย แต่บอกเลยว่ารู้เรื่องทั้งหมด เข้าใจได้อย่างง่าย ๆ เลย เพราะหนังเล่าเรื่องราวย้อนกลับไปก่อนเหตุการณ์ในเกมส์ภาคแรก เป็นเรื่องราวของ นาธาน เดรก ในวัยหนุ่ม ก็คือเริ่มตั้งแต่ต้น ดังนั้นคนไม่ใช่แฟนเกมส์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง ตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดูได้เลย อาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ แต่คงไม่ถึงขนาดเสียดายค่าตั๋ว เพราะภาพรวมของหนังถือว่าทำออกมาได้ดีอยู่ เป็นหนังที่ทำเพื่อทุกคนที่ไม่ลืมที่จะเอาใจแฟนเกมส์ และ ก็ไม่ทอดทิ้งคนที่ไม่ใช่แฟนเกมส์ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพราะจะได้มีโอกาสสร้างรายได้แบบเต็มที่ เพื่อนะได้เป็นแฟรนไชส์ และ มีภาคต่อ ๆ ไป ส่วนตัวผมเชียร์ให้ประสบความสำเร็จ และ ได้ไปต่อนะ เพราะถ้าไปต่อก็จะเข้าเนื้อเรื่องตามในเกมส์ ซึ่งอาจทำออกมาได้ดีก็ได้ ผมมองว่าภาคแรกนี้เป็นเหมือนแค่การอุ่นเครื่องซะมากกว่า ถ้าภาคต่อไปได้สร้างขึ้นมาจริง ๆ และ ทำการปรับปรุงจุดที่ผิดพลาดในภาคนี้ไปได้ มันจะกลายเป็นหนังที่สนุกมาก ๆ แน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้ก็มีจุดที่ทำได้ดีมาก ๆ และ น่าจดจำอยู่เช่นเดียวกัน

รีวิว Uncharted

ฉากแอ็คชั่นของเรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เวอร์วังอลังการ ระเบิดภูเขาเผากระท่อม และ มอบความบันเทิงใฟ้ผมได้พอสมควร เรียกได้ว่าฉากแอ็คชั่นเป็นเหมือนข้อดีของหนังเรื่องนี้เลย มันสะใจถึงใจ ออกแบบฉากบู๊ คิวบู๊ออกมาได้ดี ส่วนตัวผมชอบฉากบู๊ของ ทอม ฮอลแลนด์ เพราะด้วยความที่ผู้กำกับดีไซน์ตัวละคร นาธาน เดรก เป็นตัวละครที่ฉลาด คล่องแคล่วว่องไว ทำให้ฉากแอ็คชั่นของตัวละครนี้มันดูเพลินตาดี แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้เราสลัดภาพสไปเดอร์แมนที่ทอมเล่นไว้ไม่ออก เนื่องจากตัวละครสองตัวนี้มีความคล่องแคล่วว่องไวเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มากมายแค่บางฉากเท่านั้น แต่ทอมก็ยังมีความเป็น นาธาน เดรกอยู่พอสมควร ส่วนฉากแอ็คชั่นในเรื่องที่ผมชอบ ก็จะเป็นฉากที่ทอมสู้แบบบาเทนเดอร์ โคตรเท่ห์ และ มีความปั่นดี อีกฉากก็ตอนท้าย ๆ ที่ทอมกับมาร์ค สู้แบบคู่หูบนเรือ ฉากนั้นทำออกมาได้ดีเลย ให้อารมณ์หนังคู่หูแอ็คชั่น-คอมเมดี้ โดยรวมแบ้วฉากแอ็คชั่นของเรื่องนี้ผมค่อนข้างประทับใจ และ เอ็นจอยกับมันมาก ๆ เว็บหนัง

จุดเด่น

  • เซอร์วิสแฟนเกมด้วยภาพจำ และ โหมดภาพสโลว์โมชันได้ดี
  • มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ยังเอาตัวรอดได้ด้วยความเท่แบบแบดบอย
  • นักแสดงสมทบมีสีสันช่วยดึงหนังให้ดูสนุกได้เยอะมาก
  • วิช่วลเอฟเฟกต์ดีงาม งานภาพยอดเยี่ยม และ ออกแบบงานสร้างได้ดีทำให้หนังดูอลังการขึ้นมาก

จุดสังเกต

  • บทหนังมีช่องโหว่เยอะมาก เพราะเล่าแบบข้าม ๆ จนขาดความน่าเชื่อถือ
  • คาแรกเตอร์ของตัวนำทั้งนาธาน เดรค และ วิกเตอร์ ซัลลิแวน ยังไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ดาราระดับแม่เหล็กมาแสดงคงตายคาจอ
  • ฉากแอ็กชันแม้ทำมายิ่งใหญ่แต่ก็ไม่ค่อยชวนให้ลุ้นระทึกเท่าไหร่ พระเอกผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายเกินไปหน่อย

RELEASE DATE 16/02/2022
RUNTIME 115 Minutes
DIRECTOR Ruben Fleischer
CAST Tom Holland Mark Wahlberg Antonio Banderas Tati Gabrielle Sophia Ali
OUR SCORE 6.4

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ วันนี้แอดจะมารีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่พึ่งออกโรงได้ไม่นาน อย่าง Dr Strange and the Multiverse of Madness หรือ จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย และชื่อยาวภาคใหม่ในจักรวาลมาร์เวลหรือเรียกสั้นๆ ว่า Dr Strange 2 ภาพยนตร์เรื่องยาวเข้าโรงฉายไปเมื่อวันที่ 4 ที่ผ่านมา ‘อย่าทำให้แม่โกรธโลกมันจะวุ่นวาย’ ก็คงจะต้องเป็น Dr strange ภาค 2 เพราะเส้นเรื่องหลักนั้นเกี่ยวพันต่อเนื่อง

จากชีวิตของวันด้าในซีรีส์เรื่อง Wanda-Vision ด้วยเรื่องราวของ วันด้า (รับบทโดย อลิซาเบท โอลเซ่น) ผู้ต้องการชีวิตครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีเธอและลูกชายทั้งสองของเธอกลับคืนมาเธอจึงพยายามจะชิงตัว ‘อเมริกา ชาเวซ (รับบทโดย โซชิตล์ โกเมซ) ผู้มีความสามารถข้ามมัลติเวิร์สได้ เพื่อจะไปมีชีวิตอยู่กับลูกชาย จน ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ (รับบทโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) ผู้กำลังช้ำรักจากการที่ คริสติน พาล์มเมอร์ (รับบทโดย เรเชล แม็คอดัมส์) ไปแต่งงานกับผู้ชายอื่น ต้องมาปกป้องเธอละโลกมัลติเวอร์สไว้ นอกจากนี้ยังมีการปูเรื่องมัลติเวอร์สและความรักที่ลึกซึ้งกว่าที่เราได้เห็นในภาคแรกของคริสตินและหมอแปลกในแอนิเมชั่นซีรีส์เรื่อง What if…? อีก เว็บดูหนัง

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องราวทุกอย่างถูกเล่าอย่างฉับไว อัดแน่นไปด้วยภารกิจที่ตัวละครต้องทำ ทำให้เรื่องอัดแน่นไปด้วยความสนุกและความสยองจากลายเซ็นของผู้กำกับ แซม ไรมี่ ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องน้ีมีกลิ่นอายที่ต่างไปจากเรื่องอื่น ๆ อย่างชัดเจน และความเป็นเขาก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงตอนจบ ด้วยองค์ประกอบที่มีทั้งฉากไล่ล่าพร้อมจังหวะตุ้งแช่ให้ตกใจเล่นบ้าง เห็นการตายจะ ๆ เท่าที่ภาพยนตร์เรต PG-13 จะไปได้ถึง หรือมีความเป็นหนังซอมบี้แถมพกด้วยฉากสลองขวัญ

รีวิว Doctor Strange 2

ที่ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ จอมขมังเวทย์แบบไทย ๆ อยู่เหมือนกัน กับการใช้คำภีร์ดาร์กฮอล์ต ที่มีทั้งสิงร่าง เอาเทียนล้อม อุปกรณ์สกัดมารต่าง ๆ ในเรื่อง พร้อมกับฉากแอ็คชั่นที่ออกแบบมาอย่างอลังการโดยมีฉากที่น่าประทับใจเป็นพิเศษอยู่สองฉากคือ ฉากการทะลุมัลติเวอร์สของอเมริกาและเสตรนจ์ และฉากต่อสู้ด้วยโน้ตดนตรีที่ดึงให้อันเดอร์สกอร์ข้างหลัง (ที่ให้อารมณ์คลาสสิกสไตล์แฟรงเกนสไตน์) ดูโดดเด่นขึ้นมาและสอดประสานไปกับฉากการต่อสู้ได้อย่างลงตัวรวม ๆ แล้วเรื่องก็เป็นไปตามสูตรและมาตราฐานของมาร์เวล มีมุขให้ขำมุมปากบ้างตามเรื่องแต่ก็ยังนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีโทนเรื่องหนักกว่าบางเรื่องอยู่พอสมควร ด้วยส่วนที่เป็นดราม่าที่ถูกเล่าในเวลาที่จำกัดและด้วยความที่ตัวละครมีภารกิจมากมายให้ทำ

ถ้านี่นี้เป็นภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องแรกของคุณ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้เส้นเรื่องของ Dr Strage 2 นั้นไม่ได้ตามยากอะไร แต่เหตุผลของตัวละครจะดูเบาบางไปถนัดใจถ้าไม่ได้ดูซีรีส์ที่กล่าวมาข้างต้น และนอกจากนี้ก็ยังไม่เหลือเวลาให้ผู้ชมได้ผูกพัน กับตัวละครใหม่อื่น ๆ มากนักถึงแม้เรื่องจะมีจุดอ่อนเรื่องการปูอดีตให้คนดูเข้าใจตัวละครได้อย่างเต็มที่ในเวลาที่จำกัดอยู่บ้าง แต่ถ้าใครที่เคยดู Wanda-Vision มาก็จะได้เห็นพัฒนาการที่เจ็บปวดแต่งดงามของตัวละครอย่างชัดเจนผ่านทางการแสดงอันทรงพลังของ อลิซาเบธ โอลเซ่น ที่ค่อย ๆ กลายร่างจากหญิงสาวที่โชคชะตาพรากคนรักและครอบครัวไป จนมุ่งมั่นอยู่แค่เพียงต้องการให้ทุกอย่างกับมาสมบูรณ์ตามเดิมจนเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

รีวิว Doctor Strange 2

ชูประเด็นที่ลึกซึ้งอย่างการพยายามไล่ตามภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงจนไม่สามารถก้าวต่อไปในชีวิตมัลติเวิร์สในเรื่องนี้จึงเปรียบได้กับความเป็นไปได้ของชีวิตที่มีอยู่นับร้อยนับพัน หากทางเลือก ปัจจัยแวดล้อม หรืออะไรต่าง ๆ ในชีวิตนั้นแตกต่างไป สะท้อนผ่านการที่ตัวละครสามารถเห็นมันในความฝัน แต่มันสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้หากข้ามไปได้ถึงตรงนั้น แต่ถ้าเราติดอยู่กับแค่ความเป็นไปได้ โดยที่ปฏิเสธที่จะหันมามองสิ่งที่เป็นอยู่จริง ๆ อย่างที่วันด้าเป็นชีวิตก็จะมีแต่ความทุกข์นอกจากนี้อ้างอิงจากการที่ภาพครอบครัวแสนสุขของวันด้ามากจากซีรีส์ที่เธอดู และการที่เธอพูดว่าทุกคนมีความสุขกับครอบครัวนอกจากเธออาจจะเป็นการอ้างอิงเล็ก ๆ ถึงชีวิตทุกวันนี้ที่เรามองเห็นชีวิตของผู้คนอีกมากมาย

และเปรียบเทียบมันกับตัวเองจนเกิดเป็นความทุกช์ใจสองประเด็นนี้เน้นย้ำให้เห็นหัวใจหลักของเรื่องท่ีเหมือนกับต้องการจะสื่อว่า การยอมรับความเป็นจริงของชีวิตนั่นคือตอนจบที่แสนสุขที่สุดแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนมาในรูปของความรักราวกับจะสื่อสารกับเหล่าผู้ปกครองที่พาเด็ก ๆ มาชมภาพยนตร์ ว่าหลายครั้งการทำทุกอย่างที่บอกว่าจะทำเพื่อลูก เพื่อควาเป็นครอบครัว เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครได้รับผลกระทบนั้นหลายครั้งเป็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนอยู่

และบางครั้งอาจบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ดูหนัง

สรุป Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ นอกจากนี้ยังมีการแสดงที่ดีงามตามมาตราฐานของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ ซึ่งช่วยเป็นสะพานเชื่อมช่องว่างของการเล่าเรื่องที่ไม่ได้อธิบายที่มาที่ไปของบางอย่างได้ละเอียดนัก

รีวิว Doctor Strange 2

(ถึงแม้จะมีจุดอ่อนเรื่องการเคลื่อนไหวแบบซอมบี้ที่ดูเขาจะไม่ค่อยสันทัดเท่าไรนัก)  การเล่าเรื่องเร็วและภารกิจมากมายของตัวละครจึงเป็นเหมือนดาบสองคมที่ทำให้สนุก แต่ก็ทำให้เส้นเรื่องที่เน้นดราม่าของตัวละครนั้นขยุกขยักไปบ้าง ยังไม่นับรวมฉากที่รายละเอียดน้อย ๆ เอาใจแฟนคลับมาร์เวลอย่างแขกรับเชิญอื่น ๆ ที่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนตัวยงประมาณหนึ่งบางทีก็อาจจะจำตัวละครที่มารับเชิญบางตัวไม่ได้ด้วย แต่ถ้าใครเป็นแฟนมาร์เวลก็คงจะได้กรี๊ดกร๊าดอยู่หลายฉากกับเซอร์ไพร์สที่ซ่อนไว้

การแสดง

มาต่อที่ด้านของการแสดง ทุกคนทำออกมาได้ดี แสดงดีกันทุกคนจริงๆ สำหรับป๋าเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก เรารู้กันอยู่แล้ว เขาแสดงได้ดูเป็น ดร.สเตรนจ์ จริงๆ แสดงดีเหมือนทุกเรื่องที่เขารับบทนี้มา
ต่อมาขอพูดถึงนักแสดงหน้าใหม่อย่าง โซชิตล์ โกเมซ ที่มารับบทเป็น อเมริกาชาเวซ แม้ว่าจะเป็นบทสมทบแต่น้องทำได้ดีมากจริงๆ น้องเขาดูมีเสน่ห์บางอย่างที่มันดึงดูดผู้ชม และผมเห็นหลายๆคนก็ชอบน้องกัน ซึ่งผมก็เช่นกัน น้องน่ารักจริงๆ แสดงดีและเหมาะกับบทบาทมาก ทีมแคสต์เลือกนักแสดงมาดีจริงๆ อันนี้ต้องชม

ต่อมาคนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ อลิซาเบธ โอลเซ่น ผู้รับบทเป็นวานด้า ซึ่งเราก็เคยเห็นเธอในบทนี้มานานแล้ว เพราะเธออยู่ในภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของ MCU หลายเรื่อง และยังมีซีรีส์ของตัวเองอีก แต่ในภาคนี้มันต่างออกไป เพราะเรื่องนี้เธอเป็นศัตรูของ ดร.สเตรนจ์ ซึ่ง อลิซาเบธ โอลเซ่น แสดงได้ดีมาก สมบทบาท แถมภาคนี้เธอยังโดดเด่นมากๆ บทเธอเด่นพอสมควรเลย ทำให้เธอได้โชว์ของเต็มที่ ทั้งในฐานะศัตรูตัวฉกาจ และในฐานะแม่ที่เสียลูกๆไป ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็แสดงได้ดีตามมาตรฐานของ Marvel

งานภาพและการโปรดักชั่น

ในส่วนงานภาพนี้คือ แจ่มและสวยจริงๆ ส่วนตัวผมชอบงานภาพภาคนี้มากกว่าภาคแรกนะ ผมว่าดีกว่าเยอะเลย งานภาพภาคแรกก็ดีและ แต่การออกแบบมันไม่ได้เจ๋งเท่าภาคนี้ ภาคนี้มันดูมีสีสัน มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ส่วนตัวชอบฉากตอน ดร.สเตรนจ์ กับอเมริกาชาเวซข้ามจักรวาลด้วยกัน ฉากนั้นเจ๋งมากจริงๆ และก็ฉากที่หนีวานด้าแต่ละฉากก็แจ่มมากๆ ส่วนนอกจากฉากนี้แล้ว ฉากอื่นๆก็มีการออกแบบฉากมาอย่างดี มุมกล้องที่ใช้ ทุกอย่างลงตัวหมด พอมาเจอกับ CGI ที่เนียนตา และโทนสีต่างๆที่เลือกมาก็เหมาะกับบรรยากาศในภาพยนตร์ ทุกอย่างจึงออกมาดีมาก แต่ก็ยังไม่ได้ดีที่สุดนะ ยังไปได้อีก แต่เท่านี้คือดีมากแล้ว ต่อมาด้านงานโปรดักชั่น ทุกอย่างดีมากเช่นกัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม การตัดต่อ การลำดับเสียง รวมถึงเพลงประกอบต่างๆ ทุกอย่างดีหมดแล้ว ไร้ที่ติ

ตัวละครที่ชอบ

ส่วนตัวชอบ 3 ตัวละครหลัก แต่ถ้าให้เรียงลำดับก็ชอบตัวละครวานด้า มากที่สุด ต้องยอมรับว่าเธอโดดเด่นจริงๆ เกือบจะเด่นกว่า ดร.สเตรนจ์ ด้วยซ้ำ และบทของตัวละครก็ดีเลย เพราะมีการปูตัวละครนี้มาในภาพยนตร์หลายเรื่อง แถมในซีรีส์อีก ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร และรู้ว่าที่เธอทำไปเพราะเสียใจอย่างหนักจนแยกผิดถูกไม่ออก

รองมาก็เป็นตัวละคร ดร.สเตรนจ์ ป๋าเบเนดิกต์แสดงดีจริงๆ ส่วนตัวผมชอบลักษณะนิสัยของตัวละครนี้มากอยู่แล้ว และบทในภาคนี้หมอก็น่าสงสารเหมือนกัน เป็นฮีโร่ที่เก่งแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ทุกคนนับถือและยกย่อง แต่แท้จริงแล้วก็มีปมในใจ และปัญหาของตัวเองที่แก้ไม่เคยได้ ซึ่งเหตุการณ์ในภาคนี้ก็ทำให้ตัวละคร ดร.สเตรนจ์ เติบโตไปขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งมันดีมากจริงๆและตัวละครสุดท้ายที่ชอบเลยคือ อเมริกาชาเวซ ที่แสดงโดย โซชิตล์ โกเมซ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าตัวละครนี้

โดดเด่น และนักแสดงที่แคสต์มาก็ดีมาก แถมภาคนี้ยังมีการวางปมของตัวละครนี้ทิ้งไว้ และผมชอบที่บทเขียนมาให้ตัวละครนี้เติบโตขึ้นในตอนจบ ทำให้เรารู้จักและเข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น คือ 3 ตัวละครหลักนี้ ตอนต้นเรื่องกับตอนจบ นี่คือคนละคนเลยนะ ทุกคนเติบโตและได้บทเรียนจากเหตุการณ์นี้กันหมด ดร.สเตรนจ์ ก็กลายเป็นคนที่รับฟังมากขึ้น นอบน้อมมากขึ้น วานด้าก็กลายเป็นคนที่ยอมรับความจริงได้และเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนอเมริกาชาเวซก็กลายเป็นคนที่เริ่มเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ในส่วนนี้ผู้กำกับ Sam Raimi ทำออกมาได้ดีจริงๆ

ทั้งหมดนี้ทำให้ Dr Strange and the Multiverse of Madness จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย เป็นภาพยนตร์ที่สนุกชวนดู ถึงแม้จะไม่ได้เรียกว่าดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมา แต่ก็มีความแปลกใหม่ผสมกับอะไรที่คุ้นเคย และเนื้อหาซึ้ง ๆ ประมาณหนึ่งมาให้เพลิดเพลินได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เว็บหนัง

 

รีวิว The Beast

รีวิว The Beast

รีวิว The Beast

รีวิวหนังมาใหม่ สำรหับในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้อาจจะมีหนังเกาหลีหนังเอเชียต่าง ๆ เข้าฉายในบ้านเราซะเต็มไปหมดเลยทีเดียว จนเรียกได้ว่าบางทีก็ดูไม่ทันเหมือนกัน เนื่องจากบางเรื่องก็โดนลดรอบอย่างลดรวดเร็ว บางโรงก็จัดรอบซะเช้าตรู่ หรือไม่ก็ดึกดื่นชนิดถ่างตารอดูกันไม่ไหว The Beast ก็น่าจะถือเป็นหนังอีกเรื่องที่อยู่ในหมวดหมู่นี้ และ คิดว่าอีกไม่กี่วันหนังก็คงจะลาโรงฉายไปอย่างเงียบ ๆ บอกเล่าเรื่องราวของผู้กองฮันซู (อี ซองมิน) นายตำรวจแผนกฆาตกรรม ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง เว็บดูหนัง

โดยศพล่าสุดเป็นหญิงสาวในวัยเรียนที่ร่างของเธอถูกชำแหละ แล้ว นำมาทิ้งเอาไว้ที่ริมชายหาดในสภาพน่าหวาดผวา ระหว่างที่สืบคดีอยู่นั้น ผู้กองมินเต (ยู แจมุง) ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วย ให้มาร่วมกันไขคดีในครั้งนี้ ทว่านี่ไม่ใช่การร่วมมือกันระหว่างสองนายตำรวจมากฝีมือ หากเป็นคู่เกาเหลาที่ชิงดีชิงเด่นกันในหน้าที่การงาน ไม่กินเส้นกัน แถมยังพยายามจับพิรุธในการทำงานของฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก

รีวิว The Beast

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องย่อ ในโซลเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดโหดที่ยังไม่สามารถจับฆาตกรมาลงโทษได้ ทีมของ ผู้กองฮันซู ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในชุดสืบสวนของคดีนี้ โดยมีคู่แข่งเป็นทีมของ ผู้กองมินเต ซึ่งทั้งคู่มีเดิมพันใหญ่ว่าหากใครปิดคดีนี้ได้จะได้รับการเลื่อนชั้นเป็นหัวหน้าหน่วยคนใหม่ และ ยิ่งสืบไปก็ยิ่งแข่งกันเข้มข้นจนเริ่มไม่เลือกวิธีการ แล้ว ใครกันแน่คือสัตว์ร้ายตัวจริงในเรื่องนี้?

ความสนุกของ The Beast คือการวางพล็อตให้ผู้กองฮันซู เป็นตัวละครสีเทา แค่ฉากเปิดเรื่องในการนำผู้ต้องสงสัยไปทรมาน และ ทิ้งไว้ที่นอกเมืองก็พอจะทำให้คนดูพอคาดเดาได้เลยว่า ตัวละครนี้ไม่ได้เป็นตำรวจที่ทำงานแบบมือสะอาดสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำเขายังเคยพัวพันกับบรรดาอาชญากรที่ถูกไหว้วานให้เป็นสายสืบในดงโจร อย่างเช่นชุนเบ (จอนเฮจิน) อดีตอาชญากรหญิงที่อยู่ในแก๊งค้ายา และ ดันซวยติดคุกอยู่นานกว่า 3 ปี เมื่อเธอพ้นโทษออกมา เธอเลยวางแผนก่ออาชญากรรมด้วยการไปฆาตกรรมเจ้านายเก่า และ ทำให้ผู้กองฮันซูกลายเป็นพยานแบบไม่ทันตั้งตัว

รีวิว The Beast

พล็อตหลักของหนังคือการสืบคดีฆาตกรรมโหดที่พาคนดูไปสำรวจความฟอนเฟะในแวดวงการทำงานของตำรวจ พลางสะท้อนปัญหายาเสพย์ติดอันเป็นปัญหาระดับภูมิภาค ปัญหาสังคมในเชิงความล้มเหลวของครอบครัว ซึ่งก็เป็นความสนุกที่เปิดโอกาสให้คนดูได้คาดเดาไปต่าง ๆนานาว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ส่วนพล็อตรองของเรื่องคือการพยายามกลบเกลื่อนหลักฐานในคดีที่เขาไปเกี่ยวพันกับชุนเบ และ อาจจะส่งผลให้เขามีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกร และ อาจจะหลุดจากตำแหน่งในการเป็นหัวหน้าแผนกคนต่อไปให้กับผู้กองมินแต

ระหว่างที่หนังดำเนินไปเรื่อย ๆ เราจะได้เริ่มเห็นความซวยที่ถาโถมเข้าหาตัวเอกอย่างผู้กองฮันซูในแบบที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอี ซองมินก็ถ่ายทอดความวิตกจริตของเขาออกมาได้ดีมากราวกับคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป เขากลายเป็นคนที่ขาอีกข้างอยู่ในตาราง และ สภาพจิตใจอยู่ในโรงพยาบาลคนวิกลจริตไป แล้ว เรียบร้อย

อันที่จริงชื่อหนังอย่าง The Beast อันแปลว่า “อสูรร้าย” อาจจะไม่ได้หมายถึงฆาตกรต่อเนื่อง แต่ความเป็นจริงอาจจะหมายถึงตัวละครเอกทั้งสองคนทั้งผู้กองฮันซู และ ผู้กองมินเตที่ต่างฝ่ายต่างก็ “เลือดเย็น” ใส่กันราวกับพวกเขาไม่ใช่มนุษย์!

ผลงานสุดเดือดของผู้กำกับ อี จุงโฮ (Lee Jung-Ho) ที่เคยฝากผลงานในแนวสืบสวนระทึกขวัญมา แล้ว ถึง 2 เรื่อง อย่าง Best Seller (2010) และ Broken (2014) มาในเรื่องล่าสุดนี้ เขาได้ดึง อี ซองมิน (Lee Sung-Min) นักแสดงคู่บุญที่เล่นให้เขามาทุกเรื่องมารับบทนำหลัก ผู้กองฮันซู นายตำรวจสายสัญชาตญาณ ที่ใช้วิธีการเทา ๆ ปิดคดีสำคัญมา แล้ว มากมาย โดยเขาต้องปะทะกับนักแสดงนำสุดเก๋าพอกันอีกคนอย่าง ยู แจมุง (Yoo Jae-Myung) ที่รับบท ผู้กองมินเต ซึ่งพยายามไล่กวดผลงานของฮันซูแบบหายใจรดต้นคอ เพราะทั้งคู่แม้เป็นอดีตคู่หูตำรวจแต่ในตอนนี้คือคู่แข่งสำคัญในการแย่งเก้าอี้หัวหน้าหน่วยคนใหม่ที่มีที่เดียว

รีวิว The Beast

(ซ้าย) อี ซองมิน (ขวา) ยูแจมุง
ความน่าสนใจอีกประการของหนังมาจากการร่วมสร้างระหว่างเกาหลีและฝรั่งเศส โดยฝั่งฝรั่งเศสนั้นได้ Gaumont ที่เป็นถึงสตูดิโอที่เคยทำหนังอย่าง Léon: The Professional (1994) และ The Fifth Element (1997) มาแล้ว และครั้งนี้ก็เป็นการนำหนังเก่าของสตูดิโอมาให้ฝั่งเกาหลีรีเมก โดยนำพลอตมาจากเรื่อง 36 Quai des Orfèvres (2004) ที่ว่าด้วย 2 ตำรวจแข่งกันสืบคดีปล้น ซึ่งครั้งนี้เกาหลีได้นำมาพลิกเป็นการสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มเส้นเรื่องของตัวฆาตกรตีคู่ไปพร้อมกันด้วย ก็ช่วยเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้นไปอีก

จุดเด่นของหนังคงต้องยอมรับว่ามาจากการแสดงที่ดึงความสนใจคนดูให้เอาใจช่วยได้ตลอดเรื่องของ อี ซองมิน ที่ถ่ายทอดภาวะคนจิตใจดีที่ตกในช่วงวันผีซ้ำด้ำพลอยจนเขาเริ่มจะจิตหลุดไปทีละน้อย ทั้งนี้ตัวบทก็ส่งเสริมตัวละครนี้ได้ดีด้วยก็ต้องชื่นชม เพราะนอกจากจะสร้างสถานการณ์ชวนลุ้นมากมาย ยังใส่ปมเงื่อนที่ตัวละครก่อหรือรับผลกรรมจากอดีตมาพัวพันในปัจจุบันจนอีรุงตุงหนังได้เป็นผลสำเร็จ เป็นความวายป่วงที่แก้ปมหนึ่งก็ไปรัดแน่นอีกปมหนึ่ง คนดูยังคิดไม่ออกว่าจะมีทางออกอย่างไร ตัวละครยิ่งไปใหญ่เพราะยิ่งฝืนแก้ปัญหายิ่งบานปลายจนมุมที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง

อีกส่วนที่ทำได้ดีของหนังคือการที่วางแก่นเรื่องว่าด้วยการแก่งแย่งชิงดีระหว่าง 2 นายตำรวจ ที่เคยเป็นคู่หูกัน มันทำให้แนวหนังแตกต่างจากหนังสืบสวนคดีปกติทั่วไป และ ยิ่งการวางซับพลอตมาช่วยเสริมได้อย่างสนุกทั้ง พลอตฆาตกรต่อเนื่องที่ฝั่งตำรวจถูกชักจูงให้หลงทางอยู่เรื่อย อดีตสายข่าวของตัวเอกที่ออกจากคุก และ มีเป้าหมายล้างแค้นคนที่ทำให้ต้องติดคุกจนพาตัวเอกเข้าไปพัวพันคดีความควายเข้ามาแทรกไปอีก แล้ว ที่สั่นสะเทือนจิตใจเราที่สุดคงเป็นพลอตเสียดสีสังคมที่ว่าด้วยอิทธิพลแก๊งต่างชาติในเกาหลีที่มีทั้ง ญี่ปุ่น จีน และ แน่นอนผีน้อยพี่ไทย โดยประโยคชวนสะอึกที่ว่า นี่คือสถานที่ที่เหล่าขยะมารวมกัน เพราะก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้คนไทยเป็นตัวร้ายที่นำพาปัญหาอาชญากรรมทั้งยาเสพติด และ ค้ามนุษย์เข้าสู่เกาหลีจำนวนมากจริง ๆ ดูหนัง

สรุป The Beast 2019

รีวิวหนังมาใหม่ ในขณะที่ช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ที่เริ่มเป็นฉากแอ็กชั่น และการเล่าเนื้อหาหลักนั้นทำได้ค่อนข้างแย่มากในบางช่วง และดีในบางช่วง ความสมเหตุสมผลเริ่มหาไม่ได้จากเรื่องนี้ การคลายปมต่าง ๆ ภายในเรื่องคลายได้ง่ายเกินไป และมีการตัดฉากไปมา จนทำให้หนังเรื่องนี้ขาดความต่อเนื่องยาวจนทำให้ผู้ชมหงุดหงิดได้ไม่ใช่น้อย ตำรวจเหมือนเป็นเพียงแค่ตัวประกอบสำหรับเรื่อง ไม่ได้เป็นส่วนจำเป็นของเรื่องไม่ต้องใส่มาก็ยังได้เลย ส่วนตัวร้ายที่เหมือนจะเป็นตัวเด่นกลับไร้ราคาในหนัง

โผล่มาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น จึงทำให้รู้สึกผิดหวังบ้างเมื่อรับชม แต่บางช่วงอย่างการทำฉากย้อนอดีตของตัวละครเองก็ทำได้ดีเช่นกัน อย่างการคลายปมของตัวเอกมันมีอิมแพ็คมาก และฉากแอ็กชั่นที่สนุกทำให้เรื่องมันไปต่อได้ แม้ว่ามันอาจจะเหมือนฉากแอ็กชั่นทุนต่ำก็ตาม แต่ก็ยอมรับว่า ตอนจบของเรื่องมีการคลายปมของตัวละครทั้งหมดแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็จบภายในเรื่องของตัวมันเองได้

ฉากแอ็กชั่นต้องยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ไม่สามารถหาความบาลานซ์ที่สุดในเรื่องแล้วก็เป็นได้ บางฉากก็ดีมาก บางฉากก็ตลก บางฉากก็เล่นห่วย เหมือนทำสุ่ม ๆ ให้ผู้ชมได้เจอกันไป เหมือนพยายามจะบอกว่าหนังเรื่องนี้มีทุนสร้างที่ไม่เพียงพอ เราจึงต้องลดทอนหลาย ๆ อย่างภายในหนัง ซึ่งสิ่งนี้เป็นใจความสำคัญที่สุดในหนังประเภทแอ็กชั่นนี้เลยก็ว่าได้ การที่ลดทอนสิ่งนี้ก็เหมือนทำให้คุณค่าลดลง อย่างเช่นในบางฉากที่ฝั่งตัวร้ายที่มีปืนทุกคน แต่พอเป็นอีกที่ที่มีเป็นสิบคน

กลับกลายเป็นว่าปืนมีกระบอกเดียวเพียงทั้งซีน,ฉากแอ็กชั่นที่ดูตลกมาก และการแสดงของตัวประกอบที่ย่ำแย่มาก ไม่รู้สึกถึงพลังของการกระทำเลย จึงให้คะแนนในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับกับฉากที่ดี แต่ไม่ได้ดีมาก การแสดงก็เป็นอะไรที่พูดยากอีกเช่นกันว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ เพราะบทพูดที่แต่ละคนได้มา การพูดของตัวละครทั้งเรื่องเราจะได้เห็นอยู่เพียงไม่กี่แบบเท่านั้น สิ่งที่ได้เห็นคือ ตัวละครเก๊กเท่ และตัวละครเศร้าแต่เศร้าไม่สุด

อารมณ์ตัวละครเราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม, ความดีใจ หรือ ความสูญศรัทธาเลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกของหนังเราอาจจะเห็นว่าการแสดงมันก็ดูปกติ แต่พอดูไปเรื่อย ๆ มันกลับเป็นการแสดงที่ซ้ำซากมาก การแสดงของตัวละครหลักบางคนไม่สามารถกระชากใจคนดูได้ ยกเว้นการแสดงของตัวเอกที่เขาเป็นอาการป่วยทางจิตจริง ๆ เขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็น และเหมือนมากแค่ไหน เขานิ่งเงียบไม่คุยกับใคร คาแร็กเตอร์ที่ยังคงเป็นคาแร็กเตอร์ตั้งแต่ต้นจนจบ มันทำให้ตัวละครนี้ ทำออกมาได้ดีมาก จึงทำให้สงสัยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงมีสิ่งแย่ผสมดีเยอะขนาดนี้

สรุปว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าจะเป็นที่โปรดักชั่น และเงินทุนที่อาจจะบริหารไม่ดีพอ จนทำให้หนังในเรื่องมีฉากดีปนฉากแย่เยอะขนาดนี้ แต่เรื่องนี้เองก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่นักสำหรับคนที่จะดูหนังประเทศอื่นบ้าง เพราะยังมีความสนุกและความบันเทิงให้ได้รับชมอยู่ แม้จะมีหลายจุดที่ขัดใจบ้าง

สรุปท้ายนี้ก็คงติติงที่ว่าหนังเล่าเรื่องค่อนข้างนานมาก แม้จะเล่าได้น่าสนใจน่าติดตามชวนลุ้นในชะตากรรมของแต่ละตัวละคร แต่เทียบกันในกลุ่มหนังใกล้เคียงกัน ความยาวของหนังที่มากก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้คนดูมีสมาธิจดจ่อกับหนังได้ตลอด ซึ่งไอ้เรื่องนี้ด้วยรายละเอียดยุ่บยั่บมันดันต้องตั้งใจดูเสียด้วยนี่สิ เว็บหนัง

ใครชอบแนวสืบสวน ดราม่าเข้ม ๆ โพรดักชันงาม ๆ หรือใครกำลังอินดราม่าช่วงเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายในที่ทำงาน เรื่องนี้นี่ตบตีชิงดีกันอย่างกับละครหลังข่าว ต้องดูเลย

จุดเด่น
– การแสดงที่ดี ดราม่าเข้มข้น
– พลอตแย่งชิงทำผลงานขัดแข้งขัดขาในคดีฆาตกรรม ดูแปลกน่าสนใจดี
– โพรดักชันสวย ดีไซน์หนังดี

จุดสังเกต
– ตัวละครเยอะ ซับซ้อน
– หนังค่อนข้างยาว ต้องใช้สมาธิสูง
– ซับพลอตเยอะ อาจทำแก่นเรื่องแผ่วบ้างบางจุด

 

รีวิว True Mothers

รีวิว True Mothers

รีวิว True Mothers

 

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสจ้าาแอดเชื่อว่าเราหลายๆคนนั้น ก็ต้องคงเคยได้ยินได้ฟังคำกล่าวที่ว่า “จะถือสาหาความจริงกันไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันก็เป็นเพียงแค่หนังแค่นิยายที่แต่งเรื่องขึ้นมาเท่านั้น!” ซึ่งประโยคดังกล่าวเป็นประโยคที่บ่งสะท้อนถึงสมบัติแห่งการเป็น fiction หรือ ‘เรื่องสมมติ’ ของศิลปะแห่งการเล่าเรื่องราวสองแขนงนี้ได้อย่างดี แม้ว่าในอดีตจะมีกลุ่มตระกูลหนัง ‘สัจนิยมใหม่’ หรือ ‘neo-realism’ นำขบวนโดยผู้กำกับอิตาเลียน Vittorio de Sica กับผลงานหนังอย่าง Shoeshine (1946) หรือ Bicycle Thieves (1948)

ที่ประกาศชัดว่า ‘หนัง fiction’ เป็นสื่อที่สามารถนำเสนอภาพชีวิตที่เกิดขึ้น และ ความเป็นไปในโลกแห่งความจริงได้โดยไม่ต้องมีสิ่งปรุงแต่ง ต่อให้หลายๆ ความจริงอาจเป็นสิ่งแสลงไร้ความโสภาก็ตาม แต่ในเมื่อธรรมชาติอีกด้านของหนัง fiction คือการสร้างความบันเทิง จึงไม่น่าแปลกใจที่เนื้อหาเรื่องราวส่วนใหญ่มักจะต้องเกินจริงในแบบ larger-than-life เพื่อให้อรรถรสในการติดตามเรื่องราวที่มิอาจพบเห็นได้ในชีวิตประจำวันใกล้ตัว

อย่างไรก็ดี ผู้กำกับหลายรายยังคงยึดถือการเล่าเรื่องราวแง่มุมชีวิตด้านต่างๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมอย่างซื่อสัตย์ ปฏิบัติต่อเหตุการณ์ และ สถานการณ์ต่างๆ อย่างบริสุทธิ์ และ จริงใจ โดยมีเป้าหมายในการร่วมกันศึกษา และทำความเข้าใจ ‘ธรรมชาติ’ ของการเป็นมนุษย์ ซึ่งผู้กำกับหญิงชาวญี่ปุ่น Naomi Kawase ก็เป็นหนึ่งในนั้น กับการถ่ายทอดภาพชีวิตของชาวญี่ปุ่นในเมืองต่างจังหวัดใกล้ชิดหมู่แมกไม้ และ ธรรมชาติ

โดยผลงานเรื่องล่าสุดของเธอ True Mothers ยังคงลายเซ็นการเป็นหนังของ Naomi Kawase ที่ได้รับการประทับรับรองสถานะ Cannes Label 2020 จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประจำปี 2020 ซึ่งไม่สามารถจัดงานได้ และ ต้องประกาศรายชื่อหนังที่คัดเลือกไว้ให้ผู้ชมได้ติดตามกันจากเทศกาลอื่นๆ หรือในโรงภาพยนตร์ เรื่องของ 2 สามีภรรยาที่ตัดสินใจรับเด็กมาเลี้ยงหลังพยายามมีลูกหลายครั้ง จนวันนึงมีผู้หญิงปริศนาอ้างว่าเป็นแม่ตัวจริงของเด็ก และ บังคับให้พวกเขาคืนเด็กให้กับเธอ เว็บดูหนัง

รีวิว True Mothers

รีวิวหนังมาใหม่ ‘True Mothers’ เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายที่ชื่อ ‘Asa ga Kuru’ ของ ‘มิซึกิ สึจิมูระ’ ซึ่ง ผู้กำกับหญิงอย่าง ‘นาโอมิ คาวาเสะ’ ได้นำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากฉายในญี่ปุ่น ก็ได้รับกระแสวิจารณ์ที่ดีมาก จนได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัล ‘The 44th Japan Academy Film Prize’ ที่เทียบได้กับออสการ์ของญี่ปุ่นถึง 7 รางวัล และ ได้รับฉายใน ‘เทศกาลภาพยนตร์เมื่องคานส์ ประจำปี 2020’ ในสายประกวดหลัก พร้อมทั้งยังเป็นตัวแทนหนังญี่ปุ่นเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย

รีวิว True Mothers

เรื่องราวของครอบครัวของ ‘ซาโตโกะ’ และ สามี ที่อยากมีลูก แต่ต้องประสบปัญหาบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถมีลูกได้อย่างใจคิด ทั้งคู่จึงต้องพึงพา ‘เบบี้ บาตอง’ บ้านที่รับอุปการะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม และ ทำหน้าที่ส่งต่อลูกต่อให้กับพ่อแม่บุญธรรม โดยมีกฏว่า แม่ที่แท้จริงจะไม่มีโอกาสติดต่อกับลูกของตัวเอง และ ครอบครัวบุญธรรมอีกต่อไป โดยซาโตโกะได้รับ ‘น้องอาซาโตะ’ มาจาก ‘ฮิคาริ’ หญิงสาวมัธยมต้นที่เกิดอุบัติเหตุตั้งครรภ์ไม่พร้อม แต่วันหนึ่ง ฮิคาริตัดสินใจโทรไปหาซาโตโกะ เพื่อขอรับน้องอาซาโตะคืน

แม้ด้วยตัวอย่างหนัง และ เรื่องย่อ จะทำให้เราคิดไปว่า นี่อาจเป็นหนังญี่ปุ่นที่ขับเน้นดราม่า เค้นน้ำตาด้วยเรื่องราวประเด็นเกี่ยวกับครอบครัว และ ประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกบุญธรรม ซึ่งประเด็นนี้มันสามารถเป็นได้ทั้งพล็อตน้ำเน่าเมโลดราม่า ที่ว่าด้วยเรื่องของการแย่งชิงลูกระหว่างแม่แท้ ๆ กับแม่บุญธรรม หรือลึกซึ้งขึ้นอีกนิดด้วยประเด็นถกเถียงว่า ระหว่างแม่แท้ ๆ ที่ให้กำเนิด กับแม่ที่เลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ แม่แบบไหนคือแม่ที่แท้จริง (True Mother) หรือแม่แบบไหนมีความเป็นแม่ (Motherhood) มากกว่ากัน

แต่หนังเรื่องนี้คือหนังความยาว 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งที่ลึก และ หนักหน่วงกว่านั้นมาก เพราะตัวหนังยังลงรายละเอียด และ สะท้อนให้เห็นภาพของความเป็นแม่ที่ไม่ใช่แค่ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดู แต่กลับสะท้อนถึง “ความเป็นแม่” ที่จะใช้คำว่า “คือหัตถาครองพิภพจบสากล” อย่างนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะตัวหนังยังเล่าถึงความเป็นแม่ (และ ความเป็นหญิง) ที่มีอิทธิพล ส่งผลกระทบต่อคนคนหนึ่งที่เกิดมา และ อยู่ในสังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

รีวิว True Mothers

ในขณะที่ช่วงแรก คุณแม่ซาโตโกะ และ สามี รับน้องอาซาโตะมามาเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น ท่ามกลางครอบครัวชนชั้นกลางที่พอมีพอกิน ซาโตโกะเลี้ยงลูกอย่างอบอุ่น และ เข้าใจ ในขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่งก็คือ ฮิคาริ สาวน้อยวัยมัธยมต้น คุณแม่แท้ ๆ ของน้องอาซาโตะ ที่เกิดจากการมีอะไรกับคนรักโดยพลั้งเผลอจนเกิดปัญหา โดยที่แทบจะไม่มีใครเข้าใจเธอเลย ดูหนัง

สรุป True Mothers

รีวิวหนังมาใหม่ ซึ่งมันเป็นภาพสะท้อนที่ตัดกันอย่างรุนแรง ที่ทำให้เรามองเห็นอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของสถาบันครอบครัวต่อชีวิตคนคนหนึ่ง ระหว่างครอบครัวที่เลี้ยงดูแบบเข้าใจ ยอมรับในความเป็นตัวตน และ เข้าใจทุกคนในครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่มองว่าใครเป็นตัวถ่วงเหมือนครอบครัวซาโตโกะ ในขณะที่ครอบครัวของฮิคาริ คือมุมมองของครอบครัวที่มองว่าการตั้งครรภ์ก่อนกำหนดของเธอคือปัญหา ฮิคาริกลายเป็นตัวถ่วงที่สร้างความยากลำบากให้ครอบครัว

ต้องตามแก้ปัญหา ในที่สุด ปัญหาในบ้าน และ ความไม่เข้าใจของพ่อ และ แม่ จึงเหมือนเป็นการผลักไสไล่ส่งแบบกลาย ๆ ให้ฮิคาริออกไปเผชิญกับความเป็น “คุณแม่ไม่พร้อม” แต่เพียงลำพัง

รวมถึงยังสะท้อนภาพ ‘ความเป็นหญิง’ ในญี่ปุ่นที่ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามหรือน่ารักแต่เพียงอย่างเดียว ญี่ปุ่นดูเหมือนจะคล้ายกับหลายประเทศทั่วโลก ที่ผู้หญิงมักประสบปัญหาความลำบากในชีวิตมากมายหลายประการ ผู้หญิงหลายคนตั้งครรภ์

ไม่พร้อม ซึ่งบางคนต้องออกจากการเรียนกลางคัน หนีออกจากบ้านไปหางานรับจ้างเงินน้อยเพื่อเลี้ยงชีพ บางคนอาจไม่มีทางออกในชีวิตจนต้องกลายไปเป็นโสเภณี หลายคนก็ถูกเอารัดเอาเปรียบ แถมมีชีวิตครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ไม่เข้าใจ รวมถึงการต้องปิดบัง แอบซ่อนปัญหาเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นเพราะกลัวว่าจะเสียหน้า และ อับอาย ตามลักษณะนิสัยแบบสังคมญี่ปุ่น

ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งมันเกิดขึ้นจากการให้กำเนิด และ การเลี้ยงดูที่บิดเบี้ยว แต่นั่นก็จะโทษผู้หญิงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะมันก็เป็นข้อสังเกตของหนังอยู่เหมือนกัน ตรงที่ตัวหนังเน้นเล่าเรื่องของผู้หญิง (โดยเฉพาะชีวิตผู้หญิงญี่ปุ่น) เสียมาก จนทำให้ขาดมุมมองของผู้ชาย และ ความเป็นผู้ชายในฐานะผู้มีส่วนในความรับผิดชอบ ทั้งการเลี้ยงดูลูก และ การมีส่วนปกป้องสังคมไม่ให้คนไม่ว่าจะเพศไหน ต้องตกเป็นเบี้ยล่างหรือถูกเอาเปรียบในความแตกต่างทางเพศได้

แม้หนังเรื่องนี้ของผู้กำกับ ‘นาโอมิ คาวาเสะ’ จะมีความ ‘แมส’ มากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เธอเคยกำกับมาก่อนหน้านี้ แต่เรื่องนี้ก็ยังมีร่องรอยวิธีการเล่าเรื่องด้วยกลวิธีแบบหนังอินดี้อยู่พอสมควร ทั้งวิธีการเล่าเรื่องที่แช่มช้า (แต่ไม่เชื่องช้า)

การใช้ภาพธรรมชาติใน 6 เมืองสำคัญของประเทศญี่ปุ่น ทั้งป่าไม้ ภูเขา ทะเลอันสวยงามที่เสมือนเป็นตัวแทนเรื่องรา วและ ความรู้สึกของตัวละคร วิธีการเล่าเรื่องที่แหวกขนบทั้งการเปลี่ยนบางซีนให้กลายเป็นสารคดีสัมภาษณ์ที่ถือกล้อง Handheld รวมถึงการเล่าข้าม 2 เส้นเรื่องแบบไม่แคร์เวิลด์

ซึ่งแน่นอนว่าในทีแรกที่ดูอาจทำให้รู้สึกงงนิด ๆ ว่า ทำไมถึงเล่าเรื่องคนนั้นมากกว่าคนนี้ แต่สุดท้ายก็ทำให้เราหายงง เพราะตัวหนังกลาง และ ท้ายเรื่องกลับสามารถขมวดปม และ โยงใยเรื่องราวระหว่าง 2 ครอบครัว ภายใต้เรื่องราวของความเป็นแม่เข้ากันได้อย่างงดงาม และ สะท้อนเรื่องราวของสถาบันครอบครัว ความเป็นแม่ และ ความเป็นผู้หญิงได้อย่างหนักหน่วง งดงาม และ บาดลึกจนอาจน้ำตารื้น

แน่นอนว่าหลายคนอาจรู้สึกไปก่อนแล้วว่า หนังที่เกี่ยวกับประเด็นแม่ลูกบุญธรรม ก็คงไม่พ้นการแย่งชิงลูกกัน แต่ต้องบอกเลยว่า ‘True Mothers’ คือหนังที่ลงลึกให้เราได้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว รวมถึงความเป็นแม่ ที่ไม่ใช่มีแค่ทำหน้าที่ให้กำเนิดออกมา

หรือทำหน้าที่เลี้ยงดูให้เติบโตเพียงเท่านั้น แต่ระหว่างทางที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นมา การมอบความรัก ความเข้าใจ และ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเหมือนคนไร้ตัวตนให้กับลูก นั่นต่างหากคือสิ่งที่จะทำให้ครอบครัว และ สังคมแข็งแรง และ มีความสุข เว็บหนัง

รีวิว Ambulance

รีวิว Ambulance

รีวิว Ambulance

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับทุกคนคอหนังแอ็กชันต้องสั่นสะท้ายเมื่อเจ้าแห่งหนังบู๊อย่าง เสด็จพ่อแห่งหนังแอ็กชันอย่างป๋า ‘ไมเคิล เบย์’ พระเอกหนังดังหลายๆเรื่อง (Michael Bay) หลังจากฝากความโหดในภาพยนตร์ Netflix Original ‘6 Underground’ (2019) เอาไว้ได้อย่างโหด ปีนี้ป๋าขอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลงานภาพยนตร์แอ็กชันวินาศสันตะโรเรื่องใหม่ล่าสุด ‘Ambulance’ หรือ ‘ปล้นระห่ำ ฉุกเฉินระทึก’

ซึ่งเป็นผลงานที่หยิบเอาเค้าโครงเรื่องจากต้นฉบับภาพยนตร์ของประเทศเดนมาร์ก ‘Ambulancen’ (2005) มารีเมกใหม่ให้กลายเป็นภาพยนตร์แอ็กชันสุดระทึก ภายใต้มาตรฐานระเบิดเขาเผากระท่อมสไตล์ป๋าเบย์ หรือที่มีศัพท์ที่บัญญัติเรียกเป็นการเฉพาะว่า ‘Bayhem’ นั่นแหละ เว็บดูหนัง

รีวิว Ambulance

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องราวของ ‘Ambulance’ เริ่มต้นด้วย ‘วิลเลียม ชาร์ป’ (Yahya Abdul-Mateen II) อดีตทหารผ่านศึกที่กำลังกลุ้มใจ เพราะต้องหาเงินจำนวนมหาศาลมาจ่ายค่ารักษาผ่าตัดภรรยา ด้วยความมืดแปดด้าน เขาจึงจำใจขอความช่วยเหลือจาก ‘แดนนี ชาร์ป’ (Jake Gyllenhaal) พี่ชายบุญธรรมและอาชญากรมืออาชีพ แดนนีจึงเสนองานปล้นธนาคารใหญ่ยักษ์กลางเมืองลอสแองเจลิส เพื่อหวังครอบครองเงินจำนวนสูงถึง 32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แต่แล้วเรื่องก็เริ่มบานปลาย ทำให้ทั้งคู่ต้องหลบหนีด้วยการจี้รถพยาบาล เพื่อใช้ขับหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทั่วเส้นทางถนนของเมืองลอสแองเจลิส โดยมี ผู้ป่วยตำรวจที่กำลังบาดเจ็บสาหัส และ ‘แคม ธอมป์สัน’ (Eiza González) เจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉินติดรถมาเป็นตัวประกันด้วย ทั้งคู่จึงต้องซิ่งรถพยาบาลคันนี้เพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ระดมทั้งรถและเฮลิคอปเตอร์ออกไล่ล่า และแถมยังต้องรักษาชีวิตของตำรวจเอาไว้ให้ได้ เพราะไม่งั้นอาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้กฏหมายเอาได้ง่าย ๆ

ณ ตอนที่หนังเข้าฉายนี้ ผู้เขียนเองยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องตัวเลขทุนสร้างของเวอร์ชันไมเคิล เบย์นะครับ แต่ถ้าจะให้เทียบ ผู้เขียนคิดว่าหนังเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นหนังฟอร์มใกล้เคียงกับ ‘6 Underground’ (2019) นั่นแหละ ซึ่งถ้าจะให้เทียบกับ ‘Ambulancen’ ต้นฉบับหนังของเดนมาร์ก ซึ่งจริง ๆ แล้วเนี่ย มันเป็นหนังคอมมีดี้แอ็กชันที่โปรดักชันก๊องแก๊งสุด ๆ เลยนะครับ ไม่แน่ใจว่าป๋าแกไปเห็นแววได้ไง

แต่ก็นั่นแหละครับ สายตาและวิสัยทัศน์แบบป๋าเบย์ซะอย่าง สามารถอัปเกรดจากหนังบ้าน ๆ ให้กลายเป็นหนังฟอร์มปานกลางที่จัดหนักด้านเอฟเฟกต์แท้ ๆ ไม่พึ่งพาซีจีแบบหนักมือ และอัปเกรดบทให้กลายเป็นแอ็กชันซีเรียส ตาามแบบฉบับมาตรฐานหนังระเบิดเขาเผากระท่อมของไมเคิล เบย์ จนแทบจะลืมหนังต้นฉบับก๊องแก๊งเรื่องนั้นไปเลยแหละ (555)

รีวิว Ambulance

ในแง่ของบท อย่างที่บอกว่า ป๋าเบย์ยังคงเน้นแอ็กชันแบบหนักมือ แต่ก็ดีตรงที่ไม่ได้ละเลยเนื้อหาไปเสียทีเดียว ในองก์แรกจึงเน้นหนักไปที่การเล่าปูพื้นเรื่องราวเพื่อให้คนดูซึมซับความเป็นหนังคู่หู หรือ Buddy Film ไว้เนิ่น ๆ ตั้งแต่ความลำบากของวิลเลียมในการหาเงินมาผ่าตัดภรรยา มุมมองของคนปฏิบัติหน้าที่พยาบาลฉุกเฉินในแบบของแคม (แคมิล)

เรื่องราวความเป็นพี่น้องของแดนนีกับวิลเลียม ที่แม้ว่าจะเป็นพี่น้องบุญธรรมที่ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ทั้งคู่ก็มีชีวิตที่ค่อนข้างจะสวนทางกัน แดนนีเติบโตมาเป็นอาชญากรตามรอยพ่อแบบไม่เกรงกลัวกฏหมาย ส่วนแดเนียลกลับเลือกที่จะไปเป็นทหาร และกลายมาเป็นทหารผ่านศึกที่เชี่ยวชาญปฏิบัติการทางการทหารเป็นอย่างดี

จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่มาร่วมปฏิบัติภารกิจปล้นธนาคาร แม้เหตุการณ์จะเดินเรื่องได้ค่อนข้างกระชับฉับไว แต่ตัวหนังก็ยังให้เวลาเต็มที่กับปฏิบัติการปล้นครับ พูดง่าย ๆ ก็คือ องก์แรกนี่คือแทบจะ No Action เลย พร้อม ๆ กับการใช้บทสนทนาของตัวละครในการค่อย ๆ ให้รายละเอียดปูมหลัง จนกระทั่งสัญญาณแรกมาถึง ตัวหนังถึงค่อยกระทืบคันเร่ง ก่อนจะออกสตาร์ตด้วยแอ็กชันแบบต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อแดนนีและวิลเลียมปล้นรถพยาบาล ออกไปซิ่งบนถนนเพื่อหลบหนีการจับกุม ตัวหนังจึงค่อย ๆ เพิ่มซีนแอ็กชัน งานระเบิด รถชน งานวินาศสันตะโรบนถนน และฉากซิ่งหลบหนีขบวนรถและเฮลิคอปเตอร์ตำรวจ ที่แห่กันมาไล่ล่ากันจนแทบไม่ให้ได้หยุดหายใจ

รวมทั้งการแอบแวะเล่นมุกตลกเบี้ยบ้ายรายทาง ซึ่งอันนี้ก็ถือว่าเป็นสไตล์ป๋าเบย์อีกนั่นแหละ เพราะขนาดเหตุการณ์กำลังเดือด ๆ ลุ้นกันมือแทบหงิก แต่ก็ยังสอดแทรกมุกจังหวะนรก หรือตลกกวนเบื้องล่างเข้ามาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้หน้าตาเฉย แถมด้วยบทสนทนากวนเบื้องล่างจี๊ด ๆ ไปอีกดอก ซึ่งก็ถือว่าแก้เลี่ยนแกล้มแอ็กชันระทึกได้ดีเลย แถมป๋าแกยังแอบใส่ Easter Egg เกี่ยวกับหนังที่แกเคยกำกับไว้ รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวแกเองเอาไว้ด้วยนะครับ ต้องลองหาดู ดูหนัง

บทสรุป Ambulance

รีวิวหนังมาใหม่ ซึ่งพอตัวหนังให้รายละเอียดในการปูเรื่องไว้ค่อนข้างดี มันก็เลยส่งผลดีให้กับหนังในหลาย ๆ จุด ทั้งเรื่องราวดราม่าที่ปูและกลับมาเก็บกลับในตอนท้ายเรื่องได้โอเคเลย รวมทั้งการเห็นความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครพี่น้องอย่างแดนนีกับวิลเลียม ที่เราจะได้เห็นเรื่องราวความรักในครอบครัว การทำหน้าที่เจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉินด้วยจิตวิญญาณ

รวมทั้งความสัมพันธ์ของพี่น้อง ที่ตัวหนังปูให้เราเห็นว่า ทั้งคู่แม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องทางสายเลือด แต่ก็เป็นเหมือนพี่น้องจริง ๆ ที่ผูกพันรักใคร่กันมาตั้งแต่เด็ก แต่แม้จะรักใคร่กันแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็มีความขัดแย้งในแง่ของอุดมการณ์ที่สวนทางกัน กลายเป็นปม Conflict เล็ก ๆ ให้ได้ลุ้นว่าทั้งคู่จะตัดสินใจต่อไปยังไง ระหว่างชิ่งขนเงินหนี แล้วปล่อยให้ตำรวจตาย หรือจะช่วยทุกคนให้รอดพ้นจากเหตุสุ่มเสี่ยงอันตรายไปพร้อม ๆ กัน เรียกว่าเป็นหนังที่จะทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วยทั้งฝั่งตัวเอก และฝั่งตำรวจไปด้วยพร้อม ๆ กันเลย

ซึ่งอันนี้ก็ต้องชื่นชมคุณ ‘เจก จิลเลนฮาล’ (Jake Gyllenhaal) ด้วยนะครับ ในฐานะที่ค่อย ๆ ระเบิดความคลั่งออกมาได้สุดพลังมาก ๆ คือก็คงไม่ถึงกับแบกหนังหรอกนะครับ แต่ว่าการแสดงของคุณพี่เค้า ทั้งมาดเจ้าเสน่ห์แพรวพราวในฐานะอาชญากรมือโปร และการระเบิดพลังคลั่งเครียดในรถพยาบาล ก็ต้องเรียกได้ว่าการแสดงของคุณพี่เค้าโดดเด่นออกหน้าออกตาจริง ๆ นั่นแหละ

รีวิว Ambulance

และที่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้นั่นก็คือนักแสดงสาว ‘ไอซา กอนซาเลซ’ (Eiza González) ผู้รับบทเจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉิน ที่แม้จะร่วมตะลุยในเหตุบ้าคลั่งจนยับเยินไปหมด แต่ก็ต้องชมว่า เธอในชุดเจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉินนี่ช่างขึ้นกล้องและมีเสน่ห์ สมกับเป็นหนึ่งในนางเอกจักรวาลหนังป๋าเบย์จริง ๆ

อีกจุดที่ทำให้ตัวหนังที่แม้จะมีเล่าผ่านเหตุการณ์เดียวตลอดเกือบทั้งเรื่อง แต่ก็ทำออกมาได้ไม่น่าเบื่อก็คือ การที่ทั้งคู่เองก็พอจะมีทักษะด้านปฏิบัติการทางทหาร เพราะวิลเลียมเองก็เป็นอดีตทหาร ส่วนแดนนีก็มีกองหนุนไว้คอยช่วยเหลือให้ทั้งคู่หลบหนีได้อย่างสะดวก ทำให้ทั้งคู่จึงแอบใช้ปฏิบัติการทางทหารมาประยุกต์ใช้ในการหลบหนีตำรวจด้วย ทำให้การไล่ล่าจึงไม่ใช่แค่การซิ่งรถชนนั่นระเบิดนี่แต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างปฏิบัติการซิ่งหลบหนี กับปฏิบัติการไล่ล่าของตำรวจที่เรียกได้ว่ารู้ทันกัน และไล่ตามกันแบบสูสีแบบไม่มีใครยอมใคร

อีกฉากที่เรียกได้ว่าเป็นฉากไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็คือฉากผ่าตัดบนรถครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็แทบจะแกะแบบมาจาก ‘6 Underground’ (2019) มาเลยนั่นแหละ เพียงแต่ว่าในหนังเรื่องนี้ ด้วยความที่สถานการณ์ออกจะคับขันกว่ามาก ตัว ‘แคม ธอมป์สัน’ เองก็เป็นเพียงแค่พยาบาลฉุกเฉินที่ไม่มีความรู้ในการผ่าตัด แถมอาการของตำรวจที่โดนยิงก็อาการสาหัส เธอก็เลยจำเป็นจะต้องผ่าตัดใหญ่เพื่อจะเอากระสุนออกจากม้าม ทั้ง ๆ ที่รถกำลังวิ่งซิ่งหนีการจับกุมอยู่ เอาจริง ๆ ถ้าจะเทียบกัน ฉากผ่าตัดในหนังเรื่องนี้ถือว่าทำได้ถึงกว่าครับ เรียกได้ว่านอกจากจะระทึกแล้ว ยังชวนให้เสียวสันหลังและแอบพะอืดพะอม (สำหรับคนที่กลัวเลือดแบบผู้เขียน) เข้าไปใหญ่เลย

ส่วนถ้าจะมีข้อสังเกตอยู่บ้าง ก็ต้องหมายเหตุไว้ก่อนนะครับว่า หนังแนว ๆ นี้ของป๋าเบย์ ก็เป็นหนังที่เน้นให้ความบันเทิงเป็นหลักนั่นแหละนะครับ ถ้าดูเอาเป็นความบันเทิง ก็ถือว่าเป็นหนังที่สนุกมากทีเดียว ทั้งฉากไล่ล่า มุกจังหวะนรก หักเหลี่ยมซ้อนแผน การช่วยชีวิตตำรวจที่ถูกยิงอาการสาหัส และฉากเอฟเฟคระเบิดตูมตามวินาศสันตะโร แต่ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ด้วยสายตาซีเรียส มันก็ยังพอจะเห็น Plot Hole เวอร์เกินจริงให้เพ่งเล็งได้ตลอดทั้งเรื่องนั่นแหละ เว็บหนัง

ทั้งเรื่องง่าย ๆ เช่นทำไมซิ่งรถกันขนาดนี้แล้วน้ำมันไม่หมดบ้างเหรอ ฉากผ่าตัดที่แม้จะชวนให้หวาดเสียว แต่ก็มีความเวอร์จนรู้สึกทะแม่ง ๆ ไปสักหน่อย แต่ก็นั่นแหละคนที่เป็นแฟนหนังป๋าเบย์ ย่อมเข้าใจว่า ความเป็น Bayhem ก็คือองค์ประกอบ การตัดต่อ และความเวอร์วังอะไรทำนองนี้นี่แหละ ที่แฟนหนังชื่นชอบและเป็นเอกลักษณ์สำคัญของหนังไมเคิล เบย์ คือถ้าดูมันในฐานะหนังแอ็กชันบันเทิงแกล้มป๊อปคอร์น (บวกน้ำอัดลม) หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าสอบผ่านฉลุย

โดยสรุป ‘Ambulance ปล้นระห่ำ ฉุกเฉินระทึก’ สำหรับแฟน ๆ หนังป๋าเบย์ ก็เรียกได้ว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ยึดความเป็น Bayhem เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน มีและทำทุกอย่าง อย่างที่หนังไมเคิล เบย์ควรจะเป็นจริง ๆ สำหรับคอหนังแอ็กชันสายแมส ก็ถือว่าเป็นหนังแอ็กชันที่ให้ความบันเทิงได้แบบไม่ต้องคิดอะไร ดูแล้วได้ลุ้น ระห่ำสะใจ รวมทั้งงานด้านภาพที่เฟี้ยวฟ้าวถูกใจคนรุ่นใหม่แน่นอน (ส่วนคนรุ่นเก่าแบบผู้เขียน ขอแอบเวียนหัวนิดนึงนะ (555)

 

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีจ้าแฟนๆชาวโซนิก เรียกได้ว่ามาสานต่อความสำเร็จจากภาคที่แล้วแบบรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ผู้ชมหรือแฟนๆเปื่อยไปก่อน ไม่ทิ้งช่วงให้รอนาน อย่างกับเจ้าเม่นสายฟ้าออกวิ่งอย่างนั้นแหละ เพราะว่า ‘Sonic The Hedgehog 2’ หรือ ‘โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก 2’ นี้ ทิ้งห่างจากภาคแรก ‘Sonic The Hedgehog’ (2020) ภาพยนตร์กึ่งแอนิเมชันแบบไลฟ์แอ็กชัน ที่สร้างมาจากคาแรกเตอร์และเกมในตำนานของค่ายเซกา (Sega) เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง กลายเป็นหนังสร้างจากเกมไม่กี่เรื่องที่สามารถรอดพ้นอาถรรพ์หนังสร้างจากเกมที่มักจะเห่ยสนิทและเจ๊งยับ จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสกลับมาสร้างภาคใหม่อีกครั้ง โดยได้ ‘เจฟฟ์ ฟาวเลอร์’ (Jeff Fowler) ผู้กำกับจากภาคแรก และนักแสดงชุดเดิมจากภาคแรก กลับมาร่วมงานแบบครบทีม

เคล็ดลับความสำเร็จก็น่าจะมาจากการที่ตัวหนังดูสนุก ดูง่าย เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี แถมยังเอาใจคอเกมด้วยการใส่แฟนเซอร์วิสและ Easter Egg จากเกมมาให้แบบจุก ๆ รวมทั้งการที่พาราเมาต์ พิกเจอร์ส (Paramount Pictures) ยังยอมอัดงบเพิ่ม 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อปรับแก้ดีไซน์เจ้าโซนิคเวอร์ชันแรก ที่โดนแฟน ๆ ถล่มเพราะออกมาทรงประหลาดเกินรับไหว เรียกว่าปรับแก้กันจนในที่สุดก็ออกมาน่ารักน่าชัง และใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ต้นฉบับที่คุ้นเคยมากกว่าที่จะเน้นความสมจริง

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

แน่นอนว่า เนื้อเรื่องในภาคนี้เองก็จะต่อมาจาก Mid-Credits จากภาคที่แล้วเลยครับ ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้ดู อันนี้ผู้เขียนขอเบรกให้หยุดอ่าน แล้วไปหาดูใน Netflix ก่อนได้เลยนะครับ เพราะเนื้อหาค่อนข้างต่อและเชื่อมโยงมาจากภาคแรกพอสมควร ถ้าไม่ดูมาก่อนอาจจะมีงงและโดนสปอยล์ได้ เว็บดูหนัง

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ เนื้อหาเริ่มต้นหลังจากที่ ‘โซนิค’ (พากษ์เสียงโดย Ben Schwartz) ได้เนรเทศ ‘ดร. โรบอตนิก’ (Jim Carrey) ไปอยู่ดาวเห็ดได้ในภาคแรก เจ้าเม่นสีฟ้าก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ ‘ทอม’ (James Marsden) นายอำเภอเมืองกรีนฮิลล์ (Green Hills) และคู่รัก ‘แมดดีย์’ (Tika Sumpter) โซนิคกำลังสนุกอยู่กับการแอบเป็นฮีโรฉายเดี่ยวพิทักษ์โลก (ที่สุดท้ายมักจะจบไม่ค่อยสวย)

จนกระทั่งวันหนึ่ง โซนิคต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง เพราะทอมกับแมดดีย์ต้องเดินทางไปงานแต่งงานของ ‘ราเชล’ (Natasha Rothwell) พี่สะใภ้ที่ฮาวาย ในขณะเดียวกันที่ ดร. โรบอตนิก หรือด็อกเตอร์เอกแมน (Doctor Eggman) ก็กำลังวางแผนจับมือกับ ‘นักเคิลส์’ (พากษ์เสียงโดย Idris Elba) นักรบเผ่าอีคิดนาที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่่สุดในกาแล็กซี่ เพื่อแย่งชิงมรกต (Master Emerald) อัญมณีทรงพลังที่มีอำนาจในการทำลายอารยธรรมมาเป็นของตัว โซนิคจึงต้องแย่งชิงมาให้ได้ก่อนที่จะตกไปอยู่ในมือผู้ร้าย โดยมี ‘เทลส์’ (พากษ์เสียงโดย Collen O’Shanussy) จิ้งจอกสองหางสุดอัจฉริยะ แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงของโซนิค ร่วมมือในการปกป้องโลกในครั้งนี้ด้วย

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

ในส่วนของพล็อตเรื่อง ผู้เขียนแอบคิดเอาเองว่า ผู้เขียนบทน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์เรื่องราวจากเกม บวกกับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในแอนิเมชัน ‘Sonic X’ (2003 – 2006) (ฉายทาง Netflix) นะครับ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่ถ้าใครเคยดูแล้วจะร้องอ๋อเหมือนผู้เขียนแน่นอน เพราะเนื้อเรื่องในอนิเมะบางตอนนั้นมีความคล้ายกับเรื่องราวในหนังพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องราวของการแย่งชิงมรกต และ ‘ตัวละครบางตัว’ ที่โผล่มาในหนังเป็นครั้งแรก ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟน ก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้ได้รู้จักตัวละครใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก และผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าดูหนังแล้ว น่าจะอยากกลับบ้านไปดู Sonic X ต่อแน่นอน

ซึ่งตัวหนังเองก็ยังคงยึดวิธีการเขียนบท และวิธีการเล่าเรื่องในแบบเดียวกับภาคแรก ที่เน้นความเบาของเนื้อเรื่อง เดินเรื่องเป็นเส้นตรง ดูง่าย เบาสมอง เรตไม่แรง รวมทั้งการหยิบ Easter Egg จากในเกมมาใส่ได้อย่างกลมกลืนและเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนเกมได้ไม่แพ้ภาคแรก แต่สิ่งที่ทำให้ภาคนี้มีความแตกต่างก็คือ ความเล่นใหญ่นี่แหละครับ เรียกว่าภาคนี้ขยายสเกลทั้งเรื่องราว โปรดักชัน ซีจี ที่เรียกได้ว่าอัปเกรดจากภาคที่แล้วขึ้นอีกหลายเท่าตัว ตั้งแต่บทที่เน้นเรื่องราวการผจญภัยปกป้องกาแล็กซี และซีจีที่อัปเกรดจัดเต็มแบบ Epic ซะจนแทบจะกลายเป็นหนังฮีโร Marvel แบบย่อม ๆ ไปแล้ว (555)

ซึ่งไอ้ความเล่นใหญ่แบบ Epic นี่แหละที่ถือว่าเป็นการแก้ Pain Point จากภาคแรกแบบชัดเจนมาก เพราะภาคแรกจริง ๆ ก็ดูสนุกแหละครับ แต่พล็อตมันก็ค่อนข้างจะเด็ก ๆ เหมือนดูอนิเมะอยู่พอสมควร แต่พอขยายพล็อตใหญ่ขึ้น ได้เห็นการผจญภัยมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตัวพล็อตและการดำเนินเรื่องมีพลังมากพอที่จะเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม และถือว่าเป็นอะไรที่เกินคาดมาก ๆ โดยเฉพาะใครที่อาจจะรู้สึกว่าภาคแรกอร่อยแต่ให้น้อยเหมือนกินอาหารเด็ก ภาคนี้รับรองว่ามีจุกแน่นอน ดูหนัง

สรุป Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ แน่นอนว่า ตัวหนังก็ยังมีข้อสังเกตก็คือ ยังมีบางฉากที่ดูจะไม่ค่อยจำเป็นและไม่ได้มีผลต่อเรื่องมากนัก ซึ่งทำให้ตัวหนังบางช่วงดูยืดยาดน่าเบื่อคล้าย ๆ ภาคแรกไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังพอจะแฝงเรื่องราว ใส่ Plot Twist ให้ตื่นเต้นและดูสนุก แม้ว่าตัวเรื่องจะพอเดาได้ ใส่มุกฮาให้ได้ขำพอไหล่สั่น โชว์คาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวได้ชัดขึ้น และยังสามารถขับเน้นประเด็นเรื่องความเป็นเพื่อนและครอบครัวได้มีพลังและชวนให้ซึ้งได้อย่างจัดเต็มมาก ๆ (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใช้ทีมสร้างเดียวกับ ‘The fast and the furious’ หรือเปล่านะ เอะอะก็ครอบครัว ๆ (555))

ส่วนในแง่ของการแสดง ก็หนีไม่พ้นล่ะครับที่จะไม่พูดถึงตัวละครที่มาจากเกม ที่ดูจะทำได้ดีกว่าตัวละครที่เสริมแต่งในเวอร์ชันหนังไปทั้งสองภาคซะแล้วแฮะ ไม่ว่าจะเป็นเคมีระหว่างตัวละครระหว่างโซนิค เทลส์ และนักเคิลส์ ที่ทำออกมาได้น่ารักมาก ๆ และหนีไม่พ้นที่จะต้องยก MVP ให้กับลุงจิม แครีย์ (Jim Carrey) เจ้าของบทด็อกเตอร์โรบอตนิกนี่แหละครับ ที่ภาคนี้มีโอกาสได้ปล่อยลีลาแบบจัดเต็มซะยิ่งกว่าภาคที่แล้วอีก คือถ้าลุงจะเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายจริง ๆ เหมือนอย่างที่ลุงแกออกมาให้สัมภาษณ์ ก็ถือว่าเป็นการทิ้งทวนที่ไม่เสียหลายล่ะครับ

โดยสรุป ‘Sonic The Hedgehog 2’ ก็ยังทำหน้าที่เป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัวได้อย่างดีนะครับ ด้วยพล็อตเบา ๆ และการดำเนินเรื่องแบบเส้นตรงที่ดูง่ายไม่ซับซ้อน ในขณะที่ตัวหนังเองก็จัดเต็มได้แบบจุก ๆ ด้วยโปรดักชันและซีจีที่เล่นใหญ่กว่าภาคแรก เป็นหนังสำหรับครอบครัวที่ให้ความบันเทิงเล่นใหญ่ที่ดูได้สนุกกันทั้งครอบครัว เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมหรือไม่ก็ตาม เว็บหนัง

RELEASE DATE 06/04/2022
แนว แอ็กชัน / ผจญภัย / แอนิเมชัน
ความยาว 2.02 ชม. (121 นาที)
เรตผู้ชม G
ผู้กำกับ เจฟฟ์ ฟาวเลอร์ (Jeff Fowler)

จุดเด่น

– ยังเน้นดูง่าย ดูสนุก เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดีเหมือนภาคแรก
– พล็อตและงานซีจีจัดเต็มเล่นใหญ่กว่าภาคที่แล้ว
– มุกฮาดูง่าย สนุก ตื่นเต้น ดูง่าย บันเทิงกว่าภาคแรก
– แฝงแง่คิดเกี่ยวกับเพื่อนและครอบครัวได้ดี
– จิม แครี แสดงได้ร้ายและแพรวพราวกว่าภาคที่แล้ว

จุดสังเกต

–  บางข็อตแอบยืดยาดไปหน่อย อาการคล้ายภาคแรก
– เดินเรื่องเป็นเส้นตรง มีพล็อตทวิสต์บ้างแต่ก็ยังเดาง่าย