Category Archives: รวมบทความ

รีวิว Aladdin

รีวิว Aladdin

1

รีวิว Aladdin

รีวิว Aladdin ทำออกมาดีเกินคาดมากกก เลิฟมากกกกไม่เผื่อใจ อะลาดิน (Aladdin)  กลายเป็นหนังดิสนีย์เปลี่ยนการ์ตูนมาเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง (Live Action) อีกเรื่องที่คุณจะตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง ตั้งแต่ นักแสดง คอสตูม ฉากซีจีอลังการ เพลงเพราะ ลิงอาบู ยันพรมวิเศษ 

พันพันราตรีที่จีนี่ไม่เจอใครๆ บอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้เห็นทีเซอร์ และ นักแสดงก็แอบลุ้นว่าจะไปรอดมั้ย แถม วิล สมิธ (Will Smith) กับบทจีนี่ตัวฟ้าก็ออกมาแปลกๆ

แต่พอได้ดูเต็มๆแล้วเปลี่ยนความคิดจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที หนังทำออกมาดีมากอิ่มเอมใจอาหรับราตรี บรรยากาศชวนให้อยากระบำหน้าท้องไปตลอดเรื่อง ทุกอย่างมันลงตัว ทั้งบท นักแสดง เพลง คอสตูม ท่าเต้นโมเดิร์น มุขตลกที่ใส่เข้ามาได้ฮาก๊าก รวมรีวิวหนัง

2

เปลี่ยนการ์ตูนที่เราคุ้นกันดีวัยเด็กทำออกมาได้อย่างมีสีสันมีชีวิตชีวา ตัวบทเคารพต้นฉบับปรับออกนิดเติมเข้ามาหน่อยกลายเป็นหนังที่สมบูรณ์ สมเหตุสมผลมากขึ้น

ระหว่างดูภาพจำจากเวอร์ชั่นการ์ตูนโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ฉากไหนที่เราเคยชื่นชอบก็มีให้ฟิน ไม่ว่าจะเป็นฉากแห่เจ้าชายที่สุดของความอลังการ ฉากคู่รักท่องโลกบนพรมวิเศษฯ แถมบางส่วนเพิ่มเข้ามาก็ทำได้ดีไม่ขัดหูขัดตา ซีจีดีงามเป็นอย่างมาก คอสตูมก็เริ่ดสมราคาดิสนีย์ไม่มีคำว่าผิดหวัง

รีวิว Aladdin เนื้อเรื่อง

อะลาดิน เป็นจอมโจรหนุ่มจิตใจงามที่อาศัยอยู่ในนครอัคราบาห์ของอาหรับ อยู่ร่วมกับ ลิงสัตว์เลี้ยงนาม อาบู ได้ช่วยชีวิตและผูกมิตรกับเจ้าหญิงจัสมินที่แอบหลบหนีออกจากวัง เพื่อออกสำรวจชีวิต เพราะเบื่อกับชีวิตที่ถูกประคบประหงม ในขณะเดียวกัน มหาเสนาบดีจาฟาร์มีแผนการที่จะโค่นล้ม สุลต่าน บิดาของเจ้าหญิงจัสมิน เขาออกตามหา ตะเกียงวิเศษ ที่ถูกซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งสิ่งมหัศจรรย์ 

 เพื่อจะให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง ซึ่งมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรเท่านั้น เรียกว่า “เพชรในตม” ซึ่งคืออะลาดิน อะลาดินซึ่งถูกจับตัวไว้ได้ตอนลอบเข้าไปในวัง เพื่อพบเจ้าหญิงจัสมิน จาฟาร์หลอกล่อให้เขาไปเอาตะเกียงมา

แล้วจะปล่อยให้เป็นอิสระ ภายในถ้ำอะลาดินได้ช่วยเหลือ พรมวิเศษ ไว้ และได้ตะเกียง เขามอบมันให้กับจาฟาร์ ก่อนจะโดนทรยศทิ้งไว้ในถ้ำ โชคดีที่อาบูขโมยตะเกียงโยนกลับมาให้เขาได้ รีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่

อะลาดินที่ติดอยู่ในถ้ำและเผลออัญเชิญจีนี่ที่อาศัยอยู่ในนั้น ซึ่งมี อำนาจทุกอย่าง โดยไม่รู้ตัวผ่านการถูตะเกียง จีนี่อธิบายว่าเขามีพลังมากพอที่จะให้พร อะลาดิน สามข้อตามที่ปรารถนา อะลาดินใช้อุบายหลอกให้ จีนี่ออกมาจากถ้ำได้ โดยไม่ใช้พร  

หลังจากนั้น อะลาดินจึงใช้พรขอความต้องการอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยการเป็นเจ้าชายเพื่อสร้างความประทับใจให้กับเจ้าหญิงจัสมิน และสัญญาว่าจะใช้ความปรารถนาข้อสุดท้ายของเขาเพื่อปลดปล่อยจีนี่จากการถูกจองจำ 

3

เมื่อเขาพาเธอขึ้นไปนั่งบนพรมวิเศษเพื่อแสดงให้เธอเห็นโลกที่เธออยากเห็นมาตลอด ในขณะที่ จีนี่ออกไปเดทกับดาเลีย นางกำนัลของเจ้าหญิงจัสมิน

แต่เมื่อเจ้าหญิงจัสมินจับได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของอะลาดิน เขาจึงโน้มน้าวเธอว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นเจ้าชายและที่แต่งตัวเหมือนยาจก ก็เพื่อทำความรู้จักกับชาวอัคราบาห์ก่อน จาฟาร์ที่รู้เรื่องนี้จึงขู่ให้เขาบอกที่ซ่อนของตะเกียง และโยนเขาลงไปในทะเล  

อะลาดินจึงถ่วงเวลาโดยการเยาะเย้ย จาฟาร์ ว่ายังเป็นรองจีนี่ ในแง่ของพลังทั้งหมด เพื่อจะนั้นให้เขาใช้พรความปรารถนาข้อสุดท้าย ให้กลายเป็นสิ่งที่ทรงอำนาจที่สุดในจักรวาล แต่เนื่องจากพื้นที่ในตะเกียงมีไว้สำหรับจีนี่ตนเดียว จีนี่จึงได้รับอิสระ และเปลี่ยนจาฟาร์

เป็นจีนี่ซะเอง เพราะไม่มีเจ้านาย จึงถูกจองจำไว้กับตะเกียงโดยลากอิอาโกเข้าไปข้างในกับเขาด้วย จีนี่โยนตะเกียงของจาฟาร์กลับไปยังถ้ำแห่งสิ่งมหัศจรรย์ และ อะลาดินทำตามสัญญา โดยใช้พรความปรารถนาสุดท้ายของเขาเพื่อปลดปล่อยจีนี่

และทำให้เขาได้เป็น มนุษย์ สุลต่านออกประกาศแก่ชาวเมืองว่า เจ้าหญิงจัสมีนจะเป็นผู้ปกครองคนต่อไป และบอกเธอว่าอะลาดินเป็นคนดี และคู่ควรกับเธอ และจัสมินได้กลับมาอยู่กับอะลาดิน ในขณะที่จีนี่แต่งงานกับดาเลีย รีวิวหนัง 

และออกเดินทางไปสำรวจโลกกว้างและเริ่มต้นครอบครัวกับลูกชายและลูกสาว โอมาร์ และ เลียน ส่วนอะลาดิน และสุลต่านจัสมิน ก็แต่งงานแล้วเริ่มชีวิตใหม่อย่างมีความสุขนับตั้งแต่นั้น 

นักแสดง

หนัง Aladdin Live Action พล็อตเรื่องจะมีการผสมผสานระหว่าง อะลาดิน เวอร์ชั่นการ์ตูนและเรื่องราวจาก 1,001 Arabian Nights (นิทานอาหรับราตรี) โดยผู้กำกับคือ Guy Ritchie ที่เคยกำกับหนัง Sherlock Holms (ที่แสดงนำโดย Robert Downy JR.) และ John August มาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ 

สำหรับเหล่านักแสดงโดยรวมก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีเลยทั้ง มีนา แมสโซด์ ที่รับบทอลาดินได้อย่างมีเสน่ห์ ส่วน นาโอมิ สก็อตต์ ก็สวยวัวตายควายล้มทุกช็อตที่ปรากฏตัวจริงๆ

ส่วนคนที่น่าจะรับแรงกดดันสุดๆ อย่าง วิลล์ สมิธ ก็ขอปรบมือชื่นชมด้วยใจจริง ทุกฉากที่มียักษ์จินนี่ วิลล์ สมิธิไม่เคยทำให้ผิดหวัง ความทะเล้น พลังงานในการเต้นที่ล้นเหลือ ไปจนถึงฉากแสดงอารมณ์ไม่มีขาดตกบกพร่อง และน่าจะได้เข้าชิงลูกโลกทองคำสาขานักแสดงตลกแน่ๆ 

4

ใครคิดถึงการ์ตูนต้นฉบับรับรองว่า Aladdin ไม่ทรยศกับหนังในดวงใจแน่นอน ส่วนแฟนๆรุ่นใหม่ก็น่าจะถูกใจกับความจัดจ้านของงานสร้างและเรื่องเล่าที่ร่วมสมัยเอามากๆ นับเป็นหนังไลฟ์แอ็คชั่นจากดิสนีย์ที่สร้างสรรค์มากๆและบันเทิงสุดๆไปเลย รีวิวหนังสนุกแนะนำ

Aladdin พระเอกของเรื่องรับบทโดย Mena Massoud นักแสดงหนุ่มชาวอียิปต์ ที่เคยฝากผลงานไว้ในซีส์เรื่องดัง Open Heart 

Jasmine แสดงโดย Naomi Scott ที่เคยแสดงหนังซูเปอร์ฮีโร่ “Power Rangers” โดยรับบทเป็น Pink Ranger นั่นเอง 

Genie แสดงโดย Will Smith นักแสดงชายมากฝีมือจะมารับบทเป็นเจ้ายักษ์ตัวสีฟ้าในตะเกียง

หนังที่สร้างจากการ์ตูน

Aladdin นับเป็นหนังไลฟ์แอ็คชั่นที่สร้างจากการ์ตูนดังของดิสนีย์เรื่องที่ 2 ของปีตามหลัง Dumbo การเรียกใช้บริการ กาย ริชชี่ มาเป็นผู้กำกับนับว่าเป็นก้าวที่กล้าหาญไม่น้อยเลย ด้วยว่าหนังกาย ริชชี่ แทบไม่เคยมีหนังครอบครัวในประวัติการทำงานเลย  

แถมมุกส่วนใหญ่ยังดูผู้ใหญ่ไม่น้อย จนหลายคนกังวลว่า Aladdin ฉบับนี้จะออกมาเละเทะไปกันใหญ่ แถมยังหมั่นสร้างความตระหนกให้แฟนการ์ตูนต้นฉบับทั้ง ภาพโปรโมตที่วิลล์ สมิธ  

ปรากฎกายด้วยสีผิวปกติจนเกิดเสียงครหาไปทั่วโซเชียลมีเดีย กระทั่งได้ปล่อยตัวอย่างจริงออกมานั่นแหละถึงพอเบาใจกันได้หลังได้เห็นฉากขี่พรมวิเศษสุดโรแมนติกในความทรงจำ

แต่หากคิดว่า คนอย่าง กาย ริชชี่ จะคัดลอกการ์ตูนมาแบบหน้าด้านๆ ขอให้คิดใหม่เลย เพราะบทภาพยนตร์ฉบับนี้ กล้าหาญถึงขั้นใส่มุกตลกกาวๆแต่ไม่หยาบคายเข้ามาให้คนดูผู้ใหญ่ได้หัวเราะกันก๊ากใหญ่ๆ 

5

คือความเฟมินิสต์ของเรื่องราวโดยเฉพาะเจ้าหญิงจัสมินที่ฉบับนี้คือกล้าเสนอตัวปกครองประเทศในฐานะสุลต่านเรียกได้ว่าตอบรับกระแสพลังหญิงแบบสุดโต่งจนน่าจะเป็นแรงผลักดันที่ดีให้สาวน้อยทั้งหลายมีโรลโมเดลดีๆ ได้อย่างน่าชื่นชม

ถือว่าความพยายามของดิสนีย์ที่พยายามสร้างความเท่าเทียมก็ตอบโจทย์กับการดัดแปลงจนเกิดเป็น Aladdin ฉบับนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

สำหรับวิสัยทัศน์อีกข้อของกาย ริชชี่ คือการตระหนักรู้ว่าในเมื่อหนังที่ทำมีความเป็นแฟนตาซีเลยไม่ได้ยึดตรรกะกับโลกจริงและสร้างความมหัศจรรย์จากการผสานวัฒนธรรมโดยเฉพาะการนำองค์ประกอบแบบหนังบอลลีวูดมาใช้สำหรับฉากมิวสิคัลที่ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการทุกฉาก แถมยังเพิ่มการผสานวัฒนธรรมได้อย่างแปลกตา  

เช่นฉากเปิดตัวเจ้าชายอาลี ที่ผสมทั้งนักเต้นระบำหน้าท้อง นักเต้นคาร์นีวัล ไปจนถึงเบรคแดนซ์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ส่วนฉากมิวสิคัลอื่นๆ ก็เรียกได้ว่า ริชชี่ เข้าใจความเป็นหนังผสานงานออกแบบงานสร้างสุดอลังการและงดงามโดยยังคงมนต์ขลังจากการ์ตูนต้นฉบับไว้ได้ไม่ตกหล่นเลย  

แถมทั้งยังมีการทำงานในส่วนภาคดนตรีร่วมกับ อลัน เมนเคน ที่เคยทำดนตรีให้กับ Aladdin ฉบับอนิเมชันเมื่อปี 1992 ให้ดัดแปลงเพลงจากต้นฉบับให้มีความร่วมสมัยทั้งใส่กลิ่นอายความเป็นพอพและฮิพฮอพได้อย่างครื้นเครง เรียกได้ว่าในพาร์ตยากสุดๆได้มือดีมาดูแลก็ทำผลงานได้ยิ่งกว่าหายห่วงเลย 

รีวิว Aladdin บทสรุปของเรื่อง

จุดที่ผู้รีวิวชอบที่สุดก็คือการส่งเสริมการเป็น Feminist ของเจ้าหญิง Jasmine ได้อย่างลงตัว คนดูอย่างเราไม่ได้รู้สึกฝืนหรือยัดเยียดมากจนเกินไป และบวกกับที่จุดนี้มีการปูมาตั้งแต่เวอร์ชันแอนิเมชันอยู่แล้ว การได้เห็นเจ้าหญิง Jasmine

ลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อตัวเองและบ้านเมืองจึงเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆ และผู้รีวิวก็รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงหลายๆ คนก็คงจะได้แรงบันดาลใจจากเจ้าหญิง Jasmine เช่นกันค่ะ 

6

โดยภาพรวมแล้ว Aladdin ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งของ Disney

ที่ทำออกมาเป็น Live-Action ได้อย่างพอดี ลงตัวและน่าประทับใจมากๆ หากใครยังไม่ได้ดู ผู้รีวิวก็อยากขอแนะนำให้ทุกคนลองไปดูกันนะคะ โดยเฉพาะเมื่อ Disney ยังคงมีโปรเจ็กต์ในการนำแอนิเมชันมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ Live-Action อีกมากมายที่กำลังรอต่อคิวให้เราได้ชมกันอยู่ค่ะ 

ความรู้สึกหลังรับชม

ก่อนอื่นคงจะต้องพูดถึงในส่วนของบทก่อน เหมือนกับภาพยนตร์ Live-Action ทั่วๆ ไป Aladdin ก็ยังคงไม่ได้แตกต่างอะไรมากในส่วนของบทค่ะ เพราะเวอร์ชันภาพยนตร์นั้นก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเนื้อหาใดๆ เลยเช่นกัน แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับผู้รีวิวนะคะ  

เพราะเราก็แค่อยากเห็นแอนิเมชันและตัวละครที่เราชื่นชอบได้มีโอกาสกลับมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง แต่เราไม่ได้อยากให้เขาเปลี่ยนเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกให้เข้ากับยุคสมัยแต่อย่างใด แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าตั้งแต่เวอร์ชันแอนิเมชันที่เราได้มีโอกาสเห็นเจ้าหญิง Jasmine  

7

ไม่ยอมจำนนให้กับราชประเพณีและธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ในเวอร์ชันภาพยนตร์ก็นำจุดนี้มาขยายให้ใหญ่ขึ้นไปอีกค่ะ แต่นอกจากตรงจุดนี้ เนื้อเรื่องก็ยังเป็นเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกที่เราคุ้นเคยกันดีค่ะ 

ส่วนตัวผู้รีวิวมองว่า จุดที่นำเรื่องของเจ้าหญิง Jasmine มาขยายนั้นเป็นการเกลี่ยบทให้กับตัวละครได้ดีมากเลยล่ะค่ะ แถมจุดนี้ยังเป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมที่เป็นผู้หญิงหลายๆ  

คนประทับใจที่ได้เห็นเจ้าหญิงที่ตนชื่นชอบลุกขึ้นมาสู้และไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจปิตาธิปไตยของผู้ชายในช่วงเวลานั้นอีกด้วยค่ะ แถมเพลง Speechless ที่เป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อตัวละคร Jasmine โดยเฉพาะก็ยังดังเป็นพลุแตกอีกด้วย มาแรงแซงหน้าเพลงประจำเรื่องอย่าง The Whole New World ไปเลยค่ะ 

รีวิว mission impossible

รีวิว mission impossible

1

รีวิว Mission: Impossible Fallout

รีวิวMission: Impossible Fallout เมื่อปฏิบัติการที่เบอร์ลินทำให้ พลูโตเนียม หลุดรอดจนเกิดเหตุวินาศกรรมสถานที่สำคัญทางศาสนา ทำให้ อีธาน ฮันต์ (ทอม ครูซ) จำต้องร่วมงานกับ ออกัส วอล์คเกอร์ (เฮนรี คาวิลล์)

ซีไอเอหนุ่มที่เขม่นเขาตั้งแต่แรกพบ แต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้พลูโตเนียม อาจทำให้ โซโลมอน เลน (ณอน แฮริส) ผู้ก่อการร้ายสุดโฉด หลุดรอดการจับกุมไปได้ ทำให้ทาง ซีไอเอ และ ไอเอ็มเอฟ เริ่มสงสัยในความภักดีของ อีธาน ฮันต์ (ทอม ครูซ) จนเขาต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการตามจับวายร้ายสมองเพชรและหยุดหายนะครั้งใหม่ก่อนโลกจะลุกเป็นไฟให้จงได้ รวมรีวิวหนัง

2

และนี่ก็เป็นครั้งที่ 6 แล้วสำหรับ Mission Impossible จากการนำแสดงและอำนวยการสร้างของ ทอม ครูซ ที่ผ่านมามีผู้กำกับมากหน้าหลายตาที่มาเติมเต็มแฟรนไชส์สายลับชุดนี้ให้ไปไกลกว่าแค่หนังรีเมคจากซีรีส์ ทั้ง ไบรอัน เดอพัลมา

ที่สร้างมาตรฐานการเล่าเรื่องเชิงสืบสวนสอบสวนสุดลึกลับ และมีกลิ่นอายของฟิล์มนัวร์ จอห์น วู มาสานต่อตำนานและเติมฉากแอ็คชั่นดีไซน์สวยๆ ส่วน เจ เจ เอบรามส์ นอกจากมาเติมเรื่องราวเพิ่มมิติด้านครอบครัวให้ อีธาน ฮันต์ แล้วก็ยังนำบริษัท แบด โรบอต มาร่วมอำนวยการสร้างตั้งแต่ภาค 3 จนถึงปัจจุบัน 

รีวิว Mission: Impossible Fallout เนื้อเรื่อง

หนังเปิดเรื่องมาด้วยฉาก “ความฝันของอีธาน ฮันท์” ในฝันดังกล่าว เขากำลังจะแต่งงานกับอิลซา ฟอสต์ (รีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน) แต่แล้วเขาก็ถูกบาทหลวงตั้งคำถามถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ ความปลอดภัยในชีวิต ว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจจะนำมาซึ่งความหายนะ   

แต่อิลซาก็ตอบตกลง ทันใดนั้นเองกล้องก็แพนมาให้เราเห็นหน้าของบาทหลวงซึ่งเป็นใบหน้าของโซโลมอน เลน(ฌอน แฮร์ริส) วายร้ายจาก Mission: Impossible – Rogue Nation รีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่

และทันใดนั้นเองระเบิดลูกยักษ์ก็ตกลงที่กลางหุบเขาและร่างกายของอีธานก็สลายกลายเป็นผุยผงจากนั้นเขาก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้น 

แค่ความฝันฉากเดียว สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในหนังภาคนี้ได้อย่างชัดเจน ว่าเรื่องราวเกี่ยวข้องกับชีวิตของฮันท์และบรรดาคนรอบตัวของเขา และยังเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของฮันท์ผู้ถือคติ “ไม่ทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลัง” อันนำมาซึ่งภัยคุกคามต่อคนทั้งโลก  

3

โดยหลังจากภารกิจชิง พลูโตเนียมอันเป็นส่วนประกอบของระเบิดนิวเคลียร์เกิดล้มเหลว เพราะอีธานเป็นห่วงความปลอดภัยของลูเธอร์ (วิง รามส์) ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน เขาจึงเลือกจะช่วย “เพื่อน” ก่อน “ภารกิจ” 

จุดอ่อนดังกล่าวของอีธานจึงกลายมาเป็นรูโหว่สำคัญของภารกิจ จนส่งผลให้หลายๆครั้ง อีธานและพรรคพวกต้องเสี่ยงอันตราย (อันนำมาสู่ฉากต่อสู้อันแสนตื่นเต้น

เร้าใจและเหลือเชื่อ) ซึ่งเราไม่อาจจะปฏิเสธเลยว่า ด้วยบุคลิกเช่นนี้ อีธานจึงกลายเป็นคนที่เพื่อนร่วมทีมมองเห็นคุณค่า  

กระทั่งคนที่ไม่รู้จักมักจี่อย่างไวท์ วิโดว์(วาเนสซา เคอร์บี้) นักค้าอาวุธและโบรกเกอร์ อีธานยังให้ความสำคัญและพยายามดูแลความปลอดภัยให้กับเธอในฉากที่ทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรก และนั่นคือ “อาวุธสำคัญอีกประการของอีธาน” ก็ว่าได้ 

ความเอาใจใส่ของอีธาน กลายเป็นผลดีต่อภารกิจ (และหลายครั้งก็ส่งผลเสีย) แต่ไม่แปลกใจเลยที่บรรดา คนสนิทชิดใกล้ถึงไว้ใจเขาและยอมที่จะเอาตัวเองเข้าเสี่ยงตายในหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ภารกิจสามารถลุล่วงไปได้  

ตัวอย่างที่สามารถเห็นได้ชัดที่สุดคือตัวละครอย่างอิลซา ฟอสต์ที่ยอมเสี่ยงอันตรายด้วยการใช้ตัวเองให้กลายเป็นนกต่อบ้าง เป็นเหยื่อบ้าง แต่นั่นก็เพื่อทำให้อีธาน สามารถทำภารกิจของเขาผ่านไปได้ด้วยดี รีวิวหนังจากการ์ตูน

 

องค์ประกอบของหนัง

องค์ประกอบสำคัญถ้านอกจากฉากแอ็คชั่นแล้วคงหนีไม่พ้นนักแสดงทั้งหมดในเรื่อง ทั้งสายทุ่มเทอย่าง ทอม ครูซ ที่เล่นฉากสตันท์เองจนได้รับบาดเจ็บที่เข่าในฉากกระโดดข้ามตึก หรือแม้แต่การทุ่มเทฝึกการโดด ฮาโล (HALO – High Altitude Low Opening) ถึง 1 ปีเต็มเพื่อฉากแอ็คชั่นสำคัญของเรื่อง  

ก็ให้ผลลัพธ์ที่ต้องบอกว่า ความพยายามไม่เคยทรยศใครจริงๆ เพราะงานสตันต์ทุกฉากทุกตอนคือชวนอ้าปากค้างจริงๆ นะไม่ได้เวอร์เลย

และไม่ใช่แค่พี่ทอม ครูซนะ แม้แต่ รีเบคกา เฟอร์กูสัน ที่กลับมารับบท อิลซา ก็เล่นฉากแอ็คชั่นแม้ตัวเองจะท้องอยู่ก็ตาม (พอหนังปิดกล้อง อายุครรภ์ของเธอก็ได้ 7 เดือนพอดี) 

4

ส่วนนักแสดงคนอื่นๆทั้ง วิง เรมส์ ที่กลับมารับบท ลูเธอร์ เป็นครั้งที่ 6 ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์เหมือนเป็นครอบครัวตัวละครที่โตมากับเราจริงๆ ไซมอน เพกก์ ในบท เบนจี้  

ก็ยังฮาและสร้างเซอร์ไพร์สได้ดีเช่นเดิม สำหรับสมาชิกใหม่อย่าง เฮนรี คาร์วิลล์ หรือพี่ซูเปอร์แมนของเราก็ทำให้ฉากบู๊ดูดุดันไม่น้อยเลยทีเดียวแต่คนที่ทำให้ใจพองโตที่สุดเห็นจะเป็น

วาเนสซา เคอร์บี้ ในบท แม่มายขาว หรือ ไวต์วิโดว์ คนกลางค้าอาวุธที่สวยแบบวัวตายควายล้ม สวยแบบขายบ้านขายรถ คือเห็นแล้วพร้อมหลงกลได้ง่ายๆเลยทีเดียว  

ซึ่งแม้นุ้งเคอร์บีจะไม่ได้สวมชุดราตรีสุดหรูแบบในซีรีส์เดอะคราวน์ ทาง เน็ตฟลิกซ์ แต่ใบหน้าอันแสนจะเพอร์เฟกต์ของเธอก็เพียงพอให้กล้องถ่ายทอดความงามในทุกฉากที่ปรากฎตัวได้เป็นอย่างดี 

ความรู้สึกหลังดูหนัง

“Your Mission, Should You Choose to Accept It” 

ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงกว่าในโรงภาพยนตร์ ตัวหนังสะกดให้เราจดจ่อไปกับภาพยนตร์ได้ตลอดเวลา ความสนุกสนาน ตื่นเต้นและมุกตลกสอดแทรกเป็นสีสันในแบบฉบับของ MI ยังคงวิ่งเข้าหาคนดูอย่างไม่หยุดยั้ง 

แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากภาคก่อนหน้าคือความรู้สึกหลังดูจบ  ในภาคนี้เราเดินออกจากโรงภาพยนตร์ด้วยการใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าอย่างเต็มอิ่มไปกับตัวภาพยนตร์แต่ในขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก 

5

ตัวภาพยนตร์ส่งมอบจุดเด่นของแต่ละภาคไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขับรถไล่ล่า การทรยศหักหลังพลิกซับสลับซ้อน การทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริง

การบีบคั้นคนดูด้วยลูกเล่นของเวลาไปถึงการหยิบจับตัวละครต่าง ๆ มาแบ่งสรรปันส่วนให้ลงตัวไม่มีใครน้อยหน้าไปกว่ากัน 

 เรียกได้ว่าผสมสิ่งต่าง ๆ ของภาพยนตร์ MI เอาไว้ในภาคเดียวเต็มอิ่มจนเหมือนเป็นการสั่งลาด้วยวัฐจักรทั้งในเรื่องของความยากในการสร้างภาพต่อให้ดีกว่า

การหาตัวแทนของทอม ครูซในวันที่พระเอกหนุ่มสุดหล่อต้องห่างหายไปตามอายุอานาม ซึ่งเราได้แต่ขอให้เราคิดผิด 

ให้คะแนนเรื่องนี้ 9/10 คือภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดูทั้งคนที่เป็นแฟนซีรีส์นี้และคนที่ไม่เคยดูมาก่อน จูงมือกันเข้าไปดู ใช้เวลากับมัน แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมภาพยนตร์ชื่อนี้ถึงได้รับความนิยมอย่างมหาศาลตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา 

รีวิว Mission: Impossible Fallout บทสรุป

จะเห็นได้ว่าความโดดเด่นของหนังภาคนี้ไม่ได้อยู่แค่เพียงงานสตันท์แมนเสี่ยงตายของอีธาน แต่เพียงผู้เดียว ในหลายครั้งที่ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ (แม้จะตะกุกตะกักและมีอุปสรรคอยู่เสมอ) แต่เพราะหน่วย IMF  

6

ทำงานร่วมกันเป็นทีม ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเหล่านั้น ทำให้ภารกิจอันแสนจะเหลือเชื่อสามารถ กลายเป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริงในที่สุด ราคาของความเชื่อใจอาจจะไม่สามารถพิสูจน์ได้แค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบให้ 

ความเป็นหนังภาคต่อ

เป็นหนังภาคต่อที่ปัจจุบันได้ดำเนินมาถึงภาคที่ 6 ทำรายได้รวมกว่า 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงนับได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่มีกระแสตอบรับที่ดี และได้รับบการจับตามองจากทั่วโลก อาจจะด้วยทั้งตัวละครหลักหรือ  

อีธาน ฮันท์ มีพัฒนาที่มากขึ้นตามแต่ช่วงวัยอายุ และรับโดย ทอม ครูซ พระเอกชื่อดังก้องโลก เขารับบทอีธานมาตั้งแต่ในภาคแรกจนถึงปัจจุบัน ทำให้เหมือนเป็นที่ติดตาจากผู้ชมไปแล้วว่าตัวละครนี้ต้องมีเขามารับบทบาทเสมอ 

Mission Impossible เป็นหนังสายลับที่ออกแนว Action แบบไม่หน่อย ทำให้เราจะได้เห็น ทอม ครูซ ในบทบาทของ อีธาน ฮันท์ ได้แสดงในคิวบู๊ได้มันส์หยดแทบทั้งเรื่อง จนทำให้บางครั้งถึงกับหยุดหายใจ และฉากภารกิจในหลาย ๆ ฉากก็ลุ้นจนแทบลืมว่าตัวเองต้องหายใจ

7

ฉากแอคชั่นนั้นทำได้ดีทีเดียวในทุก ๆ ภาค คิวบู๊ดูมีความเป็นมืออาชีพและลื่นไหลดี ข้อเด่นข้อหนึ่งเลยของตัวละครอีธานคือ เป็นคนที่ไม่ตื่นตูม

ดูเขาไม่ค่อยตื่นตระหนกกับเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น อีธานสามารถตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และมีความเด็ดขาดในทุก ๆ การตัดสินใจ 

Mission Impossible เป็นหนังภาคต่ออีกเรื่องหนึ่งที่ทำได้ดีทีเดียว(ซึ่งคาดว่าหากทำไม่ได้ดีอาจไม่ได้มีถึง 6 ภาค)เนื้อเรื่องค่อนข้างอัดแน่น

ทำให้การดำเนินเรื่องค่อนข้างไว การเก็บประเด็นให้ครบภายในครั้งแรกนั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก และตัวละครในเรื่องมีค่อนข้างมากทำให้อาจเกิดความสับสนได้ 

Mission Impossible เป็นหนังที่ทำได้ดีในแง่ของฉากแอคชั่น มีการทุ่มทุนสร้างอย่างมหาศาล แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างอัดแน่นอาจทำให้ต้องใช้ความคิดตามพอสมควร แต่ถ้าดูแค่มันส์และอยากดูฉากบู๊แบบดี ๆ เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี 

รีวิว Captain America Civil War

รีวิว Captain America Civil War

https://www.youtube.com/watch?v=vhAFMK8uF

1

รีวิว Captain America Civil War

รีวิวCaptain America Civil War ได้เวลาของการเดินหน้าเข้าโรงหนังเพื่อรับชมภาคใหม่ของกัปตันอเมริกา ซูเปอร์ฮีโร่สุดหล่อหุ่นล่ำขวัญใจสาวๆ

ที่กลับมากับภาคสาม พ่วงเอาดาราซูเปอร์ฮีโร่เพื่อนฝูงอีกมากมายกลับมาช่วยกันบรรเลงเพลงบู๊จัดการตัวร้ายกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ เค้าลางของความคิดเห็นไม่ตรงกันของพวกเขามันเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก

ถึงขนาดมีฉากไฝว้ให้เห็นในตัวอย่างเพื่อเรียกน้ำย่อยให้คนเข้าไปดู ไม่พอ หนังยังมีตัวละครตัวใหม่แต่หน้าเก่าอย่าง SpiderMan มาเสริมทัพให้ยิ่งชวนดูมากขึ้นไปอีก 

2

ไม่ได้เขียนชื่อหนังผิดแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าหลายๆคนดูมาแล้วก็จะเข้าใจว่า พล็อตของคำว่า Civil War นั้นมันคลุมตัวหนัง กัปตันอเมริกาภาค 3 ได้ชัดเจนกว่ามากๆจริงๆจนสมควรเอาชื่อภาคขึ้นนำเลยล่ะ รวมรีวิวหนัง

เป็นอีเว้นท์ฮีโร่แบ่งพวกแล้วซัดกันเองของมาร์เวล คอมมิค ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากการที่รัฐบาลต้องการควบคุมสิทธิ์การใช้พลังที่อิสระเสรีของเหล่าฮีโร่

เพื่อความปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยมีเหตุการณ์การเข้าจับกุมตัววายร้ายที่ผิดพลาดของฮีโร่วัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง จนทำให้เกิดเหตุระเบิดรุนแรงและมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

ส่งผลให้กัปตันอเมริกากับไอออนแมนต้องแตกหักกัน เพราะกัปตันฯต้องการรักษาความมีอิสระในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไว้ ในขณะที่ไอออนแมนต้องการให้ฮีโร่เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับและลดความเสี่ยงในการทำร้ายประชาชนที่บริสุทธิ์ลง 

รีวิว Captain America Civil War เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องว่าด้วยความรู้สึกของตัวละครสองกลุ่มและข้อขัดแย้งภายในจิตใจที่เกิดจากเหตุการณ์ผลกระทบในอดีต ทั้งความพินาศของเมืองต่างๆในการปฏิบัติการแต่ละครั้งของฮีโร่ โดยเฉพาะจากหนัง อเวนเจอร์ ภาคล่าสุดอย่าง

เอจออฟอัลตรอน ที่ทำให้เมืองโซโคเวียไม่เหลือชิ้นดี ตรงนี้ก็เปิดช่องให้ขุมกำลังที่ชื่อสหประชาชาติ (ในฐานะตัวแทนมนุษยชาติในแง่มุมหนึ่งนะ) เข้ามาแสดงบทบาทในการทวงถามการตรวจสอบการทำงานของฮีโร่ด้วย 

ผลกระทบของการปฏิบัติการโซโคเวียยังส่งผลมาหลายสายทางในหนังภาคนี้ โดยเฉพาะมากที่สุดกับโทนี่ สตาร์ก ที่เราจะเห็นความกลัวในใจของเขาในภาคเอจออฟอัลตรอนแล้วจากนิมิตที่เขาพบว่าตนเป็นต้นเหตุให้เพื่อนๆ ตายกันหมด

ความกลัวที่ตัวเขาจะสร้างผลกระทบกับคนที่รักและเหยื่อบริสุทธิ์นั้นถูกขยายอย่างมากในหนังภาคนี้ และทำให้โทนี่เป็นตัวละครที่เด่นไม่เป็นรองกัปตันอเมริกา ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้วเขาคือตัวขับเคลื่อนเรื่องเสียด้วยซ้ำ 

3

ตรงนี้พาดพิงแล้ว ขออวยหน่อย ป๋าโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ไม่ใช่แค่ไอออนแมนที่ขาดไม่ได้ในจักรวาลมาร์เวลเท่านั้น แต่ ณ จุดนี้ต้องบอกเลยว่า

ป๋าแกคือองค์ประกอบที่สำคัญโคตรๆ ในการทำให้หนังมาร์เวลเชื่อมโยงและสนุกมากๆ ด้วยเคมีของแกที่เข้าโคตรดีกับตัวละครต่างๆ แม้แต่กับปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือไอ้แมงมุม 

ที่มาปรากฏกายครั้งแรกในหนังเรื่องนี้ การรับส่งบทมุกต่างๆกับเฮียแกนี่ ทำให้ซีนธรรมดาๆ อย่างคุยกันกลายเป็นการเปิดตัวที่น่าจดจำของสไปดี้คนใหม่อย่าง ทอม ฮอลแลนด

์ ได้เลย นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่สตูดิโอต้องพยายามดึงป๋ามาเล่นใน Spiderman: Homecoming ซึ่งเป็นการรีบูทใหม่ในปีหน้านี้ด้วย

 คือตรงนี้ต้องบอกเลย ต่อให้โทนี่ สตาร์กจะเลิกเป็นไอออนแมนก็ไม่เป็นไรเลย แต่ขอแค่ป๋ายังโผล่มาเป็นโทนี่ในหนังเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว 
แบล็กแพนเธอร์ สไปเดอร์แมน โผล่เข้ามาในเรื่องได้มีเหตุผลเข้าท่า ไม่ได้จับยัดๆ เข้ามา แถมมีฉากโชว์ของตัวเองที่ติดตาด้วย

ส่วนตัวละครอื่นๆ ที่อยู่ประจำแล้วนั้นแบ่งเฉลี่ยบทได้ดี มีฉากขโมยซีนของตัวเองกันทั้งนั้น โดยเฉพาะ แอ๊นท์แมน อันนี้ต้องไปดูกันนะ 

ความเป็นมาของหนัง

หนังจากการตีความบทใหม่โดย Christopher Markus และ Stephen McFeely สองมือเขียนบทที่ดูแลหนังกัปตันอเมริกามาแล้วตั้งแต่ภาคแรก และยิ่งนับวันยิ่งคมและสนุกขึ้นเรื่อยๆ พูดตรงๆ ว่าภาคแรกนั้นน่าเบื่อเอามากๆ

สำหรับเรานะ แต่พอมาภาคสองนี่ โห เข้มข้นแบบสร้างแนวทางหนังกัปตันฯให้แตกต่างชัดเจนจากหนังมาร์เวลเรื่องอื่นๆ ไปเลย เพราะจะมีความหม่นๆ และดราม่าแบบการเมืองอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งพอมาภาค 3 ทันทีที่ประกาศว่าจะเป็นซีวิล วอร์

นี่แบบคือเชื่อมือเลยว่า บทหนังน่าจะแข็งแรงและกดดันความขัดแย้งในตัวละครได้ดีแน่ๆ ซึ่งก็ดีจริงๆ ดีมากๆ ในขณะที่เราดูหนังไปเราเห็นภาพสะท้อนสังคมโลกอยู่ในนั้นเลย โดยเฉพาะประเด็นหน้าที่และขอบเขตอำนาจตำรวจโลกอย่างอเมริกาที่แสดงผ่านตัวกัปตันฯและไอออนแมนนั่นล่ะ และคำพูดตัวละครหลายๆ คำก็เสียดแทงสังคมมนุษย์จริงๆ ด้วยเรียกว่ามีคติสอนใจแบบไม่ยัดเยียดด้วยนะ 
 

4

และความดีงามผิดหูผิดตาในหนังกัปตันฯ สองภาคหลังนั้น อาจยังต้องยกความดีความชอบให้การกำกับของสองพี่น้อง Anthony Russo และ Joe Russo ที่เข้ามากุมบังเหียนนับตั้งแต่หนังภาคสอง วินเทอร์โซลเยอร์ ด้วย  

ตรงนี้ต้องชื่นชมแมวมองของมาร์เวลสตูดิโอจริงๆ ที่เอาคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมาปลุกปั้นได้ถูกทุกทางจริงๆ เชื่อว่าโลกเราจะได้ผู้กำกับและทีมงานทำหนังสนุกๆชั้นยอดที่เกิดจากค่ายนี้อีกหลายคนเลยทีเดียว 

โดยไม่สปอยล คงพูดได้เพียงว่าหนังเอาหัวใจสำคัญจากคอมมิคชุดซีวิล วอร์ มาใช้ได้อย่างเหมาะสม ในแบบจักรวาลของหนังมาร์เวลที่มีทางของตัวเอง นั่นคือไม่เหมือนกับในคอมมิคแน่ๆ นั่นทำให้เราดูหนังได้อย่างสนุกมากๆ เพราะไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร 

รีวิวฉากหนัง

่วนฉากบู๊แอ็คชั่นนั้น หนังค่อย ๆ ย่อยให้คนดูเป็นระยะ เอาใจคอหนังแอ็คชั่นโดยการทยอยปล่อยมาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีมากั๊กไว้ท้าย ๆ เหมือนภาคก่อน ๆ

ฉากที่ถือเป็นไฮไลท์ของภาคนี้ แต่ฉากที่ถือว่าคุ้มเงินคนดูที่สุดก็คงเป็นฉากต่อสู้ที่สนามบินนั่นแหละครับ เพราะเป็นการรวมเอาฮีโร่ในเรื่องนี้ไว้ทุกคนเลย ใครชอบใครรักใครก็จะได้เห็นว่าใครประกบคู่ใครบ้าง ทั้งบู๊ไปทะเลาะกันไป 

5

มีตลกก็ต้องมีดราม่าถือว่าเป็นของที่ต้องอยู่คู่กันในหนังมาร์เวล ดราม่าเยอะพอสมควร โดยเฉพาะความขัดแย้งที่มีมากมายเหลือเกินของไอรอนแมนและกัปตัน ฮีโร่ทุกคนก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปที่มีด้านเข้มแข็งและอ่อนแอปะปนกัน เป็นคนไม่ชอบอะไรดราม่าฉากเหล่านี้มันเลยดูหน่วงไปนิดหน่อยครับ 

และแนะนำอย่างยิ่ง ถ้าหากใครจะชม Infinity War ก็ควรชมภาพยนตร์ชุดนี้ก่อนเพราะว่าเรื่องราวต่อจากCivil War ข้อเสียของหนังจักรวาลมาร์เวลนั้นมีเพียงอย่างเดียวคือถ้าไม่ไล่ดูตามTime Line ก็จะเกิดอาการค้างเติ่งไม่รู้ว่าเป็นไปเป็นมาอย่างไร หรือว่าพวกเขาไปทะเลาะกันตอนไหนนั่นเอง 

รีวิว Captain America Civil War โดยภาพรวม

คะแนนของเนื้อเรื่อง 9/10 เนื้อเรื่องน่าสนใจเพราะมีการนำฮีโร่อเวนเจอร์มาทำศึกและขัดแย้งกันเอง แต่การขัดแย้งกันไม่ได้มุ่งหมายจะทำร้ายหรือเอาชีวิตกัน เหมือนเป็นการขัดขวางการกระทำของอีกฝ่ายมากกว่า หนังยังคงมีความตลกปนดราม่าแอ็คชั่นไปเรื่อยตามสไตล์มาร์เวล 

6

คะแนนเอฟเฟคต์ 8/10 หนังไม่เน้นเอฟเฟคต์อลังการเหมือนหนังที่เน้นCGทั่วไป แต่จะเน้นการ Insert และการต่อสู้ที่เหนือมนุษย์ของเหล่าอเวนเจอร์ และความสมจริงของการต่อสู้ รวมถึงการสู้ไปทะเลาะกันไปเหมือนเราจะดูหนังAction Comedy มากกว่า และสิ่งที่ไม่นึกถึงไม่ได้คงจะเป็น Background ในการต่อสู้ที่เลือกสนามบิน บอกได้เลยว่าไอเดียดีไม่หลอก 

ความรู้สึกหลังรับชม

คือถ้าให้วิจารณ์ตัวหนังก็บอกเลยว่าดีทุกองค์ประกอบ สนุกทั้งที่เป็นแฟนมาร์เวลและไม่ได้เป็น (ไม่แน่ใจว่าคนที่โผล่มาดูภาคนี้เลยเป็นเรื่องแรกจะเก็ตไหมนะ แต่เชื่อว่าแนะความสัมพันธ์ของตัวละครนิดหน่อยก็ดูได้ลื่นแล้วล่ะ แต่ให้ดีควรดูเรื่องอื่นๆอย่างกัปตันอเมริกา1-2 และเอจออฟอัลตรอนจะดีกว่า) 

ภาพเสียงซีจีได้มาตรฐาน ขอชื่นชมการออกแบบฉากต่างๆ ที่วางปมไว้แบบนึกว่าไม่สำคัญในตอนต้นๆ ก็ดันมากลายเป็นฉากที่พลิกเหตุการณ์ในภายหลังได้อีก 

7

บทสนทนานี่ก็พูดน้อยต่อยหนัก ทำให้ตามเรื่องง่าย แต่ก็คมและถ่ายทอดความคิดและมิติด้านลึกของตัวละครได้ดีมากๆ หลายๆประโยคอย่างที่บอกตอนต้นว่าเสียดแทงใจมากๆโดยเฉพาะจากคำพูดตัวร้ายสุดฉลาดและเหี้ยมโหดสมการรอคอยอย่าง ซีโม่ ด้วย

ตรงนี้ต้องบอกเลยว่าหลายๆคนที่ปรามาสตัวร้ายในหนังมาร์เวลว่าอ่อนไม่น่ากลัวนี่เตรียมกลับคำได้เลย ตัวร้ายตัวนี้เป็นอะไรที่น่าจับตามองมากๆ กลยุทธเทพๆ ที่อาศัยสมองและความเป็นไปได้จริงๆ ไม่มีพลังเว่อวังใดๆ แต่สร้างความบรรลัยได้มโหฬารสุดๆ แถมเป็นตัวร้ายที่มีมิติลึกด้วย เรื่องราวของเขานี่ทำไซด์สตอรี่ได้เลยนะ 

รีวิว ไททานิค หนึ่งในภาพยนต์ที่ดีที่สุดตลอดกาล

แจ็คกับโรส
สวัสดีครับทุกคนวันนี้เราจะมารีวิว หนังประวัติศาสตร์ ที่อิงจากเรื่องจริงเรื่อง ไททานิค โดยภาพยนตร์เรื่อง TITANIC เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ชื่อดัง ที่เกี่ยวกับเรื่องราวความรักที่แสนจะโรแมนติก ระหว่างแจ็คกับโรส เชื่อว่าใครหลายๆคนที่ชอบดูหนังหรือชอบอ่านประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่นักเรียนทั่วไป ก็อาจจะได้ยินมาบ้างไม่ว่าจะเป็นผ่านหนังสือ หรือเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล

ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นกำกับโดยผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เจมส์คาเมรอน ที่สร้างหนังมาอย่างมากมาย โดยเจมส์นั้นสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ประวัติศาสตร์เรื่องจริงที่เหลือขนาดใหญ่ Rms ไททานิค เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงโดยการพุ่งชนภูเขาน้ำแข็ง ในวันที่ 14 เมษายน คริสตศักราช 1912 ในช่วงเวลาค่ำ และเรือก็ได้อับปางในเวลาต่อมา

มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน เขาจึงได้หยิบยกเหตุการณ์ในครั้งนั้นมา แล้วได้เขียนเรื่องราวความรักของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ลงไปเปลี่ยนชะตากรรมชีวิตในครั้งนั้น ให้เป็นความรักที่แสนจะโรแมนติกที่น่าจดจำและกล่าวกันจนถึงทุกวันนี้

เนื้อเรื่องย่อภาพยนตร์เรื่อง ไททานิค ไม่มีสปอย

รีวิว Titanic หลังได้เปิดเรื่องขึ้นมาที่ยุคปัจจุบัน ที่มีกลุ่มคนมากมายต้องการที่จะตามหาเพชรเม็ดหนึ่ง แล้วเชื่อว่ามีมูลค่ามหาศาล พวกเขานั้นจึงได้นำน้ำลงไปใต้มหาสมุทรที่ได้พบกับซากเรือไททานิค และหนึ่งในนั้นเป็นตู้เซฟที่บรรจุรูปวาดของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาสวยงามมากๆนอนเปลือยทั้งตัวไม่ใส่เสื้อผ้า พร้อมกับแขวนสร้อยที่พวกเขานั้นกำลังตามหาอยู่ และเมื่อเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ถ่ายทอดทางทีวี จึงทำให้โน๊ตนั้นที่เป็นหญิงชราวัย 84 ปี เป็นคนเดียวกับหญิงสาวในภาพวาดนั้น แล้วเธอเป็นเจ้าของสร้อยเส้นดังกล่าวได้เดินทางไปยังกลางทะเล สถานที่ที่นักล่าสมบัติต้องการจะปฏิบัติการกันอยู่ และได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆในอดีตให้พวกเขาได้ฟังกัน และเรื่องราวทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเริ่มขึ้นโดยการเล่าของโรสนั่นเอง

รู้แค่นั้นว่าในปี ค.ศ 1912 มีเรือไททานิคที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเรือสำราญที่สร้างขึ้นใหม่ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในตอนนั้น ได้มีการกำหนดในการออกทะเลเป็นครั้งแรก โดยจะนั่งผ่านน่านน้ำทะเลมหาสมุทรจากสหราชอาณาจักร ไปยังจุดหมายปลายทางที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และแจ็คนั้นเป็นชายหนุ่มรูปหล่อผู้โชคดี ที่เขานั้นได้เล่นการพนันชนะและได้รับรางวัลล้ำค่าคือ เป็นตัวที่เขานั้นจะได้ขึ้นเรือไททานิค เป็นจำนวน 2 ใบ เขาจึงได้ขึ้นเรือลำนั้นไปพร้อมกันเพื่อนของเขา

ซึ่งหลังจากที่ขึ้นไปอยู่บนเรือแล้ว แจ้งชายหนุ่มรูปงาม ได้พบกับหญิงสาวหน้าตาสวยพรุ่งนี้ฐานะสูงศักดิ์ ที่ชื่อโรส แจกหนังจึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปคุยและได้พูดให้เธอแล้วสบายใจขึ้นบ้าง หญิงสาวคนนั้นเธอจึงยอมที่จะเดินกลับห้องมารายการพบกันในเหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นนั้นทำให้ชีวิตของเขาทั้งคู่เปลี่ยนไปตลอดกาล ด้วยความรักของพวกเขานั้นจะเป็นอย่างไร นับต่อจากนี้ อยากให้ทุกคนนั่งคอยไปติดตามกันต่อได้ที่ netflix แต่น่าเสียดายที่ใน netflix นั้นจะไม่มีพากย์ไทยนะครับ แต่ส่วนตัวผมดูเป็นสัตว์อะไรก็สนุกเหมือนกันและเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างดีเลยทีเดียว

ไททานิค

ความรู้สึกหลังจากที่ดูภาพยนตร์ TITANIC

ถ้าถามว่า Titanic สนุกมั้ย เอาง่ายๆ นึกได้ว่าเป็นรอบที่ 3 แล้ว ที่ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้ซ้ำ ถึงแม้จะรู้ถึงเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆในแต่ละช่วงหมดแล้ว แต่ขอพูดไว้ตรงๆเลยว่าทุกครั้งที่ดู ยังรู้สึกอินกับความรักของแจ็คกับโรสอยู่ดี ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าตัวหนังทำให้เรานั้นได้เห็นถึงพลังความรักที่โคตรจะโรแมนติก และทำให้เรานั้นเข้าไปอยู่ในเรื่องนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย

โดยสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์นั้นสื่อให้เราอย่างเห็นได้ชัดคือ ความเหมาะสมกับความรักนั้น เรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน ของนางเอกกับพระเอกซึ่งมีเคมีที่ต่างกันอย่างสุดขั้วเรากับฟ้ากับดิน สิ่งเหล่านี้มันเป็นปัญหาที่พบเจอกันได้บ่อยและอาจจะเห็นกันจนชินตาทั้งในยุคปัจจุบันหรือแม้แต่ยุคอดีต ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่นั้นจะต้องถูกเลี้ยงและถูกสั่งสอนมาในสังคมที่แตกต่างกันอีกต่างหาก ทั้งทัศนคติและความคิดย่อมต่างกันแน่นอน และที่สำคัญคือครอบครัวของทั้งคู่นั้นจะต้องไม่เห็นด้วยกับจุดนี้และยอมรับยาก โดยเนื้อเรื่องนั้นจะทำให้เราอินไปกับพระเอกและนางเอก พร้อมกับให้เรานั้นเชียร์ให้เขานั้นผ่านกันไปด้วยดี

ฉากที่ทำให้รู้สึกปลื้มมากที่สุดในเรื่องนี้ มันดันไม่ใช่ฉากที่แจ็คกับโรสนั้นยืนกางแขน เหมือนไม้กางเขนตู้บริเวณหัวเรือ หรือเป็นฉากที่น่าสลดใจในตอนท้าย แต่มันดันเป็นฉากที่พระเอกวาดรูปภาพเปลือยของนางเอก มันทำให้คนดูอย่างเรานั้นรู้สึกว่าฉากที่สวยมานั้นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้ซึ้งถึงความสัมพันธ์ ของทั้งคู่ เมื่อทำคู่นั้นต่างไว้วางใจและสนิทสนมกันมากกว่าเดิมเพียงใด

พอเอาเข้าจริงๆเรื่องราวของทั้งคู่นั้นเป็นรักที่มันเกิดขึ้นเร็วมาก คำว่าเร็วมากมันเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นนะ ซึ่งในเรื่องในก่อนหน้าจะเป็นแค่การเล่าเรื่องราวของตัวละคร ว่าแต่ละคนนั้นเป็นใครแล้วมาจากไหน แล้วมาทำความรู้จักกันได้ยังไง เท่านั้น

แต่เนื้อเรื่องหลังจากนี้จะเป็นเรื่องของความรักของทั้งคู่ ที่ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นไปเรื่อยๆ จากแค่ประทับใจจนกลายเป็น รู้สึกชอบ และอันสุดท้ายเปลี่ยนเป็นความรักที่แสนจะอบอุ่น

ไหนๆก็พูดถึงความรู้สึกที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ขอพูดถึงเรื่องเพลงกันบ้างแล้วกัน นึกว่าเป็น 1 ผลงานเพลงประกอบที่ได้รับรางวัลมากมาย ไม่แพ้กับภาพยนตร์เลยทีเดียว อย่างเพลง My Heart Will Go On มันเป็นเพลงที่ประกอบทำให้เรานั้นอินได้กับอารมณ์ของภาพยนตร์ได้อย่างสุดยอดจริงๆ ทั้งเพลงประกอบทั้งการดำเนินเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ อีกทางยังคัดเลือกนักแสดงได้ดีจริงๆ นางเอกก็สวย พระเอก

ก็หล่อ เรียกได้ว่าเป็นภาพจำของข้าหลายๆคนเลยมันถึงเป็นผลงานที่ดีตลอดกาลเลยในบันดาลหนังช่วงนั้น

ไททานิค

จุดเด่นของภาพยนตร์ TITANIC 1997 ที่ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล

พูดไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่านี่เป็นสิ่งที่รับรู้และรู้สึกได้ จากการที่ดูหนังเรื่องนี้ของตัวผู้เขียนเอง น้าจะมาเล่าให้ฟังแบบไม่อวยและความรู้สึกจริงๆที่ได้ดูเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ผมนั้นมีโอกาสได้ดูตั้งแต่สมัยที่เรานั้นมันเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก จำได้เลยว่า หนังเรื่องนี้นั้นดังมากนะพ่อเป็นคนเปิดให้ดู เรียกได้ว่าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ดูเลยก็ว่าได้ถึงตอนนั้นจะเป็นแค่เด็ก นั่นคือครั้งแรกของผม แล้วต่อมาก็มาดูซ้ำอีกตอนช่วงเรียนม. ต้น และที่มาดูกันถี่ๆ คือหลังจากที่เรียนจบ ย้อนกลับมาดูอีกถึง 3 รอบ อย่างที่บอกไปข้างต้น ซึ่งในช่วงหลังต้นที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นระยะห่างมาห่างอย่างยาวนาน พอกลับมาดูอีกครั้งก็น้ำตาไหลพราก อีกแล้วฮ่าๆๆ

ต่อมาเราจะมาพูดถึง จุดเด่นของภาพยนตร์ ไททานิค netflix เรื่องนี้ที่ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล

ฉากแรกเลยฉาบเปิดเรื่อง จะเปิดเรื่องเราจะเห็นซากเรือไททานิคที่พักบ้างแล้วจมอยู่ใต้ทะเล มันเป็นการเปิดเรื่องที่ทำให้เรานั้นหลังจะติดตามนะรู้เรื่องราวของมัน ว่าไงเหตุการณ์นั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เป็นการเรียกความสนใจทำให้คนดูแลติดตามกันต่อไป

ต่อมาเป็นซากเหลือไททานิค เป็นฉากที่เหล่านั้นจะได้พบกับความน่าตื่นตาตื่นใจ ความมหัศจรรย์อลังการงานสร้าง ของงานภาพ ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนกับเรานั้นได้เลยเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกของจริงอย่างกับสารคดี

ฉากที่ใครหลายๆคนจดจำ ก็คงจะหนีไม่พ้นฉากรักในตำนาน ที่แจ็คกับโรส ยืนกางแขนอยู่ที่หัวเรือสำราญลำใหญ่ แล้วก็มีเพลงประกอบอย่างเพลง My Heart Will Go On ดังขึ้นมาทำให้คนดูนั้นรู้สึกว่า รักตัวละครสัก 2 ตัวนี้เข้าไปอีกเป็นความลับที่แสนจะโรแมนติกของทั้งคู่ น้ายังไม่พอเท่านั้นนี่ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกถึงความอึดอัดใจของโรสแต่รู้สึกดีใจที่ เธอได้ปลดปล่อยความเศร้า และแน่นอนว่าเป็นฉากที่ นำมาเป็นเมมล้อเลียนหลายๆอย่างใน Facebook มากมาย

อยากโรแมนติกอีกฉากนึงที่ชอบมากๆคือฉากที่ทำให้ผู้ชมอย่างเรา ต้องการหายใจและ ตื่นเต้นไปตามๆ ในฉากที่พระเอกแจ็คของเรา วาดภาพเปลือยของโรส ที่มีเพียงสร้อยเพชรอยู่ที่ลำคอเท่านั้น ที่เรียกกันว่า หัวใจมหาสมุทร ที่มีอยู่เพียงเส้นเดียวบนร่างกายของเธอ ฉากนี้เรียกได้ว่าทำให้เราลุ้นสุดๆ แต่แจ็คนั้นดันเป็นผู้ชายสุภาพบุรุษ หน้าตาดี ซีนนี้จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นเอง น่าเสียดายจริงๆ หยอกๆ

แล้วก็จะมีฉากเรียกน้ำตา ขอบอกไว้เลยว่าต้องน้ำตาแตกกันแน่ ถ้าคุณเป็นคนที่เคยผ่านความรักกันมาแล้ว ต้องมีน้ำตาคลอกันบ้างแหละกับฉากแบบนี้ เรียกได้ว่าทำให้เรานั้นรู้สึกเศร้าจริงๆ ก็คือฉากที่เหลือกำลังค่อยๆอัดบางลงไปใต้ทะเล เราจะได้เห็นถึงความรักของ แจ็คกับโรส ที่มีให้กันจนวินาทีสุดท้าย และได้เห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง ความเสียสละ แล้วความรักที่แสนจะโรแมนติกของแจ็ค ที่มีให้กับนางเอกของเราอย่างโรส เพื่อให้คนที่เขารักที่สุดนั้นได้มีชีวิตต่อไป

ไททานิค

ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้

Titanic เรื่องย่อ ถ้าดูเพลินๆหรือใครที่ไม่เคยดูอาจจะคิดว่าเป็นหนังความรัก โรแมนติก ดราม่า ที่แบ่งชนชั้นกันทั่วๆไป แต่ถ้าใครที่ได้ดูแล้วจะรู้สึกได้เลยว่า มันมีมิติที่หลากหลาย ที่ทำให้คนดูนั้นอินและลึกซึ้งถึงความรัก ที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ต้นจนผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ พระเอกแจ็คนั้นได้พานางเอกอย่างโรส ไปเต้นรำที่ห้องชั้นล่าง ของเรือสำราญขนาดใหญ่ที่มีคนหลายๆคน และได้สอนให้เธอนั้นปลดปล่อยในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำได้มาก่อน แล้วมีสินค้าที่เป็นภาพจำที่คนที่ไม่เคยดูหนังอาจจะเคยเห็นกันมาบ้างเป็นฉาก ที่ทั้งคู่นั้นยืนอยู่บนหัวเรือที่ทำให้ เธอรู้สึกเหมือนนกที่บินได้เหมือนครั้งแรก

ที่ทำให้คนดูอย่างเรานั้น ขนลุกกันไปตามๆกัน อีกถังยังไม่นับฉากที่เหลือแต่ทางนี้จงลงไปใต้ทะเล ที่ทำมาได้เสมือนจริงมาก เรียกได้ว่าถ้าไม่บอกว่าเป็นฉากที่ทำในโรงถ่ายทำ ที่มีขนาดใหญ่ เราก็คงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเป็นของปลอม หนังจะพาให้เรารู้สึกอินกับความรัก ของทั้งคู่ที่แสนจะโรแมนติก แต่ที่สุดแล้วนั้นมันดันพาเราดิ่งลงจากเหว เมื่อถึงจุดพีทที่คาดไม่ถึง

ที่ทำให้เราน้ำตาไหลมันไม่หยุด ในการจากไปของแจ็คผู้โหยหาความรัก ของทั้งคู่ แต่ต้องยอมเสียสละให้คนที่เขารักนั้นมีชีวิตต่อไป แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จนร่างกายของเขานั้นต้องแข็งลง ภายใต้จุดเยือกแข็งของมหาสมุทรแอตแลนติก และสิ้นใจในตอนจบ และยิ่งบวกกับเพลงประกอบ มาทำให้น้ำตาเราไหลออกมาไม่หยุดจริงๆนะ

สิ่งที่ใครหลายคนไม่รู้จากหนังเรื่อง ไททานิค ที่คุณอาจคิดไม่ถึง

1.ฉากที่คู่รักวัยสูงอายุนอนกอดกันบนเตียง ในขณะที่เรือกำลังจมสู่ใต้ทะเลอิงมาจากบุคคลจริง

ในตอนท้ายของเรื่องช่วงที่เหลือกำลังจม เราจะได้เห็นภาพของคู่รักสูงวัย ที่นอนกอดกันอยู่บนเตียงนอนของเรือ ขนาดที่น้ำกำลังไหลเข้ามาในห้องของพวกเขาทั้งคู่ ใครจะไปคิดว่าฉากนี้เป็นฉากที่เกิดขึ้นจริงๆ และได้มาทำเป็นเรื่องราว ของภาพยนตร์เรื่องไททานิคเขาทั้งสองเป็นผู้โดยสารเรือโดยมีชื่อว่า อิซิดอร์ และ ไอดา สเทราส์ เรื่องราวของทั้งคู่นั้น เป็นเรื่องราวที่สุดแสนจะสะเทือนใจ ไม่แพ้กับเรื่องราวของตัวเองอีกเรื่องนี้เลย

โดยได้มีการเปิดเผยออกมาว่า คู่รักสูงวัยทั้งคู่นั้นแต่งงานกันมาแล้วถึง 40 ปี และด้วยความที่เขานั้นเป็นผู้สูงอายุ พวกเขาจึงได้สิทธิ์ในการให้ลงเรือชูชีพก่อนผู้โดยสารคนอื่น แต่ว่าเขาทั้งคู่นั้นกับปฏิเสธ และเขาได้บอกว่าขอให้สิทธิ์นั้นกับผู้หญิงและเด็กก่อนเขาทั้งคู่ และแฟนสาวของคุณลุงก็ปฏิเสธตาม เขาเลือกที่จะอยู่กับสามีของเขาบนเรือลำนี้ต่อไป จนกระทั่งเรือชูชีพรับสุดท้ายได้ขับออกไป ในบรรดาที่รอดชีวิตนั้นมองเห็น ผู้รับสูงวัยคู่นี้นอนจับมือกันบนม้านั่ง ที่อยู่บนดาดฟ้าของเรือแล้วทางคู่ก็ได้จงหายไปพร้อมกับเรือ เรียกได้ว่าเป็นความรักที่ลึกซึ้งจริงๆ

2.นิทานที่คุณแม่ชาวไอริส เล่าให้ลูกทั้งสองฟัง คืนนี้ทานเรื่อง Tír Na nÓg ดินแดนสุขาวดีในตำนานเคลติก

ในช่วงที่เหลือนั้นกำลังจะจม เราจะได้เห็นภาพของบรรดาลูกเรือทั้งหลาย และผู้โดยสารอีกหลายคนที่ยังคงติดค้างอยู่บนเรือสำราญลำใหญ่ลำนี้ ซึ่งบางคนนั้นก็ไม่ได้เตรียมใจหรือบางคนอาจจะเตรียมได้แล้วทันทีที่รู้ว่าเรือกำลังจะจม และด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน เราจะได้เห็นอารมณ์ของหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นกัปตัน ผู้ออกแบบเรือ และคู่สามีภรรยาสูงอายุที่เราเอ่ยในบทความด้านบนเมื่อกี้ และฉากที่เราจะพูดถึงคือฉากที่ ครอบครัวที่มีแม่และลูก 2 คน ชาวไอริส ที่กำลังปลอกถล่มลูกน้อยทั้งคู่ ไม่ให้ตกใจแล้วตื่นตระหนก ด้วยการที่เขาเล่านิทานให้เด็กทั้งสองคนฟัง ซึ่งนิทานที่เธอเล่านั้นเป็นนิทานเรื่อง Tír na nÓg

เป็นตั้งนานในตำนานเคลติก ที่จะกล่าวถึงเรื่องราวดินแดนในอุดมคติ ที่มีความสวยเป็นนิรันและความอ่อนเยาว์เป็นนิรันดร์ และการเดินทางไปสู่ดินแดนลึกลับแห่งนี้ได้ ต้องผ่านมหาสมุทรเพียงเท่านั้น

ความจริงในบทภาพยนตร์ดั้งเดิม จะไม่มีฉากนี้ แต่นักแสดงสมทบที่เป็นชาวไอลิสคนหนึ่ง ได้เสนอแนะไอเดียถึงฉากนี้ให้กับผู้กำกับอย่าง เจมส์คาเมรอน และเขาก็ได้เห็นด้วยเพราะว่าเนื้อหาในนิทาน ลานสอดคล้องกับเหตุการณ์ในขณะที่เรือนั้นกำลังจมได้เป็นอย่างดี เมื่อแม่ลูก ทั้งสายน้ำกำลังจมไปพร้อมกับเรือก็เปรียบดังเสมือนครอบครัวของเขานั้น กำลังจะได้เดินทางไปยังดินแดน ที่พวกเขานั้นจะพบกับความสุขด้วยกันเป็นนิรันดร์

3. ภาพเหมือนของโรสที่แจ็ควาดขึ้น ความจริงแล้วเป็นฝีมือของ ผู้กำกับเจมส์คาเมรอนวาดเอง

เรียกได้ว่าถึงมีความยาว 3 ชั่วโมงกับอีก 14 นาที แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นดันมีฉากที่น่าจดจำหลายฉาก และหนึ่งในฉากที่น่าจดจำมากที่สุดสำหรับผู้เขียนเองก็คือฉากที่โรสยอมเปลือยกายเป็นแบบให้แจ็ควาดภาพเสมือนจริง ลงบนกระดาษ และภาพสเก็ตที่คนดูและเห็นนั้นบอกเลยว่าน่าทึ่งสุดๆ

คาดเดากันต่างๆนานาว่าจ้างทีมงานนักศิลปะให้มาเขียนภาพนี้หรือเปล่า แต่ที่จริงแล้วไม่ต้องไปจ้างใครเลย เพราะภาพสเก็ตที่เราได้เห็นกันในหนังในฉากนั้นคือฝีมือ ผู้สร้างหนังอย่าง James Cameron ซึ่งในภาพยนตร์นั้นเราจะได้เห็นอีกภาพด้วยที่รวมอยู่บนแผ่นกระดาษที่สเก็ตภาพโรสอยู่บนกระดาษ ซึ่งภาพนั้นแจกได้เล่าว่าเป็นภาพของ หญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ภาพนั้นก็คือฝีมือของเจมส์คาเมรอนอีกเช่นกัน

ในที่ยิ่งไปกว่านั้นฉากที่แจ็คกำลังวาดภาพสเก็ตโรสนั้น เราจะเห็นได้ว่ามีมือที่กำลังวาดภาพอยู่ นั่นก็เป็นมือของผู้กำกับคาเมรอนด้วย มันจึงต่างกันตรงที่ว่าตัวคาเมรอนนั้นเป็นคนถนัดซ้าย ส่วน Jack นั้นตามเรื่องราวความจริงแล้วเป็นคนที่ถนัดขวา คาเมรอนเองนั้นก็ไม่คิดจะปล่อยให้รายละเอียดเพียงเล็กน้อยนั้นหลุดออกไป

ในขั้นตอนที่วาดภาพนั้นทีมงานก็ สลับทิศทางของภาพจากซ้ายเป็นขวาเพื่อเก็บรายละเอียด และภาพของโรส ที่เป็นฝีมือของผู้กำกับเจมส์คาเมรอนนั้น ได้ถูกประมูลไปในปีค.ศ 2010 ด้วยราคา 16,000 เหรียญ ถ้าแปลเป็นเงินไทยก็ประมาณ 500,000 บาท

คนในเรือไททานิก

น้ำที่ใช้ถ่ายทำ ไททานิค ในฉากที่แจ็คกับโรสรอยคอ เย็นจัด จนทำให้ เคต วิลสเล็ต ป่วยเป็นไฮโปเธอร์เมีย

ให้ฉากจบของภาพยนตร์เรื่องไททานิคที่ทำให้ผู้ชมหลายคนจดจำขึ้นใจ เราจะได้เห็นแจ็คกับโรส ลอยคอกันอยู่ในน้ำ ในฉากที่โรสนั้นจะนอนอยู่บนแผ่นไม้กระดาน เราจะเห็นได้ว่าใบหน้าของเธอนั้นมีอาการหนาว ทำปากสั่นและคอสั่นเลยทีเดียว

ซึ่งมันไม่ใช่การแสดงเพียงอย่างใด แต่เป็นการแสดงของจริงๆ ที่เธอนั้นกำลังรู้สึกหนาว จะมีข่าวลือกันว่า เพราะเธอนั้นแสดงฉากนี้จึงทำให้ต้องป่วยเป็นโรคปอดบวม และในภายหลัง เคต วินสเล็ต ได้ออกมาแก้ต่างในข่าวลือนั้น แล้วเธอได้อธิบายว่า ตัวเธอนั้นไม่ได้ป่วยร้ายแรงขนาดนั้น แต่ว่าน้ำในปากนั้นเย็นจริงๆ และเธอแค่มีอาการ ภาวะอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำกว่าปกติเท่านั้น

แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีคนสงสัย ว่าทำไมทีมงานถึงต้องปล่อยให้นักแสดงทนหนาวจนป่วยกันด้วย ทำไมไม่ใช้น้ำที่มีอุณหภูมิปกติหรือน้ำอุ่นละ แล้วให้นักแสดงนั้นแสดงอาการเหมือนหนังแทน เขาก็ได้ออกมาอธิบายว่า น้ำที่ใช้ในฉากนั้นมีปริมาณเยอะมากเกินไป ซึ่งมันยากมากที่สุดปรับอุณหภูมิน้ำทั้งหมดได้

เคต วินสเล็ต

ฉากที่เป็นของจริงและเป็นการทำให้เหมือนกับเรือไททานิคจริงๆ

แรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องนี้ มาจากตัวผู้กำกับเพลงที่รู้สึกหลงไหลมากๆในซากเรือสำราญลำใหญ่ไททานิคอีกลำนี้ ที่จ่มลึกลงไปใต้มหาสมุทร และเขานั้นได้พบกับ  โรเบิร์ต บัลลาร์ด ที่เป็นหัวหน้าทีมค้นหาซากเรือไททานิค โดยการถ่ายทำเริ่มต้นกันในปีค.ศ 1995 ซึ่งในตอนแรกนั้น เจมส์ คาเมรอน ลงไปศึกษาซากเรือจริงๆด้วยตัวของเขาเอง และมีการประเมินออกมาแล้วว่า

เจมส์คาเมรอนใช้เวลาอยู่กับซากเรือลำนี้อย่างละลายกว่าบรรดาของผู้โดยสารของเรือไททานิคในปี 1912 จริงๆ ใครจะไปคิด ผู้กำกับรายนี้ได้ออกไปสำรวจซากเรือก่อนที่จะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จริง รวมแล้วทั้งหมด 12 ครั้งเลยทีเดียว แล้วแต่ละครั้งไม่ใช่แค่เวลาสั้นๆการดำลงไปสำรวจซากเรือแต่ละครั้งนั้นยาวนานถึง 15 ถึง 17 ชั่วโมงกันเลย

เจ้าตัวตั้งใจที่จะใส่ผ้าซากเรือ ไททานิค จริงลงไปในภาพยนตร์ด้วย เพื่อเพิ่มความรู้สึกที่สมจริงมากขึ้น เขาอยากจะสื่อให้คนดูได้รับรู้ วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวดราม่าในความรักของหนุ่มสาว คู่หนึ่งเพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดกับใครก็ได้บนโลกนี้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรอดชีวิตและกลับไปใช้ชีวิตได้

แล้วยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เราอยากจะพูดถึง ผมที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นถูกทอขึ้นโดยโรงงานเดิมที่เคยผลิตให้กับเรือไททานิคของจริง แล้วไม่ใช่แค่ผมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าในการก่อสร้างฉากที่อยู่ข้างในเรือลำนี้ และควบคุมการสร้างโดยทีมงานของ the white Star Line ที่เป็นเจ้าของเรือไททานิค เพราะว่า เจมส์คาเมรอน ต้องการที่จะให้ภาพยนตร์ออกมาตามประวัติศาสตร์ของจริงได้มากที่สุด

เท่าที่ตัวเขานั้นจะทำได้ เจ้าตัวได้ยืนยันว่าจะต้องใช้ Wallpaper โคมไฟระย้า หน้าต่างบานกระจกตะกั่ว ให้เหมือนกับที่เรือไททานิคนั้นใช้จริง แต่ยังไม่พอแค่นั้น เขาละเอียดถึงขั้นที่ใช้ลายน้ำโลโก้ของ The white Star Line ที่ประทับบนข้าวของของเครื่องใช้ทุกชิ้นภายในฉากที่เราได้เห็นด้วย ต่อให้ไม่เห็นในหนังก็ตามแต่ทุกชิ้นนั้นมีตราประทับ

และการรีวิว และ พูดถึงสิ่งที่เกร็ดความรู้ที่ใครหลายๆคนไม่รู้ ขอจบเพียงเท่านี้ เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับภาพยนต์ยอดเยี่ยมที่ดีตลอดกาล ที่เราแนะนำแลพทั้งหมดนี้เป็นเพียงการรีวิวโดยส่วนตัวและความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น หากผิดพลาดตรงไหนเราก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยนะครับ

รีวิว The last of us ไม่อวยแต่ดีจริง

เปโดร ปาสคาล กับ เบลล่าแรมซี่
ถ้าหากพูดถึง หนังผจญภัย ในโลกที่สิ้นหวังคงพลาดไม่ได้ที่จะพูดถึง ภาพยนตร์ซีรีส์อย่าง The Last of us ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมชื่อดังที่ใครหลายๆคนอาจจะรู้จักเป็นอย่างดี ที่มีให้เล่นทั้งในแพลตฟอร์มของ PlayStation ไม่ว่าจะเป็น PlayStation 3 PlayStation 4 หรือแม้แต่ใน playstation 5 เรียกได้ว่าเป็นเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

แล้วตั้งแต่ที่มีประกาศว่าจะสร้าง Series ภาพยนตร์เรื่องนี้ เราก็มักจะได้เห็นข่าวความคืบหน้าจากการที่ คัดเลือกนักแสดงต่างๆ เนื้อหาต่างๆที่มีภาพหลุดออกมาอย่างบ่อยครั้ง จนทำให้แฟนเกมนั้นต่างก็ คาดหวังการซักเป็นส่วนใหญ่และหวังว่าจะทำออกมาได้อย่างดีแน่นอน และเรามาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ขอป้ายยาทุกคนที่มาอ่านบทความรีวิวครั้งนี้ก็เลยแล้วกัน วัดศรีดี้ฉบับนี้มันจะโดดเด่นและเฉิดฉายขนาดไหน กับเนื้อหา ที่เรานั้นจะออกมาพูดถึง เพื่อที่จะทำให้ทุกคนนั้น

ได้รู้จักกับซีรี่ย์ภาพยนตร์เรื่องนี้ กันมากขึ้น เมื่อคุณอ่านจบแล้ว มันอาจจะทำให้คนทำให้ความคิด ที่อยากจะดูซีรีย์เรื่องนี้กันมากขึ้นก็เป็นได้ ล่าสุดของที่เล่นเกมมาแล้ว ก็จะได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติม เดี๋ยวซีรีย์ เรื่องนี้มากขึ้นยังแท้จริง แล้วในบทความครั้งนี้เราจะมาแนะนำข้อมูล เดอะลาสออฟอัส ที่น่าสนใจ ที่หลายๆคนอาจจะไม่รู้ ให้ทุกคนได้อ่านกัน

ทำความรู้จัก The Last of us เกมที่นักเล่นเกมส่วนใหญ่หลงรักในเรื่องราวในฉบับเกม

เอาล่ะครับ เราจะมาเริ่มต้นด้วยการพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ TheLast of us เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของซีรีย์เลยก็ว่าได้ที่ได้วางจำหน่าย ในปี 2013 แบ่งเครื่องเล่นเกมอย่าง PlayStation 3 ที่ไหนตอนนั้นตัวเกมได้ผลตอบรับยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นแง่บวกจากสุดๆจากแฟนเกมส์ทั้งหลาย ด้วยการที่มีระบบการเล่น ที่เป็นเกม Action ให้เราเดินหน้าผ่านไปกับเนื้อเรื่องเรื่อยๆ ต้องการเดินทางสุดแสนจะลุ้นในโลกที่ล่มสลาย แล้วเราจะได้พบกับเราซอมบี้ในเนื้อเรื่องเท่านั้น

แต่ขอบอกไว้เลยว่าซอมบี้ในเนื้อเรื่องครั้งนี้ เป็นซอมบี้ที่แปลกใหม่แล้วไม่ซ้ำกับ พล็อตเรื่องหลายๆเรื่อง และยังมีมนุษย์ ที่ขอแย่งชิงสิ่งของปล้นฆ่าจากเราเพื่อเอาชีวิตรอดกันไป และเรียกได้ว่าสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเกมแบบนี้คือ เนื้อเรื่องของเกม ที่โดนยกย่องจากเหล่าแฟนเจนทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องราวที่ไม่ซับซ้อนเรื่องราวง่ายๆ ในการเดินทางของผู้ชายที่เสียลูกสาว กับเด็กหญิงกำพร้าพ่อแม่ แต่สิ่งที่ทั้งคู่นั้นมันจะต้องพบเจอมันมีทั้งเรื่องหลายเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวดีๆจนทำให้เรานั้นรู้สึกยิ้มตาม หรือ เรื่องราวที่แสนจะโหดร้าย จนทำให้เราน้ำตาคลอและสงสารตัวละครสุดๆ

กับความรู้สึกที่อบอุ่นหัวใจที่ผู้เล่นเกมนั้นได้รับ จนทำให้ตัวเกมได้ถูกนำมาพูดถึง และ ได้เอามา Remake ใหม่ ให้ผู้เล่นได้ขอให้เล่นกันตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงภาพ ที่ปรับปรุงกันมาถึงหลายครั้ง จนภาพนั้นออกมายอดเยี่ยม อย่างภาคแรกก็ได้เอามาทำใหม่ ทั้งหมดโดยการที่เปลี่ยนกราฟิกให้สวยดูสมจริงบน Playstation 5 หรือถ้าใครมีเครื่อง PlayStation 4 ก็มีให้เราได้เล่นเช่นกัน

และจากที่ดูแค่ตัวอย่างในตอนแรก ที่ฉายออกมาก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องราวของซีรีย์ ฉบับนี้ ตรงกันกับฉบับเกมมากๆ เรียกได้ว่าเป็นการเคารพต้นฉบับสุดๆ และดังนั้นถ้าหากคุณอยากรู้เรื่องราวต่างๆ ของซีรีย์ก่อน ก็ไปหาเกมมาเล่นกันก่อนได้เลย เพราะหรือให้อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ต่างกันเลยทีเดียวล่ะ

The Last of us

ในฉบับซีรีย์ The Last of us จะใช้โครงสร้างเดียวกับฉบับเกม

เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเลย ที่ตัวซีรีย์นั้นใช้โครงสร้างเดียวกับเกม the last of usเรื่องย่อ เริ่มต้นก็จะย้อนไปเมื่อปลายเดือนกันยายนปี 2013 ที่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอย่าง เชื้อไวรัสที่ระบาดโดยที่ไม่มีการทราบสาเหตุ และมันแพร่กระจายไปแบบเร็วมาก ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก่อนที่การติดเชื้อนั้น จะผ่านการที่ผู้คนนั้นถูกกัด แล้วจะแพร่กระจายไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว

โดยคนที่ติดเชื้อจะมีอาการ คุ้มคลั่ง ไม่มีสติ เหมือนปีศาจที่กระหายการแพร่เชื้อ และวิ่งไล่กัดคนอื่น ที่ภายในค่ำคืนเดียวนั้น ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลก ที่เปลี่ยนจากค่ำคืนวันเกิดของโจเอล ที่เป็นวันธรรมดา จากที่เขาได้อยู่กับลูกสาวแบบปกติ และมีความสุข กลายเป็นนรกที่เขานั้นต้องจำฝังใจไปตลอดชีวิต เพราะJoel ต้องเสียลูกสาวคนสำคัญอย่างซาร่า ที่โดนการฆ่าอย่างตั้งใจ ของทหารที่ต้องการควบคุมโรค

และเมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี ในเรื่องจะพาเรามาเห็นถึง ปี 2023 ซึ่งเป็นเวลาปัจจุบันที่โลกได้ล่มสลายไปจนสมบูรณ์ และตัวเองนั้นก็ได้เปลี่ยนตัวเอง จากผู้ชายที่รักสงบสุดๆ ตอนนี้ดันกลายเป็นคนของเถื่อน เรียกได้ว่าเข้าใจความรู้สึกของ โจเอล อย่างดี แล้วก็ตัดมาที่สาวน้อย เอลลี่ สาวน้อยที่ได้เติบโตมาภายในโลก ที่ล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว เธอได้หนีออกมาเที่ยวเล่นกับเพื่อนของเธอ จนถูกซอมบี้กัดเข้า

แต่ที่น่าตกใจ คือเธอไม่มีอาการติดเชื้อ เธอนั้นถึงได้กลายเป็นทางรอดทางเดียวของโลกใบนี้ ในการสกัดวัคซีนและยารักษา ที่ทางฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ต้องการที่จะนำมันมาเพื่อที่จะช่วยโลกที่ล่มสลายใบนี้ แต่สถานที่ที่จะใช้สกัดยานั้น ดันอยู่อีกฝั่งของประเทศเรียกได้ว่าเป็นอีกฟากหนึ่งเลย และแล้วการเดินทางมันก็ได้เริ่มขึ้นเพราะว่าโจเอลต้องพาเธอไป ที่นั่น การขนส่งพัสดุที่มีชีวิตไปส่ง และนั่นถึงได้เป็นจุดเริ่มต้นขึ้น ของเกมและ Series ฉบับนี้

The Last of us

นักแสดงที่ได้รับบทในฉบับของซีรีย์

เอาล่ะครับคราวนี้เราจะมาพูดถึงส่วนของนักแสดง the last of us ตัวละคร กันบ้าง ที่ได้มารับบทในฉบับของ Series เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงยอดฝีมือกันเลยทีเดียว เราถึงเริ่มจากตัวหลักของเกม อยาก โจเอล ก็จะได้นักแสดงที่มี ฝีมือสุดยอด อย่าง Pedro Pascal ที่เคยรับบทชายสวมหน้ากาก ในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง The mandalorian ขนาดที่เขาใส่หน้ากากจนแทบทั้งเรื่อง ยังแสดงความสามารถและเฉิดฉายมาได้ และมาอยู่ในซีรีย์ฉบับซอมบี้ครั้งนี้ ไม่ต้องใส่หน้ากากเลยจะเฉิดฉายกันขนาดไหน

และสาวน้อยตัวหลักความหวังของโลกใบนี้อีกคนหนึ่ง คนที่จะมารับบทเอลลี่ สาวน้อยปากแซ่บ ที่ได้นักแสดงสาวอย่าง เบลล่า แรมซี่  ที่แสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกันในซีรีย์ของ Game of Thrones เรียกได้ว่าการมาแสดงพลังของตัวละครจากเกมแบบนี้ ทำเอาเป็นแฟนนั้นหลงรักกันไปตามๆกัน ถึงแม้ตอนแรกนั้นจะทำให้เรารู้สึกว่าหมั่นไส้ก็ตาม แต่เธอนั้นแสดงออกมาได้อย่างดีเลย

นี่ยังไม่ได้พูดถึงนักแสดงอีกหลายคนที่มารับบทในเกม และได้มารับบทในซีรีย์กันอีกครั้ง ที่เรียกได้ว่าทำให้คนที่เล่นเกมและคนที่ดูภาพยนตร์ฉบับนี้ ฟินกันจนน้ำตาแตก ก็เลยทีเดียว สำหรับแฟนเกมและคนที่รักซีรีย์สนุกๆ ก็ห้ามพลาดกันนะครับ ปัจจุบันร้านซีรีย์เรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 และโด่งดังไปทั่วทั้งโลกแล้ว เรียกได้ว่าเป็นใครที่ที่ทำมาจากเกมที่ดีที่สุดเลย

ฉบับของซีรีย์จะเดินทางไปถึงจุดไหนของฉบับเกม

พูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว เราแน่ใจว่าหลายๆคนอยากจะรู้ให้แน่ชัดกันไปเลย ว่าตัวของ ฉบับ Series จะเดินทางไกลมาถึงจุดไหนของเกม เราจะมาพูดกันให้ทุกคนรู้กันไปเลยแบบไม่ต้องมีสปอย เนื้อหาต่างๆและสิ่งที่คนเล่นเกมได้เห็นกันมาในตัวอย่างที่ทาง Hbo ต้องการจะสื่อให้คนที่เล่นเกม กลับฉากที่ซ้อนไว้ต่างๆ ที่ให้สลับกันไปมาของฉากอย่างรวดเร็ว

เราก็พอจะรู้ได้เลยว่าตัวซีรีย์นั้น จะต้องดำเนินการและดำเนินเรื่อง ไปงานศพเกมอย่างแน่นอน แล้วจะสรุปเรื่องราวที่ทุกคนคาใจได้ ครบถ้วน จนในตอนท้ายนั้นไม่มีอะไรให้คาใจเลย ทุกอย่างที่ทุกคนนั้นติดตามกันมาจะจบแบบ เรียกได้ว่าอบอุ่นหัวใจและปราบปลื้มกันสุดๆแน่นอน และถ้าหากพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องมีคนอยากจะถามว่า

“ถ้าซีรีย์จบแล้ว จะมีภาคต่อให้ทุกคนได้สัมผัสกันอีกหรือเปล่า”

แล้วขอต่อไว้ตรงนี้เลยว่า มีแน่นอนครับ เพราะตัวซีรีย์ที่ออกมาแค่ตอนแรกนั้น แล้วทำให้ทางเว็บไซต์ hbo มีปัญหาเว็บไซต์ล่มกันไปเลยทีเดียวเพราะคนให้เข้าไปดูซีรีย์กันเยอะเกินนี่แค่ตอนแรกนะ และเรื่องราวในเกมภาค 2 นั้นก็ได้มีไปนานแล้วด้วย รอเวลาแค่ทีมงานที่พัฒนาเกมและซีรีส์เรื่องนี้ ได้คำสั่งให้เริ่มทำภาค 2 อยู่ที่ว่าแต่ตอนไหนเพียงเท่านั้นเอง และขอบอกตามตรงนะ ไม่ได้อยากจะสปอยส่วนนี้หรอก แต่ภาค 2 นั้น มีเรื่องจะเข้มข้นและโหดกว่าภาคนี้สุดๆ จนมีคนออกมาพูดกันเลยว่า ภาคแรกของซีรีย์เรื่องนี้ คือเรื่องของความรักและความหวัง

แต่ในภาค 2 นั้น จัดเต็มไปด้วยความโกรธความเกลียด ความสิ้นหวังนะความชิงชัง ที่เรียกได้ว่าจากนรกธรรมดา เป็นนรกชั้นที่ 8 เลย กว่าจะถึงในภาค 2 นั้น เราอยากจะให้ทุกคนนั้นซึมซับความอบอุ่นหัวใจ ความรักที่โจเอล ได้ทำให้เราเห็นในภาคนี้กันก่อน แต่บอกเลยถึงคุณจะไม่เคยเล่นเกม แต่คุณจะหลงรักมันยังแน่นอนสำหรับซีรี่ย์ภาพยนตร์เรื่องนี้

The Last of us

ความรู้สึกหลังดูซีรีย์เรื่องนี้ ในฐานะของผู้ที่เล่นเกมกันมาก่อน

ผมที่ดู the last of us ep 1 และ ep 2 มาแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยที่ผมนั้นเล่นเกมนี้มาแล้วด้วย ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่เป็นการดัดแปลงที่ Perfect เรียกได้ว่าเป็นการขยายเนื้อเรื่องเนื้อหาและเรื่องราวที่ในตัวเกม อาจจะไม่ได้เล่าในฉากต่างๆบ้าง ให้คนที่เล่นเกมมาก่อนนั้นได้เห็นมุมมองต่างๆ ที่ไนโตรเจนไม่ได้บอกให้เราทราบ รักและการตัดฉากที่มีความรวบรวมในหลายๆส่วน ที่ในแถบนั้นได้ย่อลงไป

และเป็นการตัดในส่วนที่คนเล่นเกมนั้นจะได้สัมผัสจริงไปอย่าง ที่เรานั้นไม่ต้องควบคุมในฉบับซีรีย์ และเป็นการตัดสรุปเนื้อเรื่องไปเลย เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานเนื้อเรื่องของเกมและฉบับซีรีย์ได้อย่างลงตัว อย่างที่ออกไปคือเป็นการที่ นำเนื้อเรื่องนั้นมาขยายหรือตีความใหม่ เพิ่มสิ่งต่างๆและองค์ประกอบใหม่ขึ้นมาและหยิบไปใส่ในซีรีย์ เรียกได้ว่าทำเอาแฟนเกมส์ที่เล่นเกมกันมาก่อนนั้นขนลุกขนพองเลยทีเดียว ที่สำคัญได้ถึงรายละเอียดที่ถูกเพิ่มขึ้นมา อย่างเข้มข้น

ต้องบอกไว้เลยว่ามันไม่ใช่การเหมือนเกมไปซะทีเดียว เพราะในฉบับซีรีย์นั้นเอามาทำในรูปแบบของ Series เอง แต่ว่าองค์ประกอบและเนื้อเรื่องหลักยังเป็นฉบับของเกมอยู่ เรียกได้ว่าฉบับซีรี่ย์นี่ทำต่างจากเกมถึง 60% แต่อีก 40% นั้นมันคือเนื้อเรื่องของเกมหลักๆ และยังมีการเปิดเผยมาอีกว่า ซีรีย์เรื่องนี้ใน EP ที่ 2 มีความคืบหน้าและผู้คนสนใจมากขึ้นถึง 22% กันเลยทีเดียว ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูก็ไปหาดูนะครับ เพราะตอนนี้ซีรีย์นั้นก็ออกมาถึงตอนที่ 2 แล้ว โดยแต่ละตอนนั้นจะฉายให้ดูทางช่อง hbo ทุกวันจันทร์

จุดเด่นของซีรีย์เรื่อง The Last of us ซีรีย์ที่ดัดแปลงมาจากเกม

เพียงแค่ตอนทดลองของ The Last of Us ตอน ที่ 1 ในตอนแรก ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ทำของเรานั้นรู้สึกดีใจสุดๆ เพราะว่าเพียงแค่ตอนแรกก็ทำออกมาได้อย่างดีขนาดนี้ และทำให้เรานั้นไม่ผิดหวังเลย ถึงจะเน้นโทนดราม่ากันมาถึง 70% แต่พอถึงซีนที่ระทึกขวัญ ในหลายๆซีนที่ตัวซีรีย์นั้นยกออกมาจากเกม ก็เรียกได้ว่าเป็นการทำออกมายังคงยอดเยี่ยม ตื่นแต่ฉากที่เมืองล่มสลาย ไปจนถึงฉากที่ เฮียโจ ต้องมาเจอกับซอมบี้เชื้อราเห็ด มีการเอาแสงในแนวของไฟฉายที่ส่องไปที่ Subject ที่เป็นแบบเดียวกันได้อย่าง Perfect

และยังไม่รวมถึงเพลงประกอบนะ ที่เป็นจุดเด่นของเกมแบบสุดๆ เพียงแค่ดนตรีมานะมีก็ทำให้คุณนึกถึงเกมนี้เลย อย่างเพลง Alone and forsaken ที่ทำขึ้นมาโดย แฮงค์ วิลเลี่ยม และยังมีเพลงคันทรี่ ที่ได้เอามาผสมผสานไว้ในฉากต่างๆที่น่าจดจำมากมายในเกม ทำให้เราเกมเมอร์นั้นที่ได้ดูซีรีย์เรื่องนี้ รู้สึกว่า “

เฮ้ยเอาจริงดิแม้แต่เพลงยังเอามาใส่เกินไปไหม ขนลุกจัดๆ”

ที่เป็นเสียงตอบรับที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เล่นได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมมากๆ และสำหรับคนที่คาดหวังนั้นรับรองว่า จะไม่ผิดหวังในตอนต่อๆไป ของซีรีย์ที่ยกมาจากเกมเรื่องนี้ อย่างแน่นอน เพราะซีรีย์นั้นจะดำเนินการเล่าเรื่องในแบบที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ และยังคงที่ด้วยการใส่จิตวิญญาณของเกมลงไปโดยไม่เปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับเลย ด้วยเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของผู้สร้างอย่าง Craig Mazin และ Chernobyl ที่เป็นซีรีย์อันดับ 1 ตอนนี้ ของ HBO ได้มาร่วมงานกับ ผู้สร้างเกมตัวจริงเสียงจริง

รวมทั้งการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ เปโดร ปาสคาล และ สาวน้อย เบลล่า แรมซี่ ถึงแม้ว่าหน้าตาและลักษณะรูปลักษณ์ภายนอก จะไม่ใช่การถอดแบบมาจากในตัวเกม แต่แน่นอนว่าด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมและความเป็นมืออาชีพของทั้งคู่ ได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่โลกนั้นล่มสลาย ของตัวละครอย่าง โจเอล ได้อย่างลึกซึ้ง

และในขณะที่ เจ้าหนูน้อย เบลล่าแรมซี่ ก็สามารถถ่ายทอดความกวนส้นตีน และความแข็งแกร่งของตัวละครอย่าง เจ้าหนูเอลลี่ ได้อย่างครบถ้วน ดราม่าที่หน้าตาและลักษณะไม่เหมือนในเกมนั้น จึงไม่มีใครมาพูดถึงเลยสักนิด อยากนั่นมันไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะการแสดงของทั้งคู่นั้นออกมายอดเยี่ยมได้อย่างไม่มีที่ติ ทำให้ผู้ชมนั้นช่วยเชียร์ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนในเนื้อเรื่องได้อย่างดี

โจเอล คนแสดง

เรื่องราวไม่ซับซ้อน แต่จะทำให้เราเข้าใจองค์ประกอบของตัวละคร

ถึงแม้ว่าการเรียงลำดับเรื่องราวนั้นจะไม่ได้มีความซับซ้อน หรือมีจังหวะอะไรที่แบบว่า ตื่นตาตื่นใจขนาดนั้น สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อนอาจจะคิดแบบนี้ แต่มันก็มีส่วนที่ทำให้เหล่านั้น ไม่เข้าใจอะไรต่างๆที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเรื่องมากขึ้น ในเรื่องของการ Setting ของเรื่องราว และ เรื่องราวของปมในอดีตของตัวละครได้อย่างครบถ้วน จนถึงขั้นที่พาเรานั้นเข้าสู่สิ่งที่ ทีมงานผู้สร้างนั้นอยากจะนำเสนอได้แบบไม่ซับซ้อนเลย ถึงแม้ว่าผู้ชมหลายๆคนนั้นจะไม่เคยได้สัมผัส มาเล่นเกมของต้นฉบับกันมาก่อน ก็ยังเข้าใจได้

และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน มันคือบรรยากาศของเรื่อง ที่มันทำให้เรารู้สึกว่า ตัวละครในนั้นมันเต็มไปด้วยความจริงจังและความตึงเครียด เหมือนกับเราดูสารคดีชีวิตจริงกันเลย ไม่ได้มีฉากที่อลังการขนาดนั้น หรือชาติที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันบีบหัวใจจนเกินไป มันจึงทำให้เราสัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงความสิ้นหวัง หลังจากที่โลกได้ล่มสลายไปแล้ว และมันทำให้เรานั้นให้ความสนใจไปที่ ความรู้สึกของตัวละคร และความตึงเครียดของตัวละครได้อย่างจริงจัง

แค่ใน EP แรกนั้นเราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของ โจเอล และ ซาร่า ทำให้เรานั้นรู้สึกสงสารและไม่แปลกใจ ทำไมชีวิตของเขานั้นถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ จากคนที่เป็นคนสีขาวผ่อง ตอนนี้ใครเป็นคนเทาๆ ที่เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เขาได้เจอ และต้องแบกรับมันไว้ตลอด 20 ปี หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดแบบนั้น

โจเอล กับ เอลลี่

สรุปแล้วควรดูซีรี่ย์ดัดแปลงเรื่องนี้หรือไม่

และการรีวิวประกอบจบเพียงเท่านี้ สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะดูซีรีย์เรื่องนี้ดีไหม มันจะสนุกหรือเปล่านะ หลังจากผ่านบทความรีวิวของผมในครั้งนี้ไปแล้ว คงจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และยิ่งถ้าคนนั้นชอบซีรีส์หรือหนัง แนวซอมบี้ บอกเลยว่ามันเป็นการนำเสนอพล็อตเรื่องที่แปลกใหม่

ไม่ใช่ซอมบี้แบบที่เรารู้จักกันแน่นอน หรือถ้าหากคุณชอบอะไรที่ดีแล้วรู้สึก หลากหลายอารมณ์ หลักหน่วยความรู้สึก ที่มีทั้งความลุ้นระทึก ในการเอาชีวิตรอด และในเรื่องที่อบอุ่นหัวใจ หรือแม้แต่ภาพยนตร์ที่ทำให้เรารู้สึกสิ้นหวังไปตามทางกับตัวละคร ขอพูดแบบเต็มๆปากเลยว่า ไม่ควรพลาดอย่างแน่นอนครับ ซึ่งในซีซั่นแรกนั้นคุณจะได้รับชมทั้งหมด 10 ตอน ซึ่งรับรองได้เลยว่าถ้าดูจบแล้ว คุณจะรู้สึกหลงรักไปกับตัวละครอย่างแน่นอน

รีวิว 365 Days This Day

รีวิว 365 Days This Day

รีวิว 365 Days This Day

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับ วันนี้แอดมีหนังสุดเร้าร้อนหนังภาคต่อสุดฟินสุดดุกับการกลับมาคราวนี้กับภาพเปิดของพระ-นางในชุดแต่งงานกับประโยคเชิญชวนที่ว่า “ฉันไม่ได้ใส่กางเกงใน” หืม อะไรของเธอน่ะเลาร่า 365 Days: This Day ภาคต่อที่ทุกคนรอคอยหรือเปล่านะของ 365 DNI เล่าเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วและเสิร์ฟออร์เดิร์ฟเบา ๆ ให้หายคิดถึงด้วยฉากแซ่บซี๊ดบนโต๊ะ ท่ามกลางแสงแดดสาดส่องไล้สรีระของ เลาร่า (อันนา-มาเรีย เชกลูสกา) และ มัสซิโม (มิเคเล มอร์โรเน) เจ้าบ่าวมาเฟียของเธอ ก็เป็นฉากที่เขาทั้งคู่พลอดรักก่อนจะเข้าพิธีแต่งงาน ที่อื้อหืม เปิดฉากกันแบบนี้เลยเหรอ

แน่นอนว่าความรักของพวกเขาครั้งนี้แนบแน่นยิ่งกว่าเคย เพราะเธอได้เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาของเขาอย่างเต็มตัว แต่การเริ่มต้นครั้งใหม่ของคู่รักคู่นี้ ต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดน้ำเน่า เพราะความลับที่แอบซ่อนอยู่ภายในตระกูลของมัสซิโม่ได้ก่อปัญหาให้กับเลาร่าเข้าจนได้ และ นาโช (ซิโมเน ซูซินนา) ชายลึกลับสุดเซ็กซี่ที่เข้ามาในชีวิตเลาร่า ทำให้การแต่งงานครั้งนี้เกิดปมใหญ่ขึ้นในหัวใจของเลาร่า ที่ภาคนี้ต้องบอกว่าเลาร่าช่างเป็นนางเอ๊กนางเอก น้ำส้มคั้นต้องมาแล้วละค่ะ ขาดไม่ได้กันเลยเชียว
ก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วละค่ะว่าพล็อตเรื่องมันจะพราวไปกว่าเดิม มาเฟียเอาแต่ใจอย่างมัสซิโม่ภาคนี้ก็รักเมียหลงเมียแต่งานก็รัดตัวและมีความลับเต็มไปหมด ปมธุรกิจยุบยับที่ใส่เข้ามาในเรื่องทำให้เกิดเส้นเรื่องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าภาคที่แล้ว แต่ก็ช่างเบาดุจขนนกไม่ต่างไปจากเดิม โคลงเคลงหลวมโพรกจนต้องบอกกับตัวเองว่า เราคงไม่ต้องไปสนใจเครื่องเคียงจืดชืดนั่นหรอกน่า เว็บดูหนัง

รีวิว 365 Days This Day

รีวิวหนังมาใหม่ บทเขียนให้เลาร่าเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและเป็นนางเอกมากมายขึ้นกว่าเดิม ด้วยการถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนแย่งชิงจนกลายเป็นหมากในกระดานที่ยืนอยู่บนความเสี่ยง โดยที่ตัวเธอเองนั้นช่างไร้เดียงสา ดุจนางเอกละครไทยอมตะ ที่ไม่ต้องเดาอะไรทั้งนั้น เพราะทางมันมาแนวนี้อยู่แล้ว ส่วนในด้านของมัสซิโม่ ที่ภาคแรกเราได้เห็นความดุเด็ดและช่างเอาแต่ใจของมาเฟียหนุ่ม ภาคนี้ยังได้เห็นอยู่่เช่นเดิม แต่หากมีการขับเคี่ยวให้เส้นเรื่องใหม่แข็งแรงมากขึ้นกว่านี้อีก (เยอะเลยทีเดียว) ภาคนี้จะกลายเป็นหนังมาเฟียเล่นรักที่ดุ เด็ด เผ็ดมันและน่าสนใจกว่านี้มาก
รีวิว 365 Days This Day
ก็ไม่ได้คอยเก้อกันหรอกค่ะ แต่อาจจะไม่สาแก่ใจสายฮาร์ดคอร์สักเท่าไหร่ เพราะภาคนี้ลดความหวือหวาลงไปเยอะ ท่วงท่าลีลาไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนวูบวาบ แต่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดก็คือมุมกล้องที่เซฟขึ้น ดีขึ้น ประหนึ่งกำลังนั่งดู MV เพลงรักร้อน ๆ ก็ไม่ปาน เนื้อเรื่องมีจึ๋งเดียว แต่ไอ้ที่มากมายเกินครึ่งเรื่องคือการแสดงอารมณ์ล้วน ๆ ทั้งอารมณ์วาบหวาม ร้อนรัก อารมณ์ร่าเริง เศร้า เหงา โกรธ ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรเสียงเพลงก็ตามไปทุกหนทุกแห่งแถมไม่เข้ากันอีกต่างหาก จะเยอะไปไหนเนี่ยถามจริง ๆ ทั้งฉากสำคัญและไม่สำคัญพร่างพราวดุจดวงดาวบนท้องฟ้า จนกลายเป็นช้ำมากกว่าฉ่ำอย่างที่ควรจะเป็น
รีวิว 365 Days This Day
ต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจะได้เห็นฉากรักหลากอารมณ์ที่ไม่ได้มีแค่ 1 คู่แน่นอนค่ะ และเป็นการเข้าฉากที่ฉึบฉับ ไร้เหตุผล เรียกว่าตีหัวเข้าฉากกันโต้ง ๆ ให้งงกับเนื้อเรื่องกันเล่น ๆ เหมือนผู้สร้างกำลังย้ำเตือนกับเราว่า อย่าไปสนใจมาก ดูฉากโอโบ๊ะจามะเคล้าเสียงเพลงกันไปก็พอแล้ว ย้วยกว่านี้ก็ขอบกางเกงในนางเอกแล้วละค่ะ
ถ้าภาคที่แล้วเป็นอาหารจานร้อนที่เผ็ดปากเจ่อ ภาคนี้ก็เป็นอาหารจานด่วนที่แซ่บพอดีคำ ความจัดจ้านอาจไม่เท่ากับภาคแรก แต่การจัดจานนั้นสวยงามน่ามองกว่าภาคแรกเป็นไหน ๆ โดยเฉพาะฉากท้าย ๆ ที่สร้างอารมณ์วาบหวามได้พอดีแบบกรุ้มกริ่ม ยิ้มขำได้กับจินตนาการของนางเอก แต่ส่วนดี ๆ ที่เพิ่มเข้ามานี้กลับกลายเป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวไปเสียอย่างนั้น เหมือนน้ำกับน้ำมันที่แบ่งแยกกันชัดเจนให้เห็นเป็นชั้น ๆ จนเกือบจะเป็นหนังคนละเรื่องอยู่แล้วเชียว
รีวิว 365 Days This Day
อย่าว่าแต่คนดูจะสับสนในอารมณ์เลยค่ะ ผู้เขียนว่า ผู้สร้างแกก็คงจะงงกับตัวเองอยู่ไม่น้อย มุมกล้อง แสงเงา การย้อมสีต่าง ๆ และโลเคชันสวยงามกว่าภาคที่แล้วจนอยากเอ่ยปากชมว่าดีจัง มุมนั้นสวยมุมนี้ดี งามจริง ๆ แต่อะไรที่มันมีมากเกินไปจากที่จะฉุดให้เราหยุดเสพสุขอยู่ตรงนั้น กลับทำให้ความตื่นตาตื่นใจที่ควรจะมีหายวับเอาง่าย ๆ ซะงั้นน่ะ
เนื้อหาเน่า ๆ เราจะไม่พูดถึง เพราะเขาก็เน่ามาตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เห็นความตั้งใจของผู้สร้างก็คือ ความพยายามที่จะใส่เนื้อหาที่ไม่ค่อยจะมีให้มีมากขึ้น การนำเสนอที่มีความเป็นอาร์ตมากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการพัฒนาในด้านดีแต่เมื่อใส่ไปในฉากที่ จำเป็นต้องใส่ด้วยเหรอ? ก็ทำให้กลายเป็นเสียของไปซะฉิบ เพิ่มเส้นเรื่อง เพิ่มตัวละครที่เหมือนจะมีความสำคัญแต่กลับเคว้งคว้าง ความตื่นเต้นที่ควรจะมีกลายเป็นความเอื่อยเนือยจนน่าเสียดาย และฟุ่มเฟือยในหลาย ๆ ฉาก แต่ความมั่นหน้าที่มากขึ้นไปอีกก็คือ การตัดจบที่ทิ้งเอาไว้อย่างชัด ๆ โดยไม่ต้องบอกว่าเขาจะมีภาค 3 ตามมาอีกแน่ ๆ เป็นไตรภาค OMG พระเจ้าจอร์จ สุดยอดอีกแล้วจ้าาา
ในภาคต่ออย่าง 365 Days: This Day จะพาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างคู่เลาร่า กับ มัสซิโม พระเอกนางเอก ที่เล่นบทจำเลยรักกันไปในภาคแรก แต่มาในภาคนี้พวกเขาก็ได้กลับมาสานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง โดยมีฉากอีโรติก 18+ เป็นจุดขายอีกเช่นเคย นอกจากนี้ยังพ่วงมาด้วยความลับของครอบครัวพระเอกสายใยตระกูลมัสซิโม ยิ่งทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองผูกปมทับถมให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น มาพร้อมตัวละครใหม่ที่จะทำให้เรื่องในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เข้มข้นมากพอที่ผู้ชมจะประทับใจในหนังภาคนี้อย่างแน่นอน ยิ่งทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองผูกปมทับถมให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น
หลังจกที่ได้ดูหนังเรื่อง 365 Days: This Day จบไปแล้วนั้น ต้องขอบอกเลยว่าภาคนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกินกว่าที่คนดูคาดเดาไว้ เนื้อเรื่องเดินดาสูตรละครน้ำเน่าของไทยแบบเป๊ะ ๆ โดยให้พระเอกนางเอกรักกันปานจะกลืนสุดๆ ก่อน แล้วก็มีเหตุให้ต้องบาดหมางกันจากเรื่องนอกใจ มีมือที่ 3 ข้ามาแทรกซึ่งก็คือเจ้าหนุ่มรูปหล่อตัวเอกคนใหม่ของภาคนี้มาเสียบแทน ในบท นาโช (แสดงโดย Simone Susinna)
แต่ใครจรู้ ว่ามือที่ 3 คนนี้นี่แหละ แอบซ้อนปมบางอย่างที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้น เนื้อเรื่องจริง ๆ มีแค่นิดเดียว แต่กลับเพิ่มกลิ่นความเหม็นคลุ้งเข้ามาเป็นเท่าตัว ซึ่งแน่นอนว่าปมประเด็นต่าง ๆ ทีเพิ่มเข้ามานั้นดูเป็นละครหลังข่าวมากไปสักหน่อย เป็นชนวนที่ทำให้ภาคนี้ไม่ได้ทำให้มีอะไรน่าลุ้นและมีสิ่งที่ตรึงตราได้เท่ากว่าภาคที่แล้วนอกนั้นคือฉากน้ำอีโรติกล้วน ๆ
บทเขียนให้เลาร่าเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและเป็นนางเอกมากมายขึ้นกว่าเดิม ด้วยการถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนแย่งชิงจนกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดาน ที่ทำเอาให้เรานึกถึงนางเอกละครไทย คาแรคเตอร์ใสชื่อตามคนไม่ทันแบบสุด ๆ ส่วนในด้านของมัสซิโม่ ที่ภาคแรกเราได้เห็นความดุเด็ด และเอาแต่ใจของหนุ่มมาเฟีย ภาคนี้มีการขับเคี่ยวให้เส้นเรื่องใหม่แข็งแรงมากขึ้นกว่านี้อีก
อย่างที่เรารู้กันดีว่าภาพยนต์ชุดนี้ตั้งแต่ภาคแรกอย่าง 365 Days จุดขายที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีชื่อเสียง (หรือเสีย?) นั่นก็คือฉากอิโรติด 18+ ราวกับว่าดูหนังโป๊อยู่ก็ไม่ปาน ซึ่งในภาคนี้ ก็ไม่ทำให้คนดูผิดหวัง อัดฉาก sex อันดุเดือดมาให้เต็ม ๆ โดยที่เราแทบจะไม่ออกไปหาหนังโป๊จากเว็บเถื่อนดูกันแล้ว ดูหนัง
โดยเน้นไปที่ฉากอีโรติกของคู่พระเอกนางเอกเดิมแบบจัดหนักหลังแต่งงานหลายซีนอยู่ ก่อนที่เนื้อเรื่องของหนังจะปูบท เปลี่ยนไปให้พระเอกคนใหม่ได้มีโอกาสจัดหนักกับนางเอกบ้าง โดยใช้ปมว่าพระเอกมีเรื่องนอกใจ ทำให้นางก็สามารถไปมีอะไรกับชายอื่นได้เหมือนกัน แต่เนื้อเรื่องก็ยังกั๊ก ๆ ไว้ก่อน ให้แค่หลัก ๆ เป็นฉากในจินตนาการของนางเอกเท่านั้น ยังไม่เผ็ชดุแบบพระเอกคนเก่า เพราะตัวเรื่องก็เหมือนเอาเขามาเป็นแค่ชนวนสร้างปมขัดแย้งให้มีเรื่องราวใหม่ ๆ กับฉากอีโรติกกับผู้คนใหม่บ้างเท่านั้น

สรุป 365 Days This Day

รีวิวหนังมาใหม่ ถ้าให้คะแนนสำหรับหนังเรื่อง 365 Days: This Day แอดก็ขอให้อยู่ที่ 7/10 คะแนน เนื่องจากเนื้อเรื่องที่แม้ว่าจะเข้มข้นมากก็ตาม แต่ในส่วนของบทเป็นอะไรที่เดาง่ายตามแบบฉบับละครไทย อาจะเป็นเพราะเราจำภาพละครน้ำเน่าได้ต้งแต่เด็ก เนื้อหาของเรื่องที่ถึงแม้จะซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้ลึกลับขนาดนั้น ตัวหนังกลับชูจุดเด่นอย่างชัดเจนในเรื่องของความอิโรติ 18+ จนบางฉากสามารถเป้นหนังโป๊เกรดดี ๆ ได้เลยล่ะ ซึ่งมั่นใจว่าหลาย ๆ คนที่ติดตามหนังเรื่อง 365 Days: This Day ต่างก็ต้องติดใจกับฉากเซ็กส์สุดร้อนแรง เผ็ชมันอยู่แล้ว เว็บหนัง
จุดเด่น
นางเอกสวยขึ้นจากภาคที่แล้วและเพิ่มตัวแสดงใหม่เข้ามา แซ่บสูสีกับพระเอกซะด้วยสิ
มุมกล้องสวยขึ้น น่าดูขึ้นกว่าเดิม
นางเอกมีของเล่นเพิ่มขึ้นจากภาคที่แล้ว อื้อหืม เร่าร้อนเชียวแหละ
จุดสังเกต
บทยังคงความหลวมอย่างคงเส้นคงวา จนกลายเป็นเครื่องเคียงที่จืดชืด ภาคที่แล้วตื่นเต้นหวือหวา ภาคนี้สิ่งต่าง ๆ ที่เห็นกลับซ้ำซากและเป็นยานอนหลับชั้นดีเลยจ้ะ

รีวิว Jurassic World Fallen Kingdom

รีวิว Jurassic World Fallen Kingdom

รีวิว Jurassic World Fallen Kingdom

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังไดโนเสาร์ที่แอดคิดว่าหลายๆคนต้องเคยดูเลยเคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง หนังเล่าหลังจากเหตุการณ์สวนสนุกแตกในภาคแรก ไดโนเสาร์บนเกาะก็ถูกทิ้งไว้ตามธรรมชาติโดยไม่มีมนุษย์ไปย่างกราย แต่ภูเขาไฟเจ้ากรรมบนเกาะก็ดั๊นถึงคราวระเบิดอีก ร้อนถึงนางเอกจากภาคแรก รวมถึงพระเอกนักฝึกแรปเตอร์อย่าง โอเวน (คริส แพร็ตต์) ต้องกลับไปช่วยอพยพสิงสาราสัตว์ระดับตำนานทั้งหลายไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ซ้ำสอง อันเป็นที่มาของชื่อภาคอย่าง Fallen Kingdom นั่นเอง

รีวิว Jurassic World Fallen Kingdom

ทว่าเบื้องหลังการอพยพครั้งนี้มันอาจไม่ใช่ความเมตตาอะไรแบบที่เหล่าตัวเอกเข้าใจ แต่กลายเป็นการถูกหลอกใช้จากนายทุนไปเสียอีก เพราะมันมีผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเงื่อนบางอย่าง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่อย่าง อินโดแรปเตอร์ มาให้สยดสยองเพิ่มอีกต่างหาก เอาเข้าไปสิ แล้วหนังจะจบยังไงเนี่ย เว็บดูหนัง

รีวิว Jurassic World Fallen Kingdom

รีวิวหนังมาใหม่ Jurassic World: Fallen Kingdom หรือภาคต่อในชุดไตรภาคใหม่ฉบับรีแบรนด์ของ Jurassic Park (1993) ที่กลับมาครั้งนี้ได้เปลี่ยนผู้นำวิสัยทัศน์มาเป็นผู้กำกับสายเอฟเฟกต์ดราม่าอย่าง เจ.เอ. บาโยนา ที่เคยมีผลงานชั้นดีอย่าง The Impossible (2012) หนังซึนามิที่มาถ่ายในไทย และล่าสุดกับ A Monster Calls (2016) ที่เคยทำหัวใจใครหลายคนสลายมาแล้ว ตรงนี้ก็ถือว่าเชื่อชั้นฝีมือได้ว่าหนังไม่ออกอ่าวตังเกี๋ยแน่นอน ส่วนผู้กำกับคนเก่งจากภาคแรก Jurassic World (2015) อย่าง คอลิน เทรโวร์โรว์ ก็ไปทำหน้าที่เขียนบทร่วมกับหนึ่งในทีมเขียนบทของภาคแรกอย่าง เดเรก คอนนอลลี่ แทน โดยได้พ่อมดต้นตำหรับอย่าง สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก มานั่งอำนวยการสร้างเช่นเคย

รีวิว Jurassic World Fallen Kingdom

สิ่งที่แตกต่างอีกอย่างสำหรับภาคนี้คงเป็นการสูงสุดคืนสู่สามัญ เมื่อทีมสร้างวางวิสัยทัศน์ในการใช้ แอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) หรือเทคนิคหุ่นกลไกเสมือนจริง เข้ามาใช้ในการถ่ายทำแบบครึ่ง ๆ กับเทคนิคกราฟิกคอมพิวเตอร์ CGI เหมือนสมัยที่ Jurassic Park ภาคแรกเคยทำไว้ก่อนจะโดน CGI กลืนกินเกลี้ยงในภาคหลัง ๆ ตรงนี้ก็ทำให้ได้งานภาพระยะใกล้ที่มีเสน่ห์สมจริงแบบไม่หลอกตาผู้ชมเลยทีเดียว และอีกหนึ่งเทคนิคที่ทำครั้งแรกในแฟรนไชส์นี้ก็คือการถ่ายภาพด้วยอัตราส่วนจอกว้างกว่าเดิมอย่าง 2.39:1 ซึ่งมากสุดที่หนังจูราสสิกเคยถ่ายมา ด้วยเหตุผลว่ามันจะสามารถรองรับภาพไดโนเสาร์จำนวนมาก ที่ภาคนี้โอ่ไว้ว่าจะมีไดโนเสาร์มากที่สุดด้วย คือทีมสร้างคิดงานมาละเอียดดีเลยล่ะ

ต้องเล่าย้อนว่าส่วนตัวไม่ค่อยชื่นชมไตรภาคใหม่นี้ ตั้งแต่ Jurassic World แล้วนะ เพราะมันคือการก๊อปแล้วพัฒนาจาก Jurassic Park มามากเกินไป ความรู้สึกเหมือนที่ Star Wars: Episode VII – The Force Awakens (2015) ก๊อปการเดินเรื่องมาจาก Star Wars: Episode IV – A New Hope (1977) นั่นล่ะ ไม่รู้เป็นเทรนด์หนังรีแบรนด์ในปี 2015 หรือเปล่านะเนี่ย คือมันดีในแง่ความแข็งแรงของโครงเรื่องที่พิสูจน์ผลมาแล้วและมนต์เสน่ห์แบบนอสตัลเกียล่ะ แต่มองในแง่ความสร้างสรรค์สดใหม่มันกลายเป็นกระทืบเท้าอยู่กับที่ แค่กระทืบแรงขึ้นเท่านั้นเอง คือต้องเข้าใจนะว่าค่ายหนังกำลังรีแบรนด์ของเก่าเพื่อเอามาขายเด็กรุ่นใหม่ มันเลยจะทำงานมากกับคนที่ไม่เคยดูหนัง เว็บหนัง ไตรภาคเดิมมาก่อน

และกับประเด็น Fallen Kingdom อิงโครงงานเก่า มันก็อาจไม่ใช่ข้อหาที่เกินเลย ถ้าจะมองมันเทียบกับภาคต่อ Jurassic Park อย่าง The Lost World: Jurassic Park (1997) ที่ทะลึ่งเนื้อหาไปคล้ายกันเข้าอีก ทั้งการที่สวนสนุกถูกทิ้งรกร้าง เหล่านักวิทยาศาสตร์และทหารต้องการกลับเข้าไปจับไดโนเสาร์มา แต่ฝ่ายหนึ่งเล่นไม่ซื่อต้องการจับกลับไปเพื่อผลประโยชน์ จนหนังครึ่งหลังกลายเป็นหนังไดโนเสาร์ถล่มเมืองไปเสียฉิบ มองแบบนี้ Fallen Kingdom เพิ่มแค่ภูเขาไฟระเบิดมาในครึ่งแรกเท่านั้นเอง ยิ่งการที่มีดารานำจาก The Lost World อย่าง เจฟ โกลด์บลัม มารับเชิญในบทเดิม ดร.ไอแอน มัลคอล์ม อีก ยิ่งตอกย้ำภาพพงานก๊อปแบบคารวะงานเดิมเข้าไปใหญ่ คำถามคือแล้วที่เหลือมันเพียงพอให้หนังมันน่าจดจำไหม?

สรุป Jurassic World Fallen Kingdom

รีวิวหนังมาใหม่ นี่คือหนังตามสูตรสำเร็จแบบไม่อายใคร ที่จะบอกเลยว่าจะเล่าแบบนี้ ๆ ๆ แบบที่คุณ ๆ คุ้นเคยนั่นล่ะ บางฉากคุณน่าจะเดาได้ล่ะ แต่ผมไม่สนใจไง ตราบใดที่มันทำให้คุณบันเทิง คุณสนุก คุณลุ้นจิกเบาะ คุณตื่นเต้นหัวใจพองโต นี่คือหนังบันเทิงแบบนั้นล่ะ แบบที่เด็กรุ่นใหม่ไปดูต้องกรี๊ดต้องบอกต่อให้คนอื่นไปดู หนังประสบความสำเร็จดีมากครับ หนังสนุกของจริงเลยทั้งแอ็กชัน ทั้งขำแบบพอดีไม่ทำลายบรรยากาศ การแสดงที่ไม่เว่อจนผู้ชมไม่อิน เอฟเฟกต์สุดเร้าใจ ความสยองขวัญกดดัน ความซาบซึ้งตรึงใจ ดราม่า คือมีครบรสจริง

คุณภาพงานสร้างเทคนิคโน่นนี่นั่น การแสดง บลา ๆๆ ให้ 8/10 ครับ ส่วนใหญ่มาจากเทคนิคแอนิเมทรอนิกส์กับการแสดงที่ลื่นไหลฮาพอดี ๆ รวมถึงความไฉไลของหนูเมซี่ (ว่าที่นางเอกภาคต่อ ๆ ไป) ในเรื่องด้วย เพราะตัวซีจีนั้นพูดแบบไม่เกรงใจคือ การประสมรวมกันกับคนและฉากยังไม่เนียน การให้แสงโมเดลไดโนเสาร์ลอยจากฉากเยอะโดยเฉพาะช่วงภูเขาไประเบิด ดูหนัง

ส่วนที่เสียไปของหนังอีกอย่าง คือการที่หนังต้องสนุกเมามันมีความระทึกตลอดทุก ๆ หน่วยวินาที จนถึงหน่วยนาที จนต้องยอมละเลยความสมเหตุสมผลของการกระทำหลายอย่าง (บางครั้งเราด่าตัวละครว่าไอ้โง่ได้เต็มปากด้วย) ความบังเอิญ ความซวย ความโชคดี แบบไม่อิงที่มาที่ไป เพราะหนังจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับการเชื่อมความสมจริงพวกนั้นอีกแล้ว

ตรงนี้เลยพูดว่าหนังดีได้ไม่เต็มปาก เป็นหนังสนุกแต่ไม่ใช่หนังดี ยกตัวอย่างฉากหนึ่งที่มีตัวละครหนีเข้าลิฟต์ทัน เจ้าแรปเตอร์ที่ตัดใจก็หันหลังแล้วหางบังเอิญไปฟาดปุ่มเรียกลิฟต์พังจนประตูลิฟต์เปิด ถ้าเป็นหนังที่คิดมาดี แรปเตอร์อาจมองหารอบๆลิฟต์ว่าจะเข้าไปได้ไง สนใจแสงของปุ่มเรียกลิฟต์ด้วยความฉลาดของมัน คือหนังดีจะยอมเสียเวลาเพิ่ม 1 ช็อตที่อาจเติมเต็มใจไม่ให้คนดู ดูไปสงสัยไปจนไม่อิน ซึ่งไม่ใช่กับเรื่องนี้แน่ ๆ เพราะเขาเลือกความบังเอิญที่สนุกและเข้าใจง่ายสำหรับเด็กมากกว่า

อีกส่วนที่เสียดายมากคือ การที่ บาโยนา ผู้กำกับพยายามขับเน้นแง่มุมปรัชญาและดราม่าความขัดแย้งทางศีลธรรม แต่มันกลืนกลายมลายหายสิ้นไปโดยความเป็นหนังครอบครัวนั่นเอง เรารู้สึกตลอดว่าหนังมันกำลังจะไปถึงแบบตระกูล Rise of the Planet of the Apes (2011) อยู่แล้วนะ แต่มันไปไม่ได้และไม่ยอมไปเพราะพลอตวิธีการเล่ามันคือหนังเด็กนั่นล่ะ น่าเสียดายที่คำพูดคม ๆ ฉากดราม่า ๆ มันไม่ถูกนำมาใช้สมศักยภาพของมัน แต่ก็เชื่อว่าถึงมันจะเป็นหนังที่ดูจบ ๆ ไปไม่มีอะไรจดจำ แต่มันจะทำเงินมหาศาล และเป็นกระแสปากต่อปากในช่วงอายุการฉายของมันแน่ ๆ ครับ

ชื่อภาพยนตร์: Jurassic World Fallen Kingdom / จูราสสิค เวิลด์ อาณาจักรล่มสลาย
ผู้กำกับภาพยนตร์: J.A. Bayona
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Colin Trevorrow, Derek Connolly
นักแสดงนำ: Bryce Dallas Howard, Chris Pratt, Ted Levine, Jeff Goldblum, James Cromwell
ความยาว: 128 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 2.39 : 1
เรท: ไทย/ , MPAA/PG-13
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 7 มิถุนายน 2561
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Amblin Entertainment, Apaches Entertainment, Legendary Entertainment, UIP

 

รีวิว Look Up อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก

รีวิว Look Up อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก

รีวิว Look Up อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก

(อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก) ภาพยนตร์ตลกร้ายดราม่าเสียดสีไซไฟ เขียนบทและกำกับโดย อดัม แมคเคย์ ผู้กำกับจอมทำหนังเสียดสีสังคมจาก The Big Short ที่เคยได้รับเสนอเข้าชิงออสการ์ ที่คราวนี้ขอเสียดสีประเด็นโลกร้อน นำประเด็นของโลกแตก อุกกาบาตชนโลกที่ถูกบอกเล่ามาแล้วหลายครั้งอย่างจริงจัง บนจอเงินในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะได้เห็น ผ่านการรวมดาวของฮอลลีวู้ดมากฝีมือมากมาย

รีวิว Look Up อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก

รีวิว Look Up อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก

หลังจากได้ค้นพบดาวหางที่กำลังพุ่งชนโลกในอีกไมนักศึกษาปริญญาสาขาดาราศาสตร์ เคท และ ศาสตราจารย์ดาราศาสตร์ในมหาลัยมิชิแกน แมนดี้ ถูกเรียกตัวให้เข้าพบกับประธานาธิบดี ร่วมกับ ดร.โอเกอทอปในการเปิดเผยความจริงให้สาธารณะรู้ แต่กลับโดนเมินเฉยเหมือนเป็นเรื่องไม่จริงจัง พวกเขาจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันและทำลายชีวิตและการงานของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่ละพยายาม ออกเดินสาย เพื่อเปิดเผยข่าวให้ทั้งโลกกับสื่อมวลชน แต่กลับถูกมองข้ามและปฏิเสธ เวลาเริ่มนับถอยหลัง พวกเขาเริ่มถกเถียงกันว่า โลกใบนี้อาจจะสมควรแตก หรือ จะยอมปกป้องมัน แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายจะยังล้อเลียนถากถาง การออกตามหาทางแก้ไข และหยุดยั้งดาวหางจึงเริ่มขึ้น จากรัฐบาล สู่นักวิจัย จากนักข่าว สู่นักร้องดัง จากคนชั้นสูงสู่คนต่อต้านสังคม การตอบสนองที่แตกต่าง ทำให้ผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติกับดาวหางในคนละแบบ ทั้งชาญฉลาดและโง่เขลาที่อาจพลิกชะตากรรมของโลกทั้งใบได้ ด้วยภารกิจครั้งสำคัญของมนุษยชาติที่มีทุกอย่างในดาวดวงนี้เป็นเดิมพัน ดูหนัง

 

การเดินเรื่องของหนังถือว่าค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ บิ๊วประเด็นหลักให้ชัด และให้เห็นสถานการณ์ของตัวละครที่ต้องเผชิญ แต่เอาจริง ๆ มันไม่ใช่หนังตลกแบบฮาแตก มุกขำก๊าก มันคือตลกร้ายที่สะท้อนสังคมโลกในยุคโลกกำลังวุ่นวายเพราะสภาวะเรือนกระจกให้กลายเป็นภัยพิบัติที่มาแบบไม่ต้องมีคำเตือนก่อนแบบเรื่อยเปื่อย ช่วงกลาง ๆ

ค่อนข้างน่าเบื่อเพราะวนกับประเด็นเดิม ๆ ทำให้หนังแห้งแล้ง ก่อนที่หนังจะตบหน้าอย่างแรง ด้วยบทสรุปที่กล้าพูดได้เลยว่ามันน่าขัดใจแต่นั่นเป็นความตั้งใจในการเสียดสีผู้คนในเรื่องที่มันเป็นเรื่องไม่ต้องฉลาดก็น่าจะตัดสินใจในทางเลือก คือมันเสียดสีโลกแบบไม่ต้องเป็นแนวดราม่า แต่ให้เห็นตัวละครทำอะไรโง่ ๆ แล้วไม่จริงจังกับสถานการณ์โลกแตก

กลับทำอะไรที่ดูตรงข้าม (แต่ใกล้เคียงกับภาพความจริงมาก) มันอาจจะทำให้คนที่หงุดหงิด อยากปิดหนังแล้วไปทำอย่างอื่นได้เลย แถมบางประเด็นก็มาแบบดื้อ ๆ ไม่ได้สำคัญมากกับเรื่องราว บางฉากที่ไม่ต้องมีก็ได้ อาจจะเพราะการตัดต่อของเรื่องที่ค่อนข้างไม่ดึงดูดและมั่วซั่วไร้ชั้นเชิงไปหน่อยเมื่อเทียบกับคอนเซปต์เรื่องที่มันเล่นให้น่าติดตามมากกว่านี้ กลายเป็นหนังธรรมดาที่หาทางลงไม่ได้เลยว่าจะเป็นตลกร้ายหรือสอนใจคนดูถึงวิกฤติธรรมชาติ เพราะหนังน่าเบื่อมาก

หลังจากได้ค้นพบดาวหางที่กำลังพุ่งชนโลกในอีกไมนักศึกษาปริญญาสาขาดาราศาสตร์ เคท และ ศาสตราจารย์ดาราศาสตร์
ในมหาลัยมิชิแกน แมนดี้ ถูกเรียกตัวให้เข้าพบกับประธานาธิบดี ร่วมกับ ดร.โอเกอทอปในการเปิดเผยความจริงให้สาธารณะรู้
แต่กลับโดนเมินเฉยเหมือนเป็นเรื่องไม่จริงจัง พวกเขาจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน
และทำลายชีวิตและการงานของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่ละพยายาม ออกเดินสาย เพื่อเปิดเผยข่าวให้ทั้งโลกกับสื่อมวลชน
แต่กลับถูกมองข้ามและปฏิเสธ เวลาเริ่มนับถอยหลัง พวกเขาเริ่มถกเถียงกันว่า โลกใบนี้อาจจะสมควรแตก หรือ
จะยอมปกป้องมัน แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายจะยังล้อเลียนถากถาง การออกตามหาทางแก้ไข และหยุดยั้งดาวหางจึงเริ่มขึ้น
จากรัฐบาล สู่นักวิจัย จากนักข่าว สู่นักร้องดัง จากคนชั้นสูงสู่คนต่อต้านสังคม การตอบสนองที่แตกต่าง
ทำให้ผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติกับดาวหางในคนละแบบ ทั้งชาญฉลาดและโง่เขลาที่อาจพลิกชะตากรรมของโลกทั้งใบได้
ด้วยภารกิจครั้งสำคัญของมนุษยชาติที่มีทุกอย่างในดาวดวงนี้เป็นเดิมพัน

ตัวละครของเรื่องแม้จะมีมากมายแต่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่ากับตัวหลักมากกว่าที่คาดไว้ เพราะตัวหลัก ๆ จะมีแค่ มินดี้ อาจารย์ดาราศาสตร์ผู้ไร้ความมั่นใจและถูกเกลี้ยกล่อมให้ยินยอมทำตามสังคม แม้จะมีอุดมการณ์สำคัญแต่ก็ประนีประนอมก่อนเสมอ จนตัวเองใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า ตัวละครนี้ไม่ค่อยมีการสำรวจอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับ เคท นักศึกษาหญิงที่ตรงไปตรงมาไม่หวาดหวั่นแม้ใครหน้าไหน ไม่ยอมประนีประนอมจนโดนสังคมรุมรังแก จนกลายเป็นหายไปจากสังคม แม้ว่าเธอจะพูดความจริงมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยได้อะไรตอบแทน โดนแม้แต่ผู้คนกีดกันจนกระทั่งได้ปล่อยวาง ดร.โอเกอทอป นักวิทยาศาสตร์ที่คอยซัพพอร์ทแต่ก็ไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญนอกจากบอกว่าดาวหางจะชน บรี พิธีกรรายการข่าวหญิงผู้สุดเหวี่ยงและรักสนุก ประธานาธิบดีเจนี่ที่ทำตัวเอ้อระเหย ห่วงแต่ผลประโยชน์ทางทรัพย์สิน

ไม่เคยสนใจคนชนชั้นล่าง คนชั้นแรงงาน พอมีนักวิทยาศาสตร์มาเตือน ก็หัวสถาบันนิยม ต้องเป็นคนเรียนจบมหาลัยดัง ๆ มีชื่อ ถึงจะเชื่อซะงั้น (โง่มาก) จนมันสายเกินไป แถมยังร่วมมือกับปีเตอร์ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีผู้คิดว่าตัวเองชนะทุกสิ่งด้วยทรัพยากรและความร่ำรวย กอบโกยด้วยความโลภจนนำหายนะมาสู่โลก ตัวร้ายจริง ๆ จึงไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นมนุษย์ที่เอาแต่ห่วงผลประโยชน์จนนำความวุ่นวายมาสู่สังคม และไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาอะไรเลยด้วย นอกนั้นก็มาแบบรับเชิญบทแทบไม่สำคัญอะไรที่ต้องเอานักแสดงดัง ๆ มาด้วยซ้ำ เหมือนให้มาเล่นผ่าน ๆ จิกกัดสังคมโลกไปงั้น ๆ

 

หนังสะท้อนภาพของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพที่ไม่ใส่ใจปัญหาของตัวเอง นอกจากคะแนนเสียงและความนิยม ทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่ง มิหนำซ้ำยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนายทุนในการส่งเสริมให้วัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ผู้คนใช้แต่มือถือและเทคโนโลยีจนเป็นเหตุให้เกิดความเหลื่อมล้ำความไม่เท่าเทียม วงการสื่อที่มองความสัญญาณอันตรายของโลกด้วยการกลบเกลื่อนและบิดเบือนไปมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลายเป็นตัวตลก ทั้งที่พวกเขารู้เรื่องมากกว่าใคร ๆ แต่เพราะไม่มีเครดิตโด่งดังหรือร่ำรวย บุคลิกไม่น่าดูก็ถูกตีค่าว่ามีจุดประสงค์ร้ายเมื่อออกมาทักท้วง

กลายเป็นจำเลยสังคม คนในโลกให้ความสำคัญแต่กับปัญหาของตัวเอง และปิดใจไม่ยอมให้ความสำคัญกับคนรอบตัวที่หยิบยื่นให้ในยุคสังคมก้มหน้า การสร้างกระแสในหมู่คนดังที่มีความหมายในโซเชียล มากกว่าภัยธรรมชาติ หรือใช้การเมืองเป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก ทั้งที่มันเป็นสิทธิ์ในการแสดงความเห็น ความดิบเถื่อนของมนุษย์ เมื่อตัวเองเข้าตาจน พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด นิยามที่ว่า คนรวยที่โง่มักอยู่รอดเสมอ แม้ว่าคนจนที่ฉลาดจะพยายามมากแค่ไหน จะดูน่าเชื่อถือหรือโด่งดัง ก็โดนผู้นำหรือนายทุนกดทับจนกลายเป็นส่วนหนึ่ง หลงลืมตัวตน หรือแม้แต่ทอดทิ้งทุกประเทศเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แต่ก็ไม่รอบคอบเพราะความอยากได้ไม่มีสิ้นสุดที่ทำลายสังคมมนุษย์ แม้จะอ้างว่าเทคโนโลยีพัฒนาโลก แต่สุดท้ายธรรมชาติจะเอาคืนมนุษย์เสมอ

รีวิว Look Up อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก

ในส่วนการตัดต่อถือว่าไม่เร้าอารมณ์ในสถานการณ์ในเรื่องเท่าที่ควรทำให้จังหวะของเรื่องดูเอื่อยเฉื่อยเรื่อยไป แต่การแสดงของ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ที่ตีบทแตกของบทจากหนุ่มเด๋อ ๆ เด๋อ ๆ ให้กลายเป็นที่สุดของความคลั่งแทบไม่มีอะไรต้องติ ในขณะที่เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ โชว์อารมณ์ที่หลากหลายระหว่างโกรธ เศร้า เฉยชา ร้องไห้ให้ดูตลก และจังหวะการเล่นที่เข้ากับลีโอนาโด และคงเป็นส่วนยอดเยี่ยมที่สุด ในขณะที่นักแสดงคนอื่นที่เหลือ

ถือว่ามาตรฐานการแสดงและมีบทตลกและล้อเลียนประปรายจนไม่รู้สึกว่าโดดเด่นอะไร เพราะไม่ได้มีการฟาดฟันการแสดงนอกจากความตลก แต่ที่น่าเสียดายคือ อาริอาน่า กรานเดนั้นมีบทบาทที่น้อยและมาเป็นมุกตลกมากกว่าในไม่กี่ฉาก ก่อนจะมีฉากแบบเอ็มวีและโผล่มาเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ในเรื่อง ทำให้การมาของเธอไม่โดดเด่นเท่าเพลงประกอบที่จิกกัดสังคมและเพลงรักเศร้าเคล้าน้ำตา ส่วนในโปรดักชั่นถือว่ายิ่งใหญ่ไม่ไก่กาเลยสักนิด ทั้งซีจีและดนตรีประกอบยังช่วยเร้าอารมณ์ได้มากกว่าการตัดต่อและการถ่ายทำที่ตามมาตรฐานหนังเน็ตฟลิกซ์จริง ๆ

รีวิว Look Up อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก

Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์รวมดาวฮอลลีวู้ด เหมาะสำหรับคนอยากดูการแสดงของดาราคับคั่งที่คุ้นหน้าและคอนเซปต์ที่ดูมีของ ทะเยอทะยานในการล้อเลียนวันสิ้นโลก แต่ไปไม่ได้แบบที่หวัง ด้วยการเล่าเรืองที่เอื่อยเฉื่อย การตัดต่อชวนหลับ ขาดรสชาติและดูชี้นำประเด็นทางสังคมจนหลงลืมการนำเสนอตัวละครที่ชัดเจนและเต็มไปด้วยฉากที่ไม่จำเป็นกับเรื่อง จริงอยู่ที่ประเด็นของเรื่องสังคมและการรักโลกอาจพอสื่อถึงผู้ชม

ขณะที่ส่วนที่เรียกว่าเป็นจุดขายของหนังก็ไม่มีทางที่ใครจะมองไม่เห็น และไม่ว่าผู้สร้างจะหยิบยืมธรรมเนียมปฏิบัติของหนังแนวหายนะช่วงทศวรรษ 1970 (พวก เรือนรก, ตึกนรก, เที่ยวบินมฤตยู) ซึ่งมักจะอัดแน่นไว้ด้วยขบวนพาเหรดของดารามาเป็นต้นแบบหรือไม่ อย่างไร Don’t Look Up เป็นหนังที่แค่เห็นรายชื่อของนักแสดง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารก็ปั่นป่วนเสียแล้ว และไล่เลียงรายชื่อกันไม่หวาดไม่ไหว ตั้งแต่ Leonardo DiCaprio, Meryl Streep, Jennifer Lawrence, Cate Blanchett, Ariana Grande, Timothée Chalamet, Jonah Hill ฯลฯ เป็นต้น

 

กระนั้นก็ตาม บรรดาซูเปอร์สตาร์ราคาแพงในหนังของ Adam McKay ก็ไม่ได้มาเฉิดฉายในฐานะคนเด่นคนดังเพียงอย่างเดียว แต่ละคนล้วนสร้างทั้งความหรรษา ครื้นเครง และความปวดแสบปวดร้อนให้กับคาแรกเตอร์ที่พวกเขาสวมบทบาทอย่างถึงพริกถึงขิงทีเดียว

แต่พอเนื้อเรื่องมันพอดูผ่านไปและดูแห้งแล้ง ไม่น่าตื่นเต้นหรือตลกเท่าที่ควร มันจึงไม่ทำงานทางอารมณ์ นอกจากหงุดหงิดไปกับการเสียดสีที่หนังทำให้กล้าพูดเลยว่า ถ้ารัฐบาลอเมริกาเป็นแบบในเรื่องจริง โลกก็ชิบหายเพราะการบริหารที่โอ๋คนรวย มองข้ามคนจน ก็ทำให้รู้สึกภาวนาให้รัฐบาลฉลาดกว่านี้จริง ๆ ถือว่าอย่าคาดหวังอะไรมาก อย่างน้อยหนังที่สามารถแสดงให้เห็นว่า เน็ตฟลิกซ์สามารถสร้างหนังไซไฟอเมริกันฟอร์มยักษ์ที่ดีกว่าสตูดิโอฉายโรงได้เหมือนกัน แต่ยังต้องปรับปรุงต่อไปอยู่ดี ถือเป็นงานที่คนที่ชอบการเสียดสีสังคมคงโดนใจ แต่สำหรับคนทั่วไป คงไม่ใช่ทางมากนัก หนังเรื่องนี้จัดอยู่ในเรต 18 บวก ผู้ชมอายุต่ำกว่าควรได้รับคำแนะนำจากคนอายุมากกว่า รีวิวหนัง

รีวิว Amandla

รีวิว Amandla

รีวิว Amandla แนวดราม่าอาชญากรรมจากแอฟริกาใต้ เรื่องราวของสองพี่น้องที่พบกับโศกนาฎกรรมในวัยเด็กจนกำพร้าพ่อแม่ ทำให้เขาทั้งคู่เติบโตมาอย่างยากลำบาก ในฐานะที่แตกต่างกันระหว่างอาชญากรกับผู้พิทักษ์รักษากฎหมาย

ถ้ามองจากหน้าหนังกับตัวอย่างที่พยายามขายอาจจะเข้าใจผิดไปเลยว่านี่คือหนังดราม่าแก๊งอาชญากรรมเข้มข้นสุดๆ แต่ในความจริงตัวหนังกลับไม่ได้ต้องการเน้นที่ตรงนั้นเป็นหลัก ต้องบอกว่านี่คือหนังดราม่าอาชญากรรมสะเทือนใจ เน้นบีบคั้นอารมณ์กันสุดๆ มากกว่า ซึ่งเรื่องราวบีบคั้นกันตั้งแต่วัยเด็กของทั้งคู่ ที่หนังให้เวลาตรงนี้ถึงครึ่งชั่วโมงในการปูเรื่องราวชีวิตวันเด็กของตัวเอกทั้งคู่

ที่เป็นที่มาของชื่อหนังเรื่องด้วย “อะมานดลา” คือคำเปล่งเสียงที่ชาวแอฟริกาใต้ใช้ปลุกใจชุมนุมประท้วงคนผิวขาวว่า อะมานดลา พลังประชาชน แต่แล้วก็เกิดวันโศกนาฎกรรมที่คนผิวขาวจับชาวซูลูฆ่าโยนแม่น้ำนองเลือด ซึ่งในเรื่องจะมีเหตุการณ์เศร้าสลดที่มีคนผิวขาวบุกเข้ามาแล้วใช้คำว่าอะมานดลาในเชิงเหยียดกดขี่ครอบครัวของตัวเอกทั้งคู่ รวมถึงตัวละครเด็กสาวลูกของนายจ้างที่แอบชอบพอกับอิมปิแบบลับๆ เธอฝันอยากโตมาช่วยคนแอฟริกาใต้จากการกดขี่ข่มเหงของคนผิวขาวในตอนนั้น

รีวิว Amandla สรุป

ซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกรายละเอียดปีไว้ แต่มีบทสนทนาพูดถึงเนลสัน แมนเดลาว่าถูกจำคุกอยู่ ก่อนที่เรื่องราวตอนโตของทั้งคู่จะเป็นตอนที่เนลสัน แมนเดลา ออกจากคุกมาเป็นผู้นำประเทศแล้ว 3 ปี ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2537 แต่ในเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับทำเป็นแนวย้อนยุคโดยตรง เพราะประเด็นหลักที่เรื่องต้องการเล่าไม่ใช่จุดนี้ แต่เป็นการปูจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรมในวัยเด็กของสองตัวเอกพี่น้อง โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงวัยเด็กที่สำคัญกับตอนโตสอดแทรกไว้หลายอย่าง ซึ่งทำออกมาทั้งสวยงามและเศร้าไปพร้อมกัน และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กสาวผิวขาวในวัยเด็กที่ผลต่อมาถึงช่วงเวลาตอนโตของทั้งคู่อีกด้วย

Watch Amandla | Netflix Official Siteเนื้อเรื่องในช่วงวัยผู้ใหญ่ถูกไทม์สคิปข้ามมาไกลเอาตอนที่ทั้งคู่โตมากแล้ว และอิมปิกับโคซาน่ากำลังแยกทางกัน โดยพี่ชายแยกตัวออกไปเลี้ยงแฟนสาวที่กำลังตั้งท้องลูก ส่วนน้องชายพึ่งเข้าไปเป็นตำรวจ ก่อนที่เรื่องจะเบนเข็มเข้าสู่ดราม่าอาชญากรรมเมื่ออิมปิพลาดพลั้งเข้าไปทำงานให้แก๊งมาเฟียผิวดำจนกลายเป็นคดีใหญ่ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงเด็กสาวคนรักในอดีตอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้น้องชายของเขาต้องเข้ามาสืบคดีนี้และรู้ว่าพี่ชายพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย

เส้นเรื่องอาชญากรรมส่วนนี้มีส่วนระทึกอยู่พอสมควรเมื่ออิมปิพยายามหนีออกจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เขาก่อขึ้น แต่พวกแก๊งกลับไม่ยอมให้เขาไป และมาล่วงรู้ว่าน้องชายของเขาเป็นตำรวจอีก ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนไม่มีทางออกให้ตัวละครนี้เลย เป็นความกดดันจากการขาดโอกาสในต้นทุนชีวิตที่เขามอบให้น้องชายไปหมด โดยการส่งเสียให้เรียนจนมาเป็นตำรวจ

ซึ่งก็กลายมาเป็นน้องของเขาต้องมาตามล่าเขาพร้อมกับพวกแก๊งไปด้วย ช่วงนี้เป็นดราม่าบีบคั้นหัวใจมากพอดู จนทำให้แอบเศร้าเล็กๆ อินตามไปด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะการแสดงของ Lemogang Tsipa ที่ไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ เล่นหนังใหญ่มาแล้วหลายเรื่องอย่าง The Dark Tower แต่เราอาจจะไม่เคยจดจำเขาได้มาก่อน เขาแสดงออกมาได้ดีมาก ดูหนัง

เป็นคนที่จำใจทำชั่วเพื่อมอบชีวิตที่ดีกว่าให้คนอื่น อย่างน้องชาย ภรรยา ซึ่งตั้งแต่วัยเด็กก็มีหลายฉากที่ทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วอิมปิเป็นคนดีคนหนึ่งเลย และเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวตนไป แต่ลงมือก่ออาชญากรรมเพราะความจำเป็นจริงๆ  มีฉากที่บีบคั้นให้เขาต้องเล่นบทคนเลวแต่น้ำตาไหลออกมาเพราะจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของเขายังทำงานอยู่ในใจ ซึ่งการแสดงของ Lemogang Tsipa  ทำให้เรื่องราวช่วงนี้โดดเด่นขึ้นมา แม้จริงๆ แล้วกโครงเรื่องจะไม่ได้ใหม่ แล้วก็เดาเรื่องง่ายด้วยว่าจะไปในทิศทางไหน

แต่กับฉากจบของเรื่องอาจจะไม่เมคเซนส์อยู่บ้าง เพราะบทต้องการย้อนกลับไปถึงฉากเปิดเรื่องในวัยเด็ก กลายเป็นฉากจบที่ตั้งใจบีบคั้นดราม่ากันสุดๆ จนเกินไปหน่อย แต่โดยรวมก็เข้าใจที่หนังจะสื่อและจบลงแบบนี้ ถือว่าเป็นฉากจบที่ตั้งใจให้สวยงาม แต่ไม่สมเหตุผลเมื่อคิดถึงความจริงแค่นั้นครับ

Amandla REVIEW - Provocative And Authentic - Cultured Vulturesในส่วนความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งคู่ บทค่อนข้างให้น้ำหนักกับเวลาไปที่ตัวอิมปิมากกว่า ตั้งแต่ช่วงเวลาวัยเด็กที่เขามีความรักกับลูกสาวนายจ้าง ซึ่งเรื่องในวัยเด็กค่อนข้างถ่ายทอดออกมาได้ดีเลย และตอนท้ายก็ยังหยิบเอาช่วงวัยเด็กกลับมาตอกย้ำอีกครั้ง

Amandla

ส่วนในตอนโตด้วยความที่เรื่องไทม์สคิปก้าวกระโดดมาก กลายเป็นไม่เล่าช่วงที่ทั้งคู่เติบโตมาเลย ทำให้ไม่อินกับช่วงตอนโตสักเท่าไหร่ แม้ตัวนักแสดงคนน้องจะแสดงได้ดีก็ตาม รวมถึงการที่ไม่ปูเรื่องราวของเด็กสาวที่เป็นรักแรกของอิมปิไว้ด้วยว่าเติบโตมาได้อย่างไรหลังจากเหตุการณ์นั้น ทำให้เรื่องดูเล่าแบบข้ามๆ จนไม่อินในช่วงโตมาก แต่โดยรวมก็มีฉากที่กลับมาเล่าความสัมพันธ์ของพี่น้องผ่านรายละเอียดเล็กๆ ที่อาจจะไม่ทันคิดอย่างถุงผ้าที่อิมปิใช้ใส่ของมาตลอดตั้งแต่เด็ก ซึ่งตัวเรื่องใช้สื่อความหมายถึงความผูกพันของทั้งคู่ผ่านถุงใบนี้ แต่ไม่ได้บอกเล่าออกมาตรงๆ เท่านั้น

3 reasons not to miss the Netflix original film "Amandla"สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างของเรื่องคืองานภาพที่สวย แต่เป็นความสวยจากการสะท้อนภาพความแร้นแค้นยากจนของประเทศ ซึ่งผู้ชมจะเห็นได้ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องในทุ่งกว้างเลยว่าหนังเรื่องนี้มีงานภาพที่สวยงามมาก ร่วมกับดนตรีประกอบที่ค่อนข้างไพเราะลงตัวในหลายฉาก ทำให้โทนหนังดูอบอุ่นในความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง แต่กระนั้นเรื่องก็ยังเป็นอารมณ์โศกนาฎกรรมเศร้าๆ เป็นหลักมากกว่า

เรื่องนี้เสียงต้นฉบับเป็นภาษาซูลู แม้ตัวละครหลายตัวเป็นคนผิวขาวก็ถูกพากย์ด้วยภาษาซูลูทับ ถ้าฟังแล้วแปลกๆ ก็เปลี่ยนเป็นอังกฤษได้ แต่โดยส่วนตัวก็ไม่รู้สึกว่าขัดอะไรมากครับ

เป็นหนังดราม่าที่เล่าเรื่องผ่านไปเร็วโดยที่เราไม่รู้สึกเบื่อเลย (ความยาวหนัง 1 ชั่วโมง 46 นาที) อาจจะไม่ถึงกับสนุกสุดๆ เพราะเป็นแนวดราม่าบีบคั้นอารมณ์มากกว่าอาชญากรรม แต่โดยรวมนี่คือหนังที่มีองค์ประกอบหลายอย่างอยู่ในเกณฑ์ดีเรื่องหนึ่งเลย ยิ่งเป็นงานสร้างจากแอฟริกาใต้ที่ไม่ค่อยมีมาบ่อยด้วย ถือว่าเป็นความแปลกแตกต่างที่ควรทดลองรับชมกันดูเลยครับ รีวิวหนัง

ถ้ามองจากหน้าหนังกับตัวอย่างที่พยายามขายอาจจะเข้าใจผิดไปเลยว่านี่คือหนังดราม่าแก๊งอาชญากรรมเข้มข้นสุดๆ แต่ในความจริงตัวหนังกลับไม่ได้ต้องการเน้นที่ตรงนั้นเป็นหลัก ต้องบอกว่านี่คือหนังดราม่าอาชญากรรมสะเทือนใจ เน้นบีบคั้นอารมณ์กันสุดๆ มากกว่า ซึ่งเรื่องราวบีบคั้นกันตั้งแต่วัยเด็กของทั้งคู่ ที่หนังให้เวลาตรงนี้ถึงครึ่งชั่วโมงในการปูเรื่องราวชีวิตวันเด็กของตัวเอกทั้งคู่ ที่เป็นที่มาของชื่อหนังเรื่องด้วย “อะมานดลา” คือคำเปล่งเสียงที่ชาวแอฟริกาใต้ใช้ปลุกใจชุมนุมประท้วงคนผิวขาวว่า อะมานดลา พลังประชาชน แต่แล้วก็เกิดวันโศกนาฎกรรมที่คนผิวขาวจับชาวซูลูฆ่าโยนแม่น้ำนองเลือด ซึ่งในเรื่องจะมีเหตุการณ์เศร้าสลดที่มีคนผิวขาวบุกเข้ามาแล้วใช้คำว่าอะมานดลาในเชิงเหยียดกดขี่ครอบครัวของตัวเอกทั้งคู่ รวมถึงตัวละครเด็กสาวลูกของนายจ้างที่แอบชอบพอกับอิมปิแบบลับๆ เธอฝันอยากโตมาช่วยคนแอฟริกาใต้จากการกดขี่ข่มเหงของคนผิวขาวในตอนนั้น ซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกรายละเอียดปีไว้ แต่มีบทสนทนาพูดถึงเนลสัน แมนเดลาว่าถูกจำคุกอยู่ ก่อนที่เรื่องราวตอนโตของทั้งคู่จะเป็นตอนที่เนลสัน แมนเดลา ออกจากคุกมาเป็นผู้นำประเทศแล้ว 3 ปี ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2537 แต่ในเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับทำเป็นแนวย้อนยุคโดยตรง เพราะประเด็นหลักที่เรื่องต้องการเล่าไม่ใช่จุดนี้ แต่เป็นการปูจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรมในวัยเด็กของสองตัวเอกพี่น้อง โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงวัยเด็กที่สำคัญกับตอนโตสอดแทรกไว้หลายอย่าง ซึ่งทำออกมาทั้งสวยงามและเศร้าไปพร้อมกัน และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กสาวผิวขาวในวัยเด็กที่ผลต่อมาถึงช่วงเวลาตอนโตของทั้งคู่อีกด้วย

รีวิว Fishbowl Wives

รีวิว Fishbowl Wives

รีวิว Fishbowl Wives ซีรีส์ญี่ปุ่น ภรรยาตู้ปลา เมื่อผู้หญิงญี่ปุ่นที่แต่งงานแล้วก็สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตัวเองได้ ถ้าสามีมันกดขี่และบังคับใจกันนัก รวมถึงปัญหาชีวิตคู่อีกสารพัดรูปแบบ

เนื้อหาสร้างจากมังงะในชื่อเดียวกันของ Kurosawa R เป็นมังงะแนว Seinen เรต 18+ ไปจนถึงการ NTR (การถูกแย่งแฟน) ในเรื่องมีฉากโป๊เปลือยและร่วมเพศกันอยู่หลายฉากในเรื่อง เรียกง่ายๆว่านี่คือมังงะสำหรับผู้ใหญ่ที่จับกลุ่มคนอ่านเป็นผู้หญิงในวัยกลางคนเป็นหลัก ไม่ใช่มังงะที่ตั้งใจจับกลุ่มเป้าหมายเด็กและวัยรุ่น ดังนั้นเรื่องราวจึงมีความ “เรียล” มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง และไม่ได้จบแบบ Happy Ending เสมอไป

รีวิว Fishbowl Wives

ก่อนอื่นต้องบอกว่าใครที่ชอบดูเรื่องรักๆในแบบที่ต้อง Happy Ending ในแง่ของพระเอกและนางเอกที่จะต้องลงเอยกันด้วยดี สำหรับเรื่องนี้คุณจะถูกขยี้ครับ เพราะเรื่องนี้เปิดมาจะพบว่าคู่รักเกือบทุกคู่ในเรื่องได้แต่งงานไม่ก็อยู่กินกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้สมหวังด้วยดีเสมอไป เพราะไม่เช่นนั้นในโลกความจริงคงไม่มีปัญหาหย่าร้าง การคบชู้ นอกใจ การใช้ความรุนแรง และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ดูหนัง

 

Fishbowl Wives' ซีรี่ส์บอกเล่าเรื่องน้ำเน่าได้มีชั้นเชิงจนควรเอาเป็นต้นแบบในการสร้างละคร

 

เรื่องนี้เหมือนต้องการสะท้อนสภาพสังคมของญี่ปุ่นที่ผู้หญิงค่อนข้างถูกกดเอาไว้อยู่เสมอ โดยเฉพาะผู้หญิงที่แต่งงานมีสามีไปแล้ว สถานะแทบจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องกลายเป็นช้างเท้าหลังตามและช่วยหนุนผู้ชาย ถูกเรียกร้องหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการให้กำเนิดลูก การดูแลหลังบ้าน ไปจนถึงต้องยอมละทิ้งความสามารถและเส้นทางอาชีพ รีวิว netflix

Watch Fishbowl Wives | Netflix Official Siteอีกทั้งผู้หญิงหลายคนอาจเคยมีความคิดว่า ในสมัยสาวๆพวกเธออาจเคยมีความฝัน มีเส้นทางชีวิตต่างๆที่ต้องการ แต่เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องเดินตามสามี ซึ่งเป็นค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาในสังคมญี่ปุ่น นอกจากนี้ในขณะที่ฝ่ายสามีนั้นหากนอกใจภรรยาก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ในทางกลับกันภรรยาที่นอกใจสามีบ้างมักถูกประณามหยามเหยียด

ดังนั้นเรื่องนี้เลยเหมือนต้องการถามว่า “แล้วถ้ามันเป็นความผิดของสามีบ้างละ ทำไมภรรยาจะนอกใจเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิตของพวกเธอบ้างไม่ได้”

แล้วที่จริงต้องบอกว่าการนำเสนอของเรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนของสังคมและครอบครัวญี่ปุ่นในระดับที่ไม่ค่อยมีการนำเสนอเท่าไหร่ แต่ช่วงหลังเราจะเริ่มพบว่าทั้งซีรีส์และมังงะในญี่ปุ่นเริ่มนำเสนอในแง่นี้มากขึ้น คือปัญหาเรื่องการมีชู้ การใช้ความรุนแรง การนอกใจ ไปจนถึงปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคู่รักที่มากกว่าแค่ พบรักกันแล้วแต่งงานจากนั้นก็จบแบบ After Ever เหมือนในเทพนิยาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นการเอาความจริงมาตีแผ่ว่าเทพนิยายกับเรื่องจริงนั้นมันคนละเรื่องกันเลย

สำหรับภาพรวมเของเรื่องราวและบทสรุปที่ออกมา จัดว่าค่อนข้างลึกซึ้งและมีหลากหลายรูปแบบผ่านทางเหล่าคู่รักและหญิงสาวในเรื่อง บางคู่ก็อาจจะดูน่ารำคาญจนถึงขั้นน้ำเน่าไปสักหน่อย ส่วนบางคู่ก็ดูราวกับตัวละครทำให้สถานการณ์ของตนเองยากเกินไป แต่ถ้าใครที่ได้ผ่านโลก ผ่านชีวิตทั้งด้านความรัก หรือชีวิตคู่มาในระดับหนึ่ง อาจจะรู้สึกอินกับเรื่องราวที่ดำเนินไปตั้งแต่แรกจนถึงช่วงท้ายของเหล่าหญิงสาวในเรื่องนี้เอามากๆ ซึ่งก็ทำให้เราได้เห็นว่า การใช้ชีวิตคู่จะให้รอดได้ตลอดรอดฝั่ง การมีความรักอย่างเดียวมันไม่เพียงพอ มันเต็มไปด้วยปัจจัยแวดล้อมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ การเงิน ความพร้อม ไปจนถึงชีวิตรักบนเตียง

นอกจากนี้มีข้อเด่นที่ต้องขอชมสำหรับเรื่องนี้ก็คือการแคสติ้งนักแสดง ทีมงานนักแสดงเรื่องนี้ทำได้ดีเอามากๆ ผู้หญิงทุกคนที่เล่นในเรื่องนี้นอกจากจะมีหน้าตาสวย น่ารัก ยังมีเสน่ห์ในการแสดง แถมแต่ละคนเรียกว่าแสดงฉากโป๊เปลือยกันเต็มที่ เราแทบจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ในซีรีส์ผู้หญิงทั่วไป หากไม่ใช่ของ Netflix (ฉากโป๊เปลือยในระดับใกล้เคียงกับ The Naked Director เพียงแต่เรื่องนี้นำเสนอในมุมละมุนกว่าและเหมือนต้องการทำให้คนดูกลุ่มผู้หญิงมากกว่า)

ที่ต้องชมมากคือสามนักแสดงหลัก โดยเฉพาะดาราสาว เรียวโกะ ชิโนฮาระ ที่มารับบทเป็น ซากุระ นางเอกของเรื่องนี้ กับ ทาคาโนริ อิวาตะ ที่รับบทเป็น ฮารูโตะ หนุ่มร้านขายปลาทองที่มีพื้นเพจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ แต่กลับเลือกเส้นทางที่จะทำกิจการร้านค้าปลาทองมากกว่าเข้าร่วมในบริษัทใหญ่ของพ่อตนเอง ซึ่งเขาแสดงออกมาได้น่าหลงใหลสมกับบทของชายหนุ่มที่สั่นคลอนหัวใจของหญิงสาวที่แต่งงานมีสามีไปแล้ว

Fishbowl Wives (2022) - Netflix | Flixable

แต่เรื่องนี้ก็มีจุดด้อยอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นความน่าขัดใจในแง่ตรรกะตัวละครหลายคน แต่ตรงนี้พอเข้าใจได้ เพราะคู่รักหลายคนในโลกจริงมีตรรกะที่แย่กว่านี้อีก ไม่เช่นนั้นปัญหานอกใจและหย่าร้างคงไม่เกิด

สรุป Fishbowl Wives

แล้วยังมีประเด็นที่อาจจะรู้สึกขัดใจไปบ้างในช่วงท้ายด้วย เช่น การตัดกันไม่ขาดได้ง่ายๆของคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมาแล้วแม้ว่าจะมีปัญหากันจนถึงขั้นต้องหย่าร้างกันไป แต่มันก็ยังมีเรื่องของความห่วงหาอาทรและความสัมพันธ์ที่ผูกกันไว้จนยากจะตัดเยื่อใยกันได้ง่ายๆ ซึ่งการตัดสินใจในช่วงท้ายของนางเอกหลักของเรื่องนี้อย่าง ซากุระ ก็อาจจะขัดใจคนดูอย่างมาก ในขณะที่พระเอกอย่างฮารูโตะ การยอมรับการตัดสินใจช่วงท้ายเรื่องนี่โคตรจะพระเอกเลย ที่ยอมให้ซากุระกลับไปช่วยเหลือสามีเก่าที่ได้หย่ากันไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้ามองในแง่ของ “ธุรกิจ” การตัดสินใจที่จะกลับไปช่วยสามีเก่าเพื่อฟื้นฟูธุรกิจให้คืนกลับมาซึ่งธุรกิจซาลอนนั้นก็เป็นธุรกิจที่ซากุระมีส่วนสำคัญในการปั้นขึ้นมาแต่แรกด้วย ตรงนี้ส่วนตัวแล้วเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้นำเสนอบทสรุปออกมาได้เรียลและสมจริงมาก เพราะตัวละครสามารถที่จะแยกความรู้สึกรักชอบส่วนตัวออกจากการตัดสินใจในเรื่องธุรกิจและเส้นทางอาชีพของตนเอง เรียกว่าเป็นการจบเรื่องในแบบปลายเปิดสำหรับคู่หลักของเรื่องนี้ที่ “โคตรเรียล”

Fishbowl Wives เป็นเรื่องราวของหญิงที่แต่งงานแล้วที่ชื่อ “ซากุระ” เธอดูมีชีวิตที่สุขสบาย อาศัยอยู่ในคอนโดหรู มีหน้ามีตาในสังคม มีสามีที่ดี แต่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ถึงความจริงว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง

ผู้หญิงดูปลาทอง

แต่มีหญิงปริศนาในคอนโดคนนึงบอกให้เธอลองเลี้ยงสัตว์สักหนึ่งอย่าง หรือจะลองเลี้ยงปลาทองดูก็ได้ มันจะทำให้ชีวิตครอบครัวอบอุ่นขึ้น ด้วยความบังเอิญเธอมาเจอร้านปลาทองร้านหนึ่ง แล้วได้เจอกับเจ้าของร้านหน้าตาดี อบอุ่น ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน และด้วยสาเหตุการเลี้ยงปลาทองทำให้เธอถูกสามีทำร้ายร่างกาย เธอวิ่งหนีออกมาในคืนที่ฝนตกหนัก  แล้วก็ได้คุณเจ้าของร้านปลาทองช่วยเธอไว้ ทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ที่เลยเถิดหรือไม่  และเรื่องราวของคู่อื่นจะเป็นอย่างไร ต้องไปลองดูนะคะคุณชีส หนูขอเล่าเรื่องแรกเริ่มไว้เพียงเท่านี้น้า

รีวิวจากความคิดของหนู ถ้าไม่ตรงใจใครต้องขอโทษด้วยนะคะ

“Fishbowl Wives”

นักแสดงนำ: Ryoko Shinohara, Takanori Iwata, Masanobu Ando

กำกับ/เขียนบท : Michiko Namiki, Hiroaki Matsuyama/Kurosawa R (manga), Fumi Tsubota, Miyako, Tomomi Matoba

Advertisement

มีทั้งหมด 8 ตอน

ดูได้ที่แอพ Netflix

เริ่มแรกเลยที่หนูตัดสินใจดูเรื่องนี้เพราะเจ้าของร้านปลาทองเลยค่ะฮ่าๆ  เพราะเขาเป็นเมนของหนู ใช่ค่ะเขาเป็นศิลปินเป็นนักเต้นในวง J Soul Brothers หรือ JSB3 ซึ่งยังเป็นคำถามในใจอยู่ทุกวันนี้ว่าทำไมวงนี้ถึงมีนักร้องสองคน สมาชิกมี 7 คนนะคะ โดยตัวของคุณIwata เองก็มีผลงานเพลงเมื่อเดือนกันยาปีที่แล้ว ที่ออกมาทั้งหมด 3 เพลง ใครอยากรู้จักเพิ่มเติมไปหาฟังหาดูกันได้ที่ Youtube เลยน้า  มาเข้าเรื่องซีรีส์กันต่อค่ะ เดี๋ยวหนูจะป้ายยาเยอะเกินไปแฮร่  แต่ก็แอบทำใจนานอยู่นะคะ กว่าจะตัดสินใจดูได้ เพราะมีฉากแบบนั้น ใจบ่ดีจริงๆค่ะแง

ซีรีส์จะมีโครงเรื่องหลักอยู่ที่คู่ของ ซากูระ (รับบทโดย ชิโนฮาระ เรียวโกะ) ที่แต่งงานกับ ทาคูยะ (รับบทโดย อันโด มาซาโนบุ) ที่หลังจากซากูระต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจจากความไม่พออิ่มในกามของทาคูยะ ซากูระก็เริ่มเบนตัวเองไปมีสัมพันธ์กับ ฮารุโตะ (รับบทโดย อิวาตะ ทาคาโนริ) เจ้าของร้านปลาทองที่เคยมีความหลังบางอย่างกับ ซากูระ ที่ทำให้เขาตกหลุมรักเธอมานานกว่าที่เคย แต่ข่าวคาวความสัมพันธ์ของเมียก็ทำให้ ทาคูยะ ไม่อาจนิ่งเฉยจนทำให้ซากูระและฮารุโตะต้องต่อสู้ทั้งภัยคุกคามจากทาคูยะและเสียงวิจารณ์จากสังคม

มาเริ่มกันที่เนื้อเรื่องกันเลยนะคะ ด้วยความที่เรื่องนี้สร้างมาจากมังงะ แล้วหนูไม่เคยอ่านก็อาจจะพูดถึงเนื้อเรื่องแต่เพียงในซีรีส์เท่านั้นนะคะ  เนื้อเรื่องจะเน้นไปที่ปัญหาครอบครัวเป็นหลักเลยค่ะ ทั้งเรื่องบนเตียง เรื่องมีชู้ การนอกใจ การดูแลเอาใจใส่  การรับฟังปัญหาของกันและกัน  เราจะได้เรียนรู้ผ่านตัวละครแต่ละคู่ว่าจะมีวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้นยังไง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกที่ควรถ้าพูดถึงตามจริยธรรม จึงทำให้เนื้อเรื่องมีเนื้อหาที่ค่อนข้างตรึงเครียดอยู่ค่ะ สิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้คือ ในท้ายที่สุดจุดจบของแต่ละคู่จะเป็นยังไง

สิ่งที่หนูชอบในซีรีส์คือการใส่ตัวละครลึกลับในคอนโดที่เป็นหมอดู ที่เธอมักจะพูดอะไรลอยๆ สำหรับในความคิดของหนู เธอเปรียบเสมือนกิเลสในใจของเราเลยค่ะ  เหมือนมาพูดอะไรเข้าหูหน่อยก็จะอยากทำแบบนั้นทันที ต้องไปดูนะคะว่าป้าคนนี้เขาสุดปังแค่ไหนฮ่าๆ และก็ชอบที่ใส่สัญลักษณ์ของเรื่องเป็นน้องปลาทองมากๆค่ะ สื่อภาพเข้ากับชีวิตของคุณซากุระได้ดีเลยทีเดียว แล้วปลาทองก็ทำให้คู่นึงเขากลับมาเจอกันด้วยนะคะ

คู่ที่หนูชอบมากที่สุดคงเป็นคู่ที่วิ่งด้วยกัน คู่นี้ในท้ายที่สุดคือน่ารักมากกกกก เป็นคู่ที่หนูรู้สึกว่าดีมากๆในทุกๆคู่ของเรื่องนี้เลยค่ะ

มากันที่นักแสดง ด้วยความที่หนูไม่ใช่สายซีรีส์ญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ หนูเลยรู้จักนักแสดงน้อยมากกกก ส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ในค่ายLDH ค่ะ เรื่องนี้ก็รู้จักแต่เมนของหนูคนเดียวเลย แต่เคยได้อ่านมาว่าตัวเอกที่เล่นเป็น คุณซากุระ เธอถนัดแนวนี้อยู่แล้ว หนูก็ว่าจริงค่ะ เธอถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ หน้าที่ดูอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาและน่าสงสารมากๆ  ตัวละครท่านอื่นๆก็เล่นได้สมบทบาท ถ่ายทอดปัญหาของคู่รักได้ดีเลยค่ะ  ส่วนนักแสดงสุดน่ารักที่สุดในเรื่องต้องยกให้น้องปลาทองทั้งหลายค่ะ

ในองค์ประกอบด้านอื่นๆ หนูชอบmood & tone  การเกรดสีของซีรีส์เรื่องนี้นะคะ แต่ก็อยากตีมือช่างไฟมากๆ ทำไมหน้าเมนหนูมืดบ่อยมากฮ่าๆๆ หรือเขาจะสื่อถึงอะไร แต่บางทีหนูก็อยากเห็นสีหน้า การสื่ออารมณ์แบบชัดๆ ก็แอบขัดใจเล็กน้อยค่ะแง ไม่รู้ว่ามีคนคิดเหมือนหนูไหมนะฮ่าๆ

หนูขอสรุปนะคะ ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวปัญหาครอบครัวเลยค่ะ มีฉากกุ๊กๆกิ๊กๆ ห้ามเปิดดูบนจอทีวีเด็ดขาดนะคะ แต่ถ้าอยู่คนเดียวได้ค่ะฮ่าๆ หนูขอเตือนเลยน้า เรื่องนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ถ้าคุณชีสท่านไหนที่อ่านรีวิวของหนูแล้วอยากดู ต้องไปลองนะคะ แล้วมาพูดคุยกันได้ค่ะ

สนุกครับ และดีด้วย เพียงแต่เรื่องนี้นำเสนอค่อนข้างเรียล ในแง่ชีวิตคู่จริงๆ ไม่ได้เหมือนกับโลกนิยายที่ต้องสวยงามไปหมด หลายคนอาจจะขัดใจไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดูจบแล้วก็ชวนให้คิดต่อ ไม่ได้จบแล้วก็จบกันไป