รีวิว The King’s Man
รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับผม วันนี้จะมารีวิวหนังไตรภาคของ คิง แมน ย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากที่ผู้กำกับอย่าง ‘แมทธิว วอห์น’ (Matthew Vaughn) ได้พาเราไปรู้จัก ‘คิงส์แมน’ (Kingsman) หน่วยสืบราชการลับสุภาพบุรุษสุดเนี้ยบที่ไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด ๆ มีสำนักงานที่แอบซ่อนไว้ภายใต้ร้านตัดสูท ณ ถนนซาวิลล์ โรว์ (Savile Row) ประเทศอังกฤษมาแล้วถึง 2 ภาค ทั้ง ‘Kingsman: The Secret Service’ (2015) ที่เน้นความหล่อเท่ และ ‘Kingsman: The Golden Circle’ (2017) ที่แหวกแนวและเปี่ยมลูกบ้า
แต่คราวนี้ สุภาพบุรุษคิงส์แมนกลับมาอีกครั้งใน ‘The King’s Man’ หรือ ‘กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน’ ที่ไม่ได้นับเป็นหนังภาค 3 แต่เป็นภาพยนตร์ Prequel (หรือเรียกว่าเป็น Spin off หรือหนังภาคขยายก็ได้ เพราะว่าเนื้อหาไม่ได้ต่อจากสองภาคที่แล้ว) ที่จะพาย้อนกลับไปยังยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ค้นหาที่มาที่มาที่ไปของหน่วยคิงส์แมนที่มีต้นกำเนิดยาวนานนับร้อยปี เมื่อโลกต้องพบกับเหล่ามหาวายร้ายที่หมายจะล้างบางเหล่ามวลมนุษย์ บุรุษคนหนึ่ง พร้อมลูกชายของเขา และเหล่าสหาย จึงจะต้องร่วมมือกันปกป้องโลกให้ทันเวลาอย่างมีสไตล์ เว็บดูหนัง
รีวิว The King’s Man
รีวิวหนังมาใหม่ ตัวหนังเล่าย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดยุก ‘อ็อกฟอร์ด’ ได้สูญเสียภรรยาไปอย่างกะทันหันในระหว่างภารกิจส่งสเบียงให้กับทหาร เขาให้คำสัญญากับภรรยาว่าจะปกป้องลูกชายคนเดียวอย่าง ‘คอนราด’ (Harris Dickinson) ผู้มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นทหารไม่ให้เข้าร่วมรบ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุลอบสังหารจักรพรรดิแห่งออสเตรีย กลายเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นแผนของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ที่คอยชักใยการเมืองของประเทศ
ร่วมสงครามอยู่เบื้องหลัง ดยุกอ็อกฟอร์ดจึงได้เผย “เครือข่ายคนรับใช้” ที่คอยสอดแนมหาข่าวกรองทั่วทุกมุมโลก ที่มีแม่บ้านอย่าง ‘พอลลี’ (Gemma Arterton) และ ‘โชลา’ (Djimon Hounsou) สารถีรถม้าเป็นสมาชิกลับ ๆ ให้คอนราดได้รับรู้ ซึ่งเครือข่ายนี้นี่แหละคือต้นกำเนิดที่จะกลายไปเป็นหน่วย Kingsman ในเวลาต่อมา
แม้ว่าจะเป็นหนังที่เป็นภาคต่อจาก Kingsman ทั้งสองภาค แต่ก็ต้องขอเบรกเอี๊ยดก่อนนะครับ ถ้าหากว่าอยากจะไปดูแอ็กชันมัน ๆ ล้ำ ๆ เปี่ยมลูกบ้า หรืออยากไปดูความทันสมัยเท่เนี้ยบเฉียบคมในแบบสองภาคก่อนหน้านี้ เพราะว่าตัวหนังเรื่องนี้เป็นหนัง Prequel ที่พาย้อนไปหาตำนานต้นกำเนิดของหน่วยข่าวกรองคิงส์แมนแบบจริง ๆ จัง ๆ โปรดักชันดีไซน์โดยรวมก็เลยพาย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 แบบชัดเจนซะจนแทบไม่หลงเหลือภาพของหนังแอ็กชันล้ำ ๆ และพล็อตเปี่ยมลูกบ้าเหมือนอย่างสองภาคก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่แทนที่ด้วยการเล่าเรื่องแบบหนังแอ็กชันที่ผสมรายละเอียดเกี่ยวกับการเมือง สงคราม และนำเสนอผ่านเรื่องราวของสายลับอังกฤษสมัยโบราณขนานแท้
สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างชัดเจนของหนังเรื่องนี้ก็คือการหยิบเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกมาตีความใหม่และดัดแปลงได้อย่างโดดเด่นและกลมกลืนมาก ๆ ครับ นอกจากว่าจะหยิบเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริง รวมทั้งการใส่บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เช่นจักรพรรดิ กษัตริย์ ประธานาธิบดี รวมถึง ‘รัสปูติน’ (Rhys Ifans) ผู้อื้อฉาว หรือแม้แต่ดยุกอ็อกฟอร์ดเองก็ได้แรงบันดาลใจจาก ‘ทีอี ลอว์เรนซ์’ (T. E. Lawrence) สายลับอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีตัวตนอยู่จริง
รวมทั้งการดัดแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่นการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียด้วย แม้ว่าตัวหนังจะเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์เอาไว้แบบหลวม ๆ แต่ก็ไม่ใช่แค่การเล่าประวัติศาสตร์ที่เอามาจับคู่กับตำนานสายลับคิงส์แมนที่เป็นเรื่องแต่ง ก่อนที่จะค่อย ๆ เฉลยที่มาที่ไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยคิงส์แมน (ที่คนดูภาคก่อน ๆ แล้วน่าจะเก็ต) เพียงเท่านั้น ดูหนัง
แต่ตัวหนังยังผสมผสาน และ แอบบิดประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการเพิ่มพล็อตให้ตัวแทนประเทศต่าง ๆ ถูกควบคุม และ ยุแยงให้ทำสงครามกันอย่างลับ ๆ โดย “คนเลี้ยงแกะ” ได้อย่างแนบเนียนกลมกลืน ชนิดที่ดูแล้วเชื่อว่าสายลับคิงส์แมนอาจจะมีอยู่จริง และ ที่เกิดสงครามโลกก็อาจจะเป็นเพราะผู้ชายเพียงคนเดียวก็ได้นะครับ (555) เรียกได้ว่าตัวหนังในครึ่งแรกนี่คือมีความเป็นโทนหนังการเมืองแบบซีเรียส ๆ อยู่พอสมควร คอประวัติศาสตร์สงครามโลกที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอึ้ง และ ชื่นชอบได้ไม่ยาก
บทสรุป The King’s Man
รีวิวหนังมาใหม่ แม้ว่าตัวหนังเองจะไม่ได้สานต่อจากสองภาคก่อนหน้า แต่ก็ต้องชื่นชมว่าตัวหนังเองยังคงดีเอ็นเอของหนังฉบับคิงส์แมนเอาไว้นะครับ ทั้งอารมณ์ขันที่คราวนี้ตัวหนังแฝงอารมณ์ขันสไตล์ผู้ดีอังกฤษเอาไว้แบบให้ได้พอยิ้ม ๆ และ ฉากแอ็กชัน ที่แม้ว่าในภาคนี้จะไม่ได้มีเยอะ ใส่ลูกบ้าแพรวพราว ความเนี้ยบหล่อเท่ และ ถล่มเครื่องมือไฮเทคแบบจัดเต็มเหมือนกับสองภาคหลัก แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแอ็กชันแบบโบราณ เช่นฟันดาบ การใช้มีด หรือสู้มือเปล่าเข้ามาแทน
แต่ถึงกระนั้น ตัวฉากแอ็กชันก็ยังแอบสอดแทรกความหวือหวา เช่น มุมกล้องแปลกแหวกแนว ใส่การเต้นลีลาศระหว่างต่อสู้ หรือใส่ฉากสังหารแบบโหด ๆ เข้ามาให้ได้ตื่นเต้น หรือเพลงประกอบที่ฉีกจากภาพอย่างที่หนัง Kingsman ทำในทุก ๆ ภาคก็ยังคงมีอยู่ ส่วนฉากต่อสู้ในสนามรบก็ทำได้ออกมาตึงเครียดในระดับเดียวกับหนังสงครามเพียว ๆ เลย รวมทั้งยังมีจุดพีกหักมุมให้ได้เซอร์ไพรส์ได้ตลอด (แม้ว่าจะมีบางซีนที่ยังมีความหลุด ดูโม้ ๆ การ์ตูน ๆ อยู่บ้างก็เถอะนะ (555)
ส่วนถ้าจะมีข้อสังเกต ก็มีอยู่สองจุดใหญ่ ๆ ครับ นั่นก็คือการให้รายละเอียดเกี่ยวกับแก๊งตัวร้าย ทั้งสมาชิก และ คนเลี้ยงแกะ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่สุดนั้นผู้เขียนมองว่า ตัวหนังยังไม่ได้ให้รายละเอียดกับฝั่งตัวร้ายสักเท่าไหร่ เป็นการเล่าแบบบาง ๆ แค่ว่าเป็นการประชุมกันระหว่างตัวแทนชาติต่าง ๆ ที่จะคอยไปเสี้ยมชักใยชาติของตัวเองให้ทำตามความต้องการของคนเลี้ยงแกะเพียงเท่านั้น จนทำให้ในบางครั้ง ตัวร้ายเองก็ดูไม่ค่อยจะน่ากลัวสักเท่าไหร่
และ ที่สำคัญคือ การเผยโฉมที่แท้จริงของคนเลี้ยงแกะ ที่อุตส่าห์ปิดบังเอาไว้ตลอดทั้งเรื่องว่าเป็นใคร สำหรับผู้เขียนคิดว่ายังไม่ว้าวเท่าที่ควรครับ และ อีกจุดก็คือ ด้วยความที่ตัวหนังทั้งเรื่องนั้นให้เวลากับการปูที่มาของคิงส์แมนอย่างเต็มที่ โดยมีแกนของประวัติศาสตร์โลกมาขับเคลื่อนเรื่องราว ถ้าใครที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอินได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจปูมหลังประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็อาจจะรู้สึกว่าตัวหนังแอบเนือย ๆ ไปนิด กว่าจะเดินเรื่องมาถึงจุดที่ดยุกอ็อกซ์ฟอร์ดได้ก่อตั้งหน่วยคิงส์แมนขึ้นมาแล้ว ก็ถือว่าใช้เวลานานเกือบทั้งเรื่องอยู่เหมือนกัน
สรุปโดยรวม จริง ๆ กระแสคนดูในต่างประเทศสำหรับภาคนี้ค่อนไปทางลบนะครับ เรียกว่าแทบจะซ้ำรอยกับภาค 2 หรือภาค The Golden Circle เลยแหละ แต่สิ่งที่ผู้เขียนเองอยากจะบอกหลังจากดูก็คือ สำหรับภาคนี้ส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่าเกินคาดครับ และ ชอบมากกว่าภาค 2 ด้วยซ้ำ สำหรับแฟน ๆ สายลับคิงส์แมน หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการเติมเต็มจักรวาลสายลับ Kingsman ที่น่าจะสมกับการรอคอยหลังจากเลื่อนฉายมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ
เพราะตัวหนังเองก็เต็มไปด้วย Easter Egg และ ที่มาของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหน่วยคิงส์แมนเอาไว้ได้แบบแทบจะครบถ้วน (เพียงแต่ว่าต้องให้หนังปูเรื่องนานหน่อย) และ สำหรับคอประวัติศาสตร์ หนังเรื่องนี้ก็น่าจะถูกใจในแง่ของการหยิบเอาประวัติศาสตร์มาบิดใหม่ให้น่าสนใจขึ้น จนเรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นสปินออฟที่ต่อยอดไปสู่จักรวาลหนังสายลับ Kingsman ได้อย่างน่าสนใจ และ น่าไปดูซ้ำเก็บรายละเอียดอยู่เหมือนกันครับ เว็บหนัง
จุดเด่น
- เติมมุมมองของหนังสายลับในแบบฉบับของ Kingsman ได้น่าสนใจโดยไม่ต้องอ้างอิงชื่อเสียงจากภาคหลักมากนัก
- ดัดแปลง และ ยั่วล้อเกร็ดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้น่าสนใจดี คอประวัติศาสตร์น่าจะชอบ
- พาร์ตแอ็กชันยังทำได้ดี ไม่ได้เน้นความไฮเทค และ เทคนิคแพรวพราวจัดจ้าน แต่เน้นลูกเล่นหวือหวา และ มุมกล้องแปลกใหม่
จุดสังเกต
- ปูเรื่องสู่การกำเนิดคิงส์แมนค่อนข้างนาน คนไม่ชอบประวัติศาสตร์อาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ
- ตัวหนังยังเล่าแบ็กกราวนด์ และ เล่าเรื่องฝั่งตัวร้ายได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
- การเผยโฉมตัวร้าย “ตัวจริง” ยังไม่ค่อยว้าวเท่าที่