รีวิว Doctor Strange 2

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ วันนี้แอดจะมารีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่พึ่งออกโรงได้ไม่นาน อย่าง Dr Strange and the Multiverse of Madness หรือ จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย และชื่อยาวภาคใหม่ในจักรวาลมาร์เวลหรือเรียกสั้นๆ ว่า Dr Strange 2 ภาพยนตร์เรื่องยาวเข้าโรงฉายไปเมื่อวันที่ 4 ที่ผ่านมา ‘อย่าทำให้แม่โกรธโลกมันจะวุ่นวาย’ ก็คงจะต้องเป็น Dr strange ภาค 2 เพราะเส้นเรื่องหลักนั้นเกี่ยวพันต่อเนื่อง

จากชีวิตของวันด้าในซีรีส์เรื่อง Wanda-Vision ด้วยเรื่องราวของ วันด้า (รับบทโดย อลิซาเบท โอลเซ่น) ผู้ต้องการชีวิตครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีเธอและลูกชายทั้งสองของเธอกลับคืนมาเธอจึงพยายามจะชิงตัว ‘อเมริกา ชาเวซ (รับบทโดย โซชิตล์ โกเมซ) ผู้มีความสามารถข้ามมัลติเวิร์สได้ เพื่อจะไปมีชีวิตอยู่กับลูกชาย จน ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ (รับบทโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) ผู้กำลังช้ำรักจากการที่ คริสติน พาล์มเมอร์ (รับบทโดย เรเชล แม็คอดัมส์) ไปแต่งงานกับผู้ชายอื่น ต้องมาปกป้องเธอละโลกมัลติเวอร์สไว้ นอกจากนี้ยังมีการปูเรื่องมัลติเวอร์สและความรักที่ลึกซึ้งกว่าที่เราได้เห็นในภาคแรกของคริสตินและหมอแปลกในแอนิเมชั่นซีรีส์เรื่อง What if…? อีก เว็บดูหนัง

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องราวทุกอย่างถูกเล่าอย่างฉับไว อัดแน่นไปด้วยภารกิจที่ตัวละครต้องทำ ทำให้เรื่องอัดแน่นไปด้วยความสนุกและความสยองจากลายเซ็นของผู้กำกับ แซม ไรมี่ ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องน้ีมีกลิ่นอายที่ต่างไปจากเรื่องอื่น ๆ อย่างชัดเจน และความเป็นเขาก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงตอนจบ ด้วยองค์ประกอบที่มีทั้งฉากไล่ล่าพร้อมจังหวะตุ้งแช่ให้ตกใจเล่นบ้าง เห็นการตายจะ ๆ เท่าที่ภาพยนตร์เรต PG-13 จะไปได้ถึง หรือมีความเป็นหนังซอมบี้แถมพกด้วยฉากสลองขวัญ

รีวิว Doctor Strange 2

ที่ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ จอมขมังเวทย์แบบไทย ๆ อยู่เหมือนกัน กับการใช้คำภีร์ดาร์กฮอล์ต ที่มีทั้งสิงร่าง เอาเทียนล้อม อุปกรณ์สกัดมารต่าง ๆ ในเรื่อง พร้อมกับฉากแอ็คชั่นที่ออกแบบมาอย่างอลังการโดยมีฉากที่น่าประทับใจเป็นพิเศษอยู่สองฉากคือ ฉากการทะลุมัลติเวอร์สของอเมริกาและเสตรนจ์ และฉากต่อสู้ด้วยโน้ตดนตรีที่ดึงให้อันเดอร์สกอร์ข้างหลัง (ที่ให้อารมณ์คลาสสิกสไตล์แฟรงเกนสไตน์) ดูโดดเด่นขึ้นมาและสอดประสานไปกับฉากการต่อสู้ได้อย่างลงตัวรวม ๆ แล้วเรื่องก็เป็นไปตามสูตรและมาตราฐานของมาร์เวล มีมุขให้ขำมุมปากบ้างตามเรื่องแต่ก็ยังนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีโทนเรื่องหนักกว่าบางเรื่องอยู่พอสมควร ด้วยส่วนที่เป็นดราม่าที่ถูกเล่าในเวลาที่จำกัดและด้วยความที่ตัวละครมีภารกิจมากมายให้ทำ

ถ้านี่นี้เป็นภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องแรกของคุณ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้เส้นเรื่องของ Dr Strage 2 นั้นไม่ได้ตามยากอะไร แต่เหตุผลของตัวละครจะดูเบาบางไปถนัดใจถ้าไม่ได้ดูซีรีส์ที่กล่าวมาข้างต้น และนอกจากนี้ก็ยังไม่เหลือเวลาให้ผู้ชมได้ผูกพัน กับตัวละครใหม่อื่น ๆ มากนักถึงแม้เรื่องจะมีจุดอ่อนเรื่องการปูอดีตให้คนดูเข้าใจตัวละครได้อย่างเต็มที่ในเวลาที่จำกัดอยู่บ้าง แต่ถ้าใครที่เคยดู Wanda-Vision มาก็จะได้เห็นพัฒนาการที่เจ็บปวดแต่งดงามของตัวละครอย่างชัดเจนผ่านทางการแสดงอันทรงพลังของ อลิซาเบธ โอลเซ่น ที่ค่อย ๆ กลายร่างจากหญิงสาวที่โชคชะตาพรากคนรักและครอบครัวไป จนมุ่งมั่นอยู่แค่เพียงต้องการให้ทุกอย่างกับมาสมบูรณ์ตามเดิมจนเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

รีวิว Doctor Strange 2

ชูประเด็นที่ลึกซึ้งอย่างการพยายามไล่ตามภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงจนไม่สามารถก้าวต่อไปในชีวิตมัลติเวิร์สในเรื่องนี้จึงเปรียบได้กับความเป็นไปได้ของชีวิตที่มีอยู่นับร้อยนับพัน หากทางเลือก ปัจจัยแวดล้อม หรืออะไรต่าง ๆ ในชีวิตนั้นแตกต่างไป สะท้อนผ่านการที่ตัวละครสามารถเห็นมันในความฝัน แต่มันสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้หากข้ามไปได้ถึงตรงนั้น แต่ถ้าเราติดอยู่กับแค่ความเป็นไปได้ โดยที่ปฏิเสธที่จะหันมามองสิ่งที่เป็นอยู่จริง ๆ อย่างที่วันด้าเป็นชีวิตก็จะมีแต่ความทุกข์นอกจากนี้อ้างอิงจากการที่ภาพครอบครัวแสนสุขของวันด้ามากจากซีรีส์ที่เธอดู และการที่เธอพูดว่าทุกคนมีความสุขกับครอบครัวนอกจากเธออาจจะเป็นการอ้างอิงเล็ก ๆ ถึงชีวิตทุกวันนี้ที่เรามองเห็นชีวิตของผู้คนอีกมากมาย

และเปรียบเทียบมันกับตัวเองจนเกิดเป็นความทุกช์ใจสองประเด็นนี้เน้นย้ำให้เห็นหัวใจหลักของเรื่องท่ีเหมือนกับต้องการจะสื่อว่า การยอมรับความเป็นจริงของชีวิตนั่นคือตอนจบที่แสนสุขที่สุดแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนมาในรูปของความรักราวกับจะสื่อสารกับเหล่าผู้ปกครองที่พาเด็ก ๆ มาชมภาพยนตร์ ว่าหลายครั้งการทำทุกอย่างที่บอกว่าจะทำเพื่อลูก เพื่อควาเป็นครอบครัว เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครได้รับผลกระทบนั้นหลายครั้งเป็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนอยู่

และบางครั้งอาจบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ดูหนัง

สรุป Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ นอกจากนี้ยังมีการแสดงที่ดีงามตามมาตราฐานของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ ซึ่งช่วยเป็นสะพานเชื่อมช่องว่างของการเล่าเรื่องที่ไม่ได้อธิบายที่มาที่ไปของบางอย่างได้ละเอียดนัก

รีวิว Doctor Strange 2

(ถึงแม้จะมีจุดอ่อนเรื่องการเคลื่อนไหวแบบซอมบี้ที่ดูเขาจะไม่ค่อยสันทัดเท่าไรนัก)  การเล่าเรื่องเร็วและภารกิจมากมายของตัวละครจึงเป็นเหมือนดาบสองคมที่ทำให้สนุก แต่ก็ทำให้เส้นเรื่องที่เน้นดราม่าของตัวละครนั้นขยุกขยักไปบ้าง ยังไม่นับรวมฉากที่รายละเอียดน้อย ๆ เอาใจแฟนคลับมาร์เวลอย่างแขกรับเชิญอื่น ๆ ที่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนตัวยงประมาณหนึ่งบางทีก็อาจจะจำตัวละครที่มารับเชิญบางตัวไม่ได้ด้วย แต่ถ้าใครเป็นแฟนมาร์เวลก็คงจะได้กรี๊ดกร๊าดอยู่หลายฉากกับเซอร์ไพร์สที่ซ่อนไว้

การแสดง

มาต่อที่ด้านของการแสดง ทุกคนทำออกมาได้ดี แสดงดีกันทุกคนจริงๆ สำหรับป๋าเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก เรารู้กันอยู่แล้ว เขาแสดงได้ดูเป็น ดร.สเตรนจ์ จริงๆ แสดงดีเหมือนทุกเรื่องที่เขารับบทนี้มา
ต่อมาขอพูดถึงนักแสดงหน้าใหม่อย่าง โซชิตล์ โกเมซ ที่มารับบทเป็น อเมริกาชาเวซ แม้ว่าจะเป็นบทสมทบแต่น้องทำได้ดีมากจริงๆ น้องเขาดูมีเสน่ห์บางอย่างที่มันดึงดูดผู้ชม และผมเห็นหลายๆคนก็ชอบน้องกัน ซึ่งผมก็เช่นกัน น้องน่ารักจริงๆ แสดงดีและเหมาะกับบทบาทมาก ทีมแคสต์เลือกนักแสดงมาดีจริงๆ อันนี้ต้องชม

ต่อมาคนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ อลิซาเบธ โอลเซ่น ผู้รับบทเป็นวานด้า ซึ่งเราก็เคยเห็นเธอในบทนี้มานานแล้ว เพราะเธออยู่ในภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของ MCU หลายเรื่อง และยังมีซีรีส์ของตัวเองอีก แต่ในภาคนี้มันต่างออกไป เพราะเรื่องนี้เธอเป็นศัตรูของ ดร.สเตรนจ์ ซึ่ง อลิซาเบธ โอลเซ่น แสดงได้ดีมาก สมบทบาท แถมภาคนี้เธอยังโดดเด่นมากๆ บทเธอเด่นพอสมควรเลย ทำให้เธอได้โชว์ของเต็มที่ ทั้งในฐานะศัตรูตัวฉกาจ และในฐานะแม่ที่เสียลูกๆไป ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็แสดงได้ดีตามมาตรฐานของ Marvel

งานภาพและการโปรดักชั่น

ในส่วนงานภาพนี้คือ แจ่มและสวยจริงๆ ส่วนตัวผมชอบงานภาพภาคนี้มากกว่าภาคแรกนะ ผมว่าดีกว่าเยอะเลย งานภาพภาคแรกก็ดีและ แต่การออกแบบมันไม่ได้เจ๋งเท่าภาคนี้ ภาคนี้มันดูมีสีสัน มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ส่วนตัวชอบฉากตอน ดร.สเตรนจ์ กับอเมริกาชาเวซข้ามจักรวาลด้วยกัน ฉากนั้นเจ๋งมากจริงๆ และก็ฉากที่หนีวานด้าแต่ละฉากก็แจ่มมากๆ ส่วนนอกจากฉากนี้แล้ว ฉากอื่นๆก็มีการออกแบบฉากมาอย่างดี มุมกล้องที่ใช้ ทุกอย่างลงตัวหมด พอมาเจอกับ CGI ที่เนียนตา และโทนสีต่างๆที่เลือกมาก็เหมาะกับบรรยากาศในภาพยนตร์ ทุกอย่างจึงออกมาดีมาก แต่ก็ยังไม่ได้ดีที่สุดนะ ยังไปได้อีก แต่เท่านี้คือดีมากแล้ว ต่อมาด้านงานโปรดักชั่น ทุกอย่างดีมากเช่นกัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม การตัดต่อ การลำดับเสียง รวมถึงเพลงประกอบต่างๆ ทุกอย่างดีหมดแล้ว ไร้ที่ติ

ตัวละครที่ชอบ

ส่วนตัวชอบ 3 ตัวละครหลัก แต่ถ้าให้เรียงลำดับก็ชอบตัวละครวานด้า มากที่สุด ต้องยอมรับว่าเธอโดดเด่นจริงๆ เกือบจะเด่นกว่า ดร.สเตรนจ์ ด้วยซ้ำ และบทของตัวละครก็ดีเลย เพราะมีการปูตัวละครนี้มาในภาพยนตร์หลายเรื่อง แถมในซีรีส์อีก ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร และรู้ว่าที่เธอทำไปเพราะเสียใจอย่างหนักจนแยกผิดถูกไม่ออก

รองมาก็เป็นตัวละคร ดร.สเตรนจ์ ป๋าเบเนดิกต์แสดงดีจริงๆ ส่วนตัวผมชอบลักษณะนิสัยของตัวละครนี้มากอยู่แล้ว และบทในภาคนี้หมอก็น่าสงสารเหมือนกัน เป็นฮีโร่ที่เก่งแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ทุกคนนับถือและยกย่อง แต่แท้จริงแล้วก็มีปมในใจ และปัญหาของตัวเองที่แก้ไม่เคยได้ ซึ่งเหตุการณ์ในภาคนี้ก็ทำให้ตัวละคร ดร.สเตรนจ์ เติบโตไปขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งมันดีมากจริงๆและตัวละครสุดท้ายที่ชอบเลยคือ อเมริกาชาเวซ ที่แสดงโดย โซชิตล์ โกเมซ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าตัวละครนี้

โดดเด่น และนักแสดงที่แคสต์มาก็ดีมาก แถมภาคนี้ยังมีการวางปมของตัวละครนี้ทิ้งไว้ และผมชอบที่บทเขียนมาให้ตัวละครนี้เติบโตขึ้นในตอนจบ ทำให้เรารู้จักและเข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น คือ 3 ตัวละครหลักนี้ ตอนต้นเรื่องกับตอนจบ นี่คือคนละคนเลยนะ ทุกคนเติบโตและได้บทเรียนจากเหตุการณ์นี้กันหมด ดร.สเตรนจ์ ก็กลายเป็นคนที่รับฟังมากขึ้น นอบน้อมมากขึ้น วานด้าก็กลายเป็นคนที่ยอมรับความจริงได้และเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนอเมริกาชาเวซก็กลายเป็นคนที่เริ่มเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ในส่วนนี้ผู้กำกับ Sam Raimi ทำออกมาได้ดีจริงๆ

ทั้งหมดนี้ทำให้ Dr Strange and the Multiverse of Madness จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย เป็นภาพยนตร์ที่สนุกชวนดู ถึงแม้จะไม่ได้เรียกว่าดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมา แต่ก็มีความแปลกใหม่ผสมกับอะไรที่คุ้นเคย และเนื้อหาซึ้ง ๆ ประมาณหนึ่งมาให้เพลิดเพลินได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เว็บหนัง

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *