รีวิว Amandla

รีวิว Amandla

รีวิว Amandla แนวดราม่าอาชญากรรมจากแอฟริกาใต้ เรื่องราวของสองพี่น้องที่พบกับโศกนาฎกรรมในวัยเด็กจนกำพร้าพ่อแม่ ทำให้เขาทั้งคู่เติบโตมาอย่างยากลำบาก ในฐานะที่แตกต่างกันระหว่างอาชญากรกับผู้พิทักษ์รักษากฎหมาย

ถ้ามองจากหน้าหนังกับตัวอย่างที่พยายามขายอาจจะเข้าใจผิดไปเลยว่านี่คือหนังดราม่าแก๊งอาชญากรรมเข้มข้นสุดๆ แต่ในความจริงตัวหนังกลับไม่ได้ต้องการเน้นที่ตรงนั้นเป็นหลัก ต้องบอกว่านี่คือหนังดราม่าอาชญากรรมสะเทือนใจ เน้นบีบคั้นอารมณ์กันสุดๆ มากกว่า ซึ่งเรื่องราวบีบคั้นกันตั้งแต่วัยเด็กของทั้งคู่ ที่หนังให้เวลาตรงนี้ถึงครึ่งชั่วโมงในการปูเรื่องราวชีวิตวันเด็กของตัวเอกทั้งคู่

ที่เป็นที่มาของชื่อหนังเรื่องด้วย “อะมานดลา” คือคำเปล่งเสียงที่ชาวแอฟริกาใต้ใช้ปลุกใจชุมนุมประท้วงคนผิวขาวว่า อะมานดลา พลังประชาชน แต่แล้วก็เกิดวันโศกนาฎกรรมที่คนผิวขาวจับชาวซูลูฆ่าโยนแม่น้ำนองเลือด ซึ่งในเรื่องจะมีเหตุการณ์เศร้าสลดที่มีคนผิวขาวบุกเข้ามาแล้วใช้คำว่าอะมานดลาในเชิงเหยียดกดขี่ครอบครัวของตัวเอกทั้งคู่ รวมถึงตัวละครเด็กสาวลูกของนายจ้างที่แอบชอบพอกับอิมปิแบบลับๆ เธอฝันอยากโตมาช่วยคนแอฟริกาใต้จากการกดขี่ข่มเหงของคนผิวขาวในตอนนั้น

รีวิว Amandla สรุป

ซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกรายละเอียดปีไว้ แต่มีบทสนทนาพูดถึงเนลสัน แมนเดลาว่าถูกจำคุกอยู่ ก่อนที่เรื่องราวตอนโตของทั้งคู่จะเป็นตอนที่เนลสัน แมนเดลา ออกจากคุกมาเป็นผู้นำประเทศแล้ว 3 ปี ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2537 แต่ในเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับทำเป็นแนวย้อนยุคโดยตรง เพราะประเด็นหลักที่เรื่องต้องการเล่าไม่ใช่จุดนี้ แต่เป็นการปูจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรมในวัยเด็กของสองตัวเอกพี่น้อง โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงวัยเด็กที่สำคัญกับตอนโตสอดแทรกไว้หลายอย่าง ซึ่งทำออกมาทั้งสวยงามและเศร้าไปพร้อมกัน และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กสาวผิวขาวในวัยเด็กที่ผลต่อมาถึงช่วงเวลาตอนโตของทั้งคู่อีกด้วย

Watch Amandla | Netflix Official Siteเนื้อเรื่องในช่วงวัยผู้ใหญ่ถูกไทม์สคิปข้ามมาไกลเอาตอนที่ทั้งคู่โตมากแล้ว และอิมปิกับโคซาน่ากำลังแยกทางกัน โดยพี่ชายแยกตัวออกไปเลี้ยงแฟนสาวที่กำลังตั้งท้องลูก ส่วนน้องชายพึ่งเข้าไปเป็นตำรวจ ก่อนที่เรื่องจะเบนเข็มเข้าสู่ดราม่าอาชญากรรมเมื่ออิมปิพลาดพลั้งเข้าไปทำงานให้แก๊งมาเฟียผิวดำจนกลายเป็นคดีใหญ่ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงเด็กสาวคนรักในอดีตอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้น้องชายของเขาต้องเข้ามาสืบคดีนี้และรู้ว่าพี่ชายพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย

เส้นเรื่องอาชญากรรมส่วนนี้มีส่วนระทึกอยู่พอสมควรเมื่ออิมปิพยายามหนีออกจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เขาก่อขึ้น แต่พวกแก๊งกลับไม่ยอมให้เขาไป และมาล่วงรู้ว่าน้องชายของเขาเป็นตำรวจอีก ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนไม่มีทางออกให้ตัวละครนี้เลย เป็นความกดดันจากการขาดโอกาสในต้นทุนชีวิตที่เขามอบให้น้องชายไปหมด โดยการส่งเสียให้เรียนจนมาเป็นตำรวจ

ซึ่งก็กลายมาเป็นน้องของเขาต้องมาตามล่าเขาพร้อมกับพวกแก๊งไปด้วย ช่วงนี้เป็นดราม่าบีบคั้นหัวใจมากพอดู จนทำให้แอบเศร้าเล็กๆ อินตามไปด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะการแสดงของ Lemogang Tsipa ที่ไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ เล่นหนังใหญ่มาแล้วหลายเรื่องอย่าง The Dark Tower แต่เราอาจจะไม่เคยจดจำเขาได้มาก่อน เขาแสดงออกมาได้ดีมาก ดูหนัง

เป็นคนที่จำใจทำชั่วเพื่อมอบชีวิตที่ดีกว่าให้คนอื่น อย่างน้องชาย ภรรยา ซึ่งตั้งแต่วัยเด็กก็มีหลายฉากที่ทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วอิมปิเป็นคนดีคนหนึ่งเลย และเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวตนไป แต่ลงมือก่ออาชญากรรมเพราะความจำเป็นจริงๆ  มีฉากที่บีบคั้นให้เขาต้องเล่นบทคนเลวแต่น้ำตาไหลออกมาเพราะจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของเขายังทำงานอยู่ในใจ ซึ่งการแสดงของ Lemogang Tsipa  ทำให้เรื่องราวช่วงนี้โดดเด่นขึ้นมา แม้จริงๆ แล้วกโครงเรื่องจะไม่ได้ใหม่ แล้วก็เดาเรื่องง่ายด้วยว่าจะไปในทิศทางไหน

แต่กับฉากจบของเรื่องอาจจะไม่เมคเซนส์อยู่บ้าง เพราะบทต้องการย้อนกลับไปถึงฉากเปิดเรื่องในวัยเด็ก กลายเป็นฉากจบที่ตั้งใจบีบคั้นดราม่ากันสุดๆ จนเกินไปหน่อย แต่โดยรวมก็เข้าใจที่หนังจะสื่อและจบลงแบบนี้ ถือว่าเป็นฉากจบที่ตั้งใจให้สวยงาม แต่ไม่สมเหตุผลเมื่อคิดถึงความจริงแค่นั้นครับ

Amandla REVIEW - Provocative And Authentic - Cultured Vulturesในส่วนความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งคู่ บทค่อนข้างให้น้ำหนักกับเวลาไปที่ตัวอิมปิมากกว่า ตั้งแต่ช่วงเวลาวัยเด็กที่เขามีความรักกับลูกสาวนายจ้าง ซึ่งเรื่องในวัยเด็กค่อนข้างถ่ายทอดออกมาได้ดีเลย และตอนท้ายก็ยังหยิบเอาช่วงวัยเด็กกลับมาตอกย้ำอีกครั้ง

Amandla

ส่วนในตอนโตด้วยความที่เรื่องไทม์สคิปก้าวกระโดดมาก กลายเป็นไม่เล่าช่วงที่ทั้งคู่เติบโตมาเลย ทำให้ไม่อินกับช่วงตอนโตสักเท่าไหร่ แม้ตัวนักแสดงคนน้องจะแสดงได้ดีก็ตาม รวมถึงการที่ไม่ปูเรื่องราวของเด็กสาวที่เป็นรักแรกของอิมปิไว้ด้วยว่าเติบโตมาได้อย่างไรหลังจากเหตุการณ์นั้น ทำให้เรื่องดูเล่าแบบข้ามๆ จนไม่อินในช่วงโตมาก แต่โดยรวมก็มีฉากที่กลับมาเล่าความสัมพันธ์ของพี่น้องผ่านรายละเอียดเล็กๆ ที่อาจจะไม่ทันคิดอย่างถุงผ้าที่อิมปิใช้ใส่ของมาตลอดตั้งแต่เด็ก ซึ่งตัวเรื่องใช้สื่อความหมายถึงความผูกพันของทั้งคู่ผ่านถุงใบนี้ แต่ไม่ได้บอกเล่าออกมาตรงๆ เท่านั้น

3 reasons not to miss the Netflix original film "Amandla"สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างของเรื่องคืองานภาพที่สวย แต่เป็นความสวยจากการสะท้อนภาพความแร้นแค้นยากจนของประเทศ ซึ่งผู้ชมจะเห็นได้ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องในทุ่งกว้างเลยว่าหนังเรื่องนี้มีงานภาพที่สวยงามมาก ร่วมกับดนตรีประกอบที่ค่อนข้างไพเราะลงตัวในหลายฉาก ทำให้โทนหนังดูอบอุ่นในความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง แต่กระนั้นเรื่องก็ยังเป็นอารมณ์โศกนาฎกรรมเศร้าๆ เป็นหลักมากกว่า

เรื่องนี้เสียงต้นฉบับเป็นภาษาซูลู แม้ตัวละครหลายตัวเป็นคนผิวขาวก็ถูกพากย์ด้วยภาษาซูลูทับ ถ้าฟังแล้วแปลกๆ ก็เปลี่ยนเป็นอังกฤษได้ แต่โดยส่วนตัวก็ไม่รู้สึกว่าขัดอะไรมากครับ

เป็นหนังดราม่าที่เล่าเรื่องผ่านไปเร็วโดยที่เราไม่รู้สึกเบื่อเลย (ความยาวหนัง 1 ชั่วโมง 46 นาที) อาจจะไม่ถึงกับสนุกสุดๆ เพราะเป็นแนวดราม่าบีบคั้นอารมณ์มากกว่าอาชญากรรม แต่โดยรวมนี่คือหนังที่มีองค์ประกอบหลายอย่างอยู่ในเกณฑ์ดีเรื่องหนึ่งเลย ยิ่งเป็นงานสร้างจากแอฟริกาใต้ที่ไม่ค่อยมีมาบ่อยด้วย ถือว่าเป็นความแปลกแตกต่างที่ควรทดลองรับชมกันดูเลยครับ รีวิวหนัง

ถ้ามองจากหน้าหนังกับตัวอย่างที่พยายามขายอาจจะเข้าใจผิดไปเลยว่านี่คือหนังดราม่าแก๊งอาชญากรรมเข้มข้นสุดๆ แต่ในความจริงตัวหนังกลับไม่ได้ต้องการเน้นที่ตรงนั้นเป็นหลัก ต้องบอกว่านี่คือหนังดราม่าอาชญากรรมสะเทือนใจ เน้นบีบคั้นอารมณ์กันสุดๆ มากกว่า ซึ่งเรื่องราวบีบคั้นกันตั้งแต่วัยเด็กของทั้งคู่ ที่หนังให้เวลาตรงนี้ถึงครึ่งชั่วโมงในการปูเรื่องราวชีวิตวันเด็กของตัวเอกทั้งคู่ ที่เป็นที่มาของชื่อหนังเรื่องด้วย “อะมานดลา” คือคำเปล่งเสียงที่ชาวแอฟริกาใต้ใช้ปลุกใจชุมนุมประท้วงคนผิวขาวว่า อะมานดลา พลังประชาชน แต่แล้วก็เกิดวันโศกนาฎกรรมที่คนผิวขาวจับชาวซูลูฆ่าโยนแม่น้ำนองเลือด ซึ่งในเรื่องจะมีเหตุการณ์เศร้าสลดที่มีคนผิวขาวบุกเข้ามาแล้วใช้คำว่าอะมานดลาในเชิงเหยียดกดขี่ครอบครัวของตัวเอกทั้งคู่ รวมถึงตัวละครเด็กสาวลูกของนายจ้างที่แอบชอบพอกับอิมปิแบบลับๆ เธอฝันอยากโตมาช่วยคนแอฟริกาใต้จากการกดขี่ข่มเหงของคนผิวขาวในตอนนั้น ซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกรายละเอียดปีไว้ แต่มีบทสนทนาพูดถึงเนลสัน แมนเดลาว่าถูกจำคุกอยู่ ก่อนที่เรื่องราวตอนโตของทั้งคู่จะเป็นตอนที่เนลสัน แมนเดลา ออกจากคุกมาเป็นผู้นำประเทศแล้ว 3 ปี ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2537 แต่ในเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับทำเป็นแนวย้อนยุคโดยตรง เพราะประเด็นหลักที่เรื่องต้องการเล่าไม่ใช่จุดนี้ แต่เป็นการปูจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรมในวัยเด็กของสองตัวเอกพี่น้อง โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงวัยเด็กที่สำคัญกับตอนโตสอดแทรกไว้หลายอย่าง ซึ่งทำออกมาทั้งสวยงามและเศร้าไปพร้อมกัน และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กสาวผิวขาวในวัยเด็กที่ผลต่อมาถึงช่วงเวลาตอนโตของทั้งคู่อีกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *