Category Archives: รวมบทความ

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีจ้าแฟนๆชาวโซนิก เรียกได้ว่ามาสานต่อความสำเร็จจากภาคที่แล้วแบบรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ผู้ชมหรือแฟนๆเปื่อยไปก่อน ไม่ทิ้งช่วงให้รอนาน อย่างกับเจ้าเม่นสายฟ้าออกวิ่งอย่างนั้นแหละ เพราะว่า ‘Sonic The Hedgehog 2’ หรือ ‘โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก 2’ นี้ ทิ้งห่างจากภาคแรก ‘Sonic The Hedgehog’ (2020) ภาพยนตร์กึ่งแอนิเมชันแบบไลฟ์แอ็กชัน ที่สร้างมาจากคาแรกเตอร์และเกมในตำนานของค่ายเซกา (Sega) เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง กลายเป็นหนังสร้างจากเกมไม่กี่เรื่องที่สามารถรอดพ้นอาถรรพ์หนังสร้างจากเกมที่มักจะเห่ยสนิทและเจ๊งยับ จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสกลับมาสร้างภาคใหม่อีกครั้ง โดยได้ ‘เจฟฟ์ ฟาวเลอร์’ (Jeff Fowler) ผู้กำกับจากภาคแรก และนักแสดงชุดเดิมจากภาคแรก กลับมาร่วมงานแบบครบทีม

เคล็ดลับความสำเร็จก็น่าจะมาจากการที่ตัวหนังดูสนุก ดูง่าย เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี แถมยังเอาใจคอเกมด้วยการใส่แฟนเซอร์วิสและ Easter Egg จากเกมมาให้แบบจุก ๆ รวมทั้งการที่พาราเมาต์ พิกเจอร์ส (Paramount Pictures) ยังยอมอัดงบเพิ่ม 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อปรับแก้ดีไซน์เจ้าโซนิคเวอร์ชันแรก ที่โดนแฟน ๆ ถล่มเพราะออกมาทรงประหลาดเกินรับไหว เรียกว่าปรับแก้กันจนในที่สุดก็ออกมาน่ารักน่าชัง และใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ต้นฉบับที่คุ้นเคยมากกว่าที่จะเน้นความสมจริง

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

แน่นอนว่า เนื้อเรื่องในภาคนี้เองก็จะต่อมาจาก Mid-Credits จากภาคที่แล้วเลยครับ ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้ดู อันนี้ผู้เขียนขอเบรกให้หยุดอ่าน แล้วไปหาดูใน Netflix ก่อนได้เลยนะครับ เพราะเนื้อหาค่อนข้างต่อและเชื่อมโยงมาจากภาคแรกพอสมควร ถ้าไม่ดูมาก่อนอาจจะมีงงและโดนสปอยล์ได้ เว็บดูหนัง

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ เนื้อหาเริ่มต้นหลังจากที่ ‘โซนิค’ (พากษ์เสียงโดย Ben Schwartz) ได้เนรเทศ ‘ดร. โรบอตนิก’ (Jim Carrey) ไปอยู่ดาวเห็ดได้ในภาคแรก เจ้าเม่นสีฟ้าก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ ‘ทอม’ (James Marsden) นายอำเภอเมืองกรีนฮิลล์ (Green Hills) และคู่รัก ‘แมดดีย์’ (Tika Sumpter) โซนิคกำลังสนุกอยู่กับการแอบเป็นฮีโรฉายเดี่ยวพิทักษ์โลก (ที่สุดท้ายมักจะจบไม่ค่อยสวย)

จนกระทั่งวันหนึ่ง โซนิคต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง เพราะทอมกับแมดดีย์ต้องเดินทางไปงานแต่งงานของ ‘ราเชล’ (Natasha Rothwell) พี่สะใภ้ที่ฮาวาย ในขณะเดียวกันที่ ดร. โรบอตนิก หรือด็อกเตอร์เอกแมน (Doctor Eggman) ก็กำลังวางแผนจับมือกับ ‘นักเคิลส์’ (พากษ์เสียงโดย Idris Elba) นักรบเผ่าอีคิดนาที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่่สุดในกาแล็กซี่ เพื่อแย่งชิงมรกต (Master Emerald) อัญมณีทรงพลังที่มีอำนาจในการทำลายอารยธรรมมาเป็นของตัว โซนิคจึงต้องแย่งชิงมาให้ได้ก่อนที่จะตกไปอยู่ในมือผู้ร้าย โดยมี ‘เทลส์’ (พากษ์เสียงโดย Collen O’Shanussy) จิ้งจอกสองหางสุดอัจฉริยะ แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงของโซนิค ร่วมมือในการปกป้องโลกในครั้งนี้ด้วย

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

ในส่วนของพล็อตเรื่อง ผู้เขียนแอบคิดเอาเองว่า ผู้เขียนบทน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์เรื่องราวจากเกม บวกกับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในแอนิเมชัน ‘Sonic X’ (2003 – 2006) (ฉายทาง Netflix) นะครับ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่ถ้าใครเคยดูแล้วจะร้องอ๋อเหมือนผู้เขียนแน่นอน เพราะเนื้อเรื่องในอนิเมะบางตอนนั้นมีความคล้ายกับเรื่องราวในหนังพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องราวของการแย่งชิงมรกต และ ‘ตัวละครบางตัว’ ที่โผล่มาในหนังเป็นครั้งแรก ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟน ก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้ได้รู้จักตัวละครใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก และผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าดูหนังแล้ว น่าจะอยากกลับบ้านไปดู Sonic X ต่อแน่นอน

ซึ่งตัวหนังเองก็ยังคงยึดวิธีการเขียนบท และวิธีการเล่าเรื่องในแบบเดียวกับภาคแรก ที่เน้นความเบาของเนื้อเรื่อง เดินเรื่องเป็นเส้นตรง ดูง่าย เบาสมอง เรตไม่แรง รวมทั้งการหยิบ Easter Egg จากในเกมมาใส่ได้อย่างกลมกลืนและเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนเกมได้ไม่แพ้ภาคแรก แต่สิ่งที่ทำให้ภาคนี้มีความแตกต่างก็คือ ความเล่นใหญ่นี่แหละครับ เรียกว่าภาคนี้ขยายสเกลทั้งเรื่องราว โปรดักชัน ซีจี ที่เรียกได้ว่าอัปเกรดจากภาคที่แล้วขึ้นอีกหลายเท่าตัว ตั้งแต่บทที่เน้นเรื่องราวการผจญภัยปกป้องกาแล็กซี และซีจีที่อัปเกรดจัดเต็มแบบ Epic ซะจนแทบจะกลายเป็นหนังฮีโร Marvel แบบย่อม ๆ ไปแล้ว (555)

ซึ่งไอ้ความเล่นใหญ่แบบ Epic นี่แหละที่ถือว่าเป็นการแก้ Pain Point จากภาคแรกแบบชัดเจนมาก เพราะภาคแรกจริง ๆ ก็ดูสนุกแหละครับ แต่พล็อตมันก็ค่อนข้างจะเด็ก ๆ เหมือนดูอนิเมะอยู่พอสมควร แต่พอขยายพล็อตใหญ่ขึ้น ได้เห็นการผจญภัยมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตัวพล็อตและการดำเนินเรื่องมีพลังมากพอที่จะเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม และถือว่าเป็นอะไรที่เกินคาดมาก ๆ โดยเฉพาะใครที่อาจจะรู้สึกว่าภาคแรกอร่อยแต่ให้น้อยเหมือนกินอาหารเด็ก ภาคนี้รับรองว่ามีจุกแน่นอน ดูหนัง

สรุป Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ แน่นอนว่า ตัวหนังก็ยังมีข้อสังเกตก็คือ ยังมีบางฉากที่ดูจะไม่ค่อยจำเป็นและไม่ได้มีผลต่อเรื่องมากนัก ซึ่งทำให้ตัวหนังบางช่วงดูยืดยาดน่าเบื่อคล้าย ๆ ภาคแรกไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังพอจะแฝงเรื่องราว ใส่ Plot Twist ให้ตื่นเต้นและดูสนุก แม้ว่าตัวเรื่องจะพอเดาได้ ใส่มุกฮาให้ได้ขำพอไหล่สั่น โชว์คาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวได้ชัดขึ้น และยังสามารถขับเน้นประเด็นเรื่องความเป็นเพื่อนและครอบครัวได้มีพลังและชวนให้ซึ้งได้อย่างจัดเต็มมาก ๆ (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใช้ทีมสร้างเดียวกับ ‘The fast and the furious’ หรือเปล่านะ เอะอะก็ครอบครัว ๆ (555))

ส่วนในแง่ของการแสดง ก็หนีไม่พ้นล่ะครับที่จะไม่พูดถึงตัวละครที่มาจากเกม ที่ดูจะทำได้ดีกว่าตัวละครที่เสริมแต่งในเวอร์ชันหนังไปทั้งสองภาคซะแล้วแฮะ ไม่ว่าจะเป็นเคมีระหว่างตัวละครระหว่างโซนิค เทลส์ และนักเคิลส์ ที่ทำออกมาได้น่ารักมาก ๆ และหนีไม่พ้นที่จะต้องยก MVP ให้กับลุงจิม แครีย์ (Jim Carrey) เจ้าของบทด็อกเตอร์โรบอตนิกนี่แหละครับ ที่ภาคนี้มีโอกาสได้ปล่อยลีลาแบบจัดเต็มซะยิ่งกว่าภาคที่แล้วอีก คือถ้าลุงจะเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายจริง ๆ เหมือนอย่างที่ลุงแกออกมาให้สัมภาษณ์ ก็ถือว่าเป็นการทิ้งทวนที่ไม่เสียหลายล่ะครับ

โดยสรุป ‘Sonic The Hedgehog 2’ ก็ยังทำหน้าที่เป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัวได้อย่างดีนะครับ ด้วยพล็อตเบา ๆ และการดำเนินเรื่องแบบเส้นตรงที่ดูง่ายไม่ซับซ้อน ในขณะที่ตัวหนังเองก็จัดเต็มได้แบบจุก ๆ ด้วยโปรดักชันและซีจีที่เล่นใหญ่กว่าภาคแรก เป็นหนังสำหรับครอบครัวที่ให้ความบันเทิงเล่นใหญ่ที่ดูได้สนุกกันทั้งครอบครัว เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมหรือไม่ก็ตาม เว็บหนัง

RELEASE DATE 06/04/2022
แนว แอ็กชัน / ผจญภัย / แอนิเมชัน
ความยาว 2.02 ชม. (121 นาที)
เรตผู้ชม G
ผู้กำกับ เจฟฟ์ ฟาวเลอร์ (Jeff Fowler)

จุดเด่น

– ยังเน้นดูง่าย ดูสนุก เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดีเหมือนภาคแรก
– พล็อตและงานซีจีจัดเต็มเล่นใหญ่กว่าภาคที่แล้ว
– มุกฮาดูง่าย สนุก ตื่นเต้น ดูง่าย บันเทิงกว่าภาคแรก
– แฝงแง่คิดเกี่ยวกับเพื่อนและครอบครัวได้ดี
– จิม แครี แสดงได้ร้ายและแพรวพราวกว่าภาคที่แล้ว

จุดสังเกต

–  บางข็อตแอบยืดยาดไปหน่อย อาการคล้ายภาคแรก
– เดินเรื่องเป็นเส้นตรง มีพล็อตทวิสต์บ้างแต่ก็ยังเดาง่าย

 

รีวิว The King’s Man

รีวิว The King’s Man

รีวิว The King’s Man

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับผม วันนี้จะมารีวิวหนังไตรภาคของ คิง แมน ย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากที่ผู้กำกับอย่าง ‘แมทธิว วอห์น’ (Matthew Vaughn) ได้พาเราไปรู้จัก ‘คิงส์แมน’ (Kingsman) หน่วยสืบราชการลับสุภาพบุรุษสุดเนี้ยบที่ไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด ๆ มีสำนักงานที่แอบซ่อนไว้ภายใต้ร้านตัดสูท ณ ถนนซาวิลล์ โรว์ (Savile Row) ประเทศอังกฤษมาแล้วถึง 2 ภาค ทั้ง ‘Kingsman: The Secret Service’ (2015) ที่เน้นความหล่อเท่ และ ‘Kingsman: The Golden Circle’ (2017) ที่แหวกแนวและเปี่ยมลูกบ้า

แต่คราวนี้ สุภาพบุรุษคิงส์แมนกลับมาอีกครั้งใน ‘The King’s Man’ หรือ ‘กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน’ ที่ไม่ได้นับเป็นหนังภาค 3 แต่เป็นภาพยนตร์ Prequel (หรือเรียกว่าเป็น Spin off หรือหนังภาคขยายก็ได้ เพราะว่าเนื้อหาไม่ได้ต่อจากสองภาคที่แล้ว) ที่จะพาย้อนกลับไปยังยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ค้นหาที่มาที่มาที่ไปของหน่วยคิงส์แมนที่มีต้นกำเนิดยาวนานนับร้อยปี เมื่อโลกต้องพบกับเหล่ามหาวายร้ายที่หมายจะล้างบางเหล่ามวลมนุษย์ บุรุษคนหนึ่ง พร้อมลูกชายของเขา และเหล่าสหาย จึงจะต้องร่วมมือกันปกป้องโลกให้ทันเวลาอย่างมีสไตล์ เว็บดูหนัง

รีวิว The King’s Man

รีวิวหนังมาใหม่ ตัวหนังเล่าย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดยุก ‘อ็อกฟอร์ด’ ได้สูญเสียภรรยาไปอย่างกะทันหันในระหว่างภารกิจส่งสเบียงให้กับทหาร เขาให้คำสัญญากับภรรยาว่าจะปกป้องลูกชายคนเดียวอย่าง ‘คอนราด’ (Harris Dickinson) ผู้มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นทหารไม่ให้เข้าร่วมรบ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุลอบสังหารจักรพรรดิแห่งออสเตรีย กลายเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นแผนของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ที่คอยชักใยการเมืองของประเทศ

รีวิว The King’s Man

ร่วมสงครามอยู่เบื้องหลัง ดยุกอ็อกฟอร์ดจึงได้เผย “เครือข่ายคนรับใช้” ที่คอยสอดแนมหาข่าวกรองทั่วทุกมุมโลก ที่มีแม่บ้านอย่าง ‘พอลลี’ (Gemma Arterton) และ ‘โชลา’ (Djimon Hounsou) สารถีรถม้าเป็นสมาชิกลับ ๆ ให้คอนราดได้รับรู้ ซึ่งเครือข่ายนี้นี่แหละคือต้นกำเนิดที่จะกลายไปเป็นหน่วย Kingsman ในเวลาต่อมา

แม้ว่าจะเป็นหนังที่เป็นภาคต่อจาก Kingsman ทั้งสองภาค แต่ก็ต้องขอเบรกเอี๊ยดก่อนนะครับ ถ้าหากว่าอยากจะไปดูแอ็กชันมัน ๆ ล้ำ ๆ เปี่ยมลูกบ้า หรืออยากไปดูความทันสมัยเท่เนี้ยบเฉียบคมในแบบสองภาคก่อนหน้านี้ เพราะว่าตัวหนังเรื่องนี้เป็นหนัง Prequel ที่พาย้อนไปหาตำนานต้นกำเนิดของหน่วยข่าวกรองคิงส์แมนแบบจริง ๆ จัง ๆ โปรดักชันดีไซน์โดยรวมก็เลยพาย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 แบบชัดเจนซะจนแทบไม่หลงเหลือภาพของหนังแอ็กชันล้ำ ๆ และพล็อตเปี่ยมลูกบ้าเหมือนอย่างสองภาคก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่แทนที่ด้วยการเล่าเรื่องแบบหนังแอ็กชันที่ผสมรายละเอียดเกี่ยวกับการเมือง สงคราม และนำเสนอผ่านเรื่องราวของสายลับอังกฤษสมัยโบราณขนานแท้

สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างชัดเจนของหนังเรื่องนี้ก็คือการหยิบเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกมาตีความใหม่และดัดแปลงได้อย่างโดดเด่นและกลมกลืนมาก ๆ ครับ นอกจากว่าจะหยิบเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริง รวมทั้งการใส่บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เช่นจักรพรรดิ กษัตริย์ ประธานาธิบดี รวมถึง ‘รัสปูติน’ (Rhys Ifans) ผู้อื้อฉาว หรือแม้แต่ดยุกอ็อกฟอร์ดเองก็ได้แรงบันดาลใจจาก ‘ทีอี ลอว์เรนซ์’ (T. E. Lawrence) สายลับอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีตัวตนอยู่จริง

รีวิว The King’s Man

รวมทั้งการดัดแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่นการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียด้วย แม้ว่าตัวหนังจะเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์เอาไว้แบบหลวม ๆ แต่ก็ไม่ใช่แค่การเล่าประวัติศาสตร์ที่เอามาจับคู่กับตำนานสายลับคิงส์แมนที่เป็นเรื่องแต่ง ก่อนที่จะค่อย ๆ เฉลยที่มาที่ไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยคิงส์แมน (ที่คนดูภาคก่อน ๆ แล้วน่าจะเก็ต) เพียงเท่านั้น ดูหนัง

แต่ตัวหนังยังผสมผสาน และ แอบบิดประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการเพิ่มพล็อตให้ตัวแทนประเทศต่าง ๆ ถูกควบคุม และ ยุแยงให้ทำสงครามกันอย่างลับ ๆ โดย “คนเลี้ยงแกะ” ได้อย่างแนบเนียนกลมกลืน ชนิดที่ดูแล้วเชื่อว่าสายลับคิงส์แมนอาจจะมีอยู่จริง และ ที่เกิดสงครามโลกก็อาจจะเป็นเพราะผู้ชายเพียงคนเดียวก็ได้นะครับ (555) เรียกได้ว่าตัวหนังในครึ่งแรกนี่คือมีความเป็นโทนหนังการเมืองแบบซีเรียส ๆ อยู่พอสมควร คอประวัติศาสตร์สงครามโลกที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอึ้ง และ ชื่นชอบได้ไม่ยาก

บทสรุป The King’s Man

รีวิวหนังมาใหม่ แม้ว่าตัวหนังเองจะไม่ได้สานต่อจากสองภาคก่อนหน้า แต่ก็ต้องชื่นชมว่าตัวหนังเองยังคงดีเอ็นเอของหนังฉบับคิงส์แมนเอาไว้นะครับ ทั้งอารมณ์ขันที่คราวนี้ตัวหนังแฝงอารมณ์ขันสไตล์ผู้ดีอังกฤษเอาไว้แบบให้ได้พอยิ้ม ๆ และ ฉากแอ็กชัน ที่แม้ว่าในภาคนี้จะไม่ได้มีเยอะ ใส่ลูกบ้าแพรวพราว ความเนี้ยบหล่อเท่ และ ถล่มเครื่องมือไฮเทคแบบจัดเต็มเหมือนกับสองภาคหลัก แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแอ็กชันแบบโบราณ เช่นฟันดาบ การใช้มีด หรือสู้มือเปล่าเข้ามาแทน

แต่ถึงกระนั้น ตัวฉากแอ็กชันก็ยังแอบสอดแทรกความหวือหวา เช่น มุมกล้องแปลกแหวกแนว ใส่การเต้นลีลาศระหว่างต่อสู้ หรือใส่ฉากสังหารแบบโหด ๆ เข้ามาให้ได้ตื่นเต้น หรือเพลงประกอบที่ฉีกจากภาพอย่างที่หนัง Kingsman ทำในทุก ๆ ภาคก็ยังคงมีอยู่ ส่วนฉากต่อสู้ในสนามรบก็ทำได้ออกมาตึงเครียดในระดับเดียวกับหนังสงครามเพียว ๆ เลย รวมทั้งยังมีจุดพีกหักมุมให้ได้เซอร์ไพรส์ได้ตลอด (แม้ว่าจะมีบางซีนที่ยังมีความหลุด ดูโม้ ๆ การ์ตูน ๆ อยู่บ้างก็เถอะนะ (555)

ส่วนถ้าจะมีข้อสังเกต ก็มีอยู่สองจุดใหญ่ ๆ ครับ นั่นก็คือการให้รายละเอียดเกี่ยวกับแก๊งตัวร้าย ทั้งสมาชิก และ คนเลี้ยงแกะ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่สุดนั้นผู้เขียนมองว่า ตัวหนังยังไม่ได้ให้รายละเอียดกับฝั่งตัวร้ายสักเท่าไหร่ เป็นการเล่าแบบบาง ๆ แค่ว่าเป็นการประชุมกันระหว่างตัวแทนชาติต่าง ๆ ที่จะคอยไปเสี้ยมชักใยชาติของตัวเองให้ทำตามความต้องการของคนเลี้ยงแกะเพียงเท่านั้น จนทำให้ในบางครั้ง ตัวร้ายเองก็ดูไม่ค่อยจะน่ากลัวสักเท่าไหร่

รีวิว The King’s Man

และ ที่สำคัญคือ การเผยโฉมที่แท้จริงของคนเลี้ยงแกะ ที่อุตส่าห์ปิดบังเอาไว้ตลอดทั้งเรื่องว่าเป็นใคร สำหรับผู้เขียนคิดว่ายังไม่ว้าวเท่าที่ควรครับ และ อีกจุดก็คือ ด้วยความที่ตัวหนังทั้งเรื่องนั้นให้เวลากับการปูที่มาของคิงส์แมนอย่างเต็มที่ โดยมีแกนของประวัติศาสตร์โลกมาขับเคลื่อนเรื่องราว ถ้าใครที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอินได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจปูมหลังประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็อาจจะรู้สึกว่าตัวหนังแอบเนือย ๆ ไปนิด กว่าจะเดินเรื่องมาถึงจุดที่ดยุกอ็อกซ์ฟอร์ดได้ก่อตั้งหน่วยคิงส์แมนขึ้นมาแล้ว ก็ถือว่าใช้เวลานานเกือบทั้งเรื่องอยู่เหมือนกัน

สรุปโดยรวม จริง ๆ กระแสคนดูในต่างประเทศสำหรับภาคนี้ค่อนไปทางลบนะครับ เรียกว่าแทบจะซ้ำรอยกับภาค 2 หรือภาค The Golden Circle เลยแหละ แต่สิ่งที่ผู้เขียนเองอยากจะบอกหลังจากดูก็คือ สำหรับภาคนี้ส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่าเกินคาดครับ และ ชอบมากกว่าภาค 2 ด้วยซ้ำ สำหรับแฟน ๆ สายลับคิงส์แมน หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการเติมเต็มจักรวาลสายลับ Kingsman ที่น่าจะสมกับการรอคอยหลังจากเลื่อนฉายมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ

เพราะตัวหนังเองก็เต็มไปด้วย Easter Egg และ ที่มาของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหน่วยคิงส์แมนเอาไว้ได้แบบแทบจะครบถ้วน (เพียงแต่ว่าต้องให้หนังปูเรื่องนานหน่อย) และ สำหรับคอประวัติศาสตร์ หนังเรื่องนี้ก็น่าจะถูกใจในแง่ของการหยิบเอาประวัติศาสตร์มาบิดใหม่ให้น่าสนใจขึ้น จนเรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นสปินออฟที่ต่อยอดไปสู่จักรวาลหนังสายลับ Kingsman ได้อย่างน่าสนใจ และ น่าไปดูซ้ำเก็บรายละเอียดอยู่เหมือนกันครับ เว็บหนัง

จุดเด่น

  • เติมมุมมองของหนังสายลับในแบบฉบับของ Kingsman ได้น่าสนใจโดยไม่ต้องอ้างอิงชื่อเสียงจากภาคหลักมากนัก
  • ดัดแปลง และ ยั่วล้อเกร็ดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้น่าสนใจดี คอประวัติศาสตร์น่าจะชอบ
  • พาร์ตแอ็กชันยังทำได้ดี ไม่ได้เน้นความไฮเทค และ เทคนิคแพรวพราวจัดจ้าน แต่เน้นลูกเล่นหวือหวา และ มุมกล้องแปลกใหม่

จุดสังเกต

  • ปูเรื่องสู่การกำเนิดคิงส์แมนค่อนข้างนาน คนไม่ชอบประวัติศาสตร์อาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ
  • ตัวหนังยังเล่าแบ็กกราวนด์ และ เล่าเรื่องฝั่งตัวร้ายได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
  • การเผยโฉมตัวร้าย “ตัวจริง” ยังไม่ค่อยว้าวเท่าที่

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับหนังเรื่องนี้เป็นหนังปี 2022 วันนี้แอดเลยอยากจะมารีวิวความรู้สึกหลังดูหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติของฮอลลีวูดที่มักจะฟื้นคืนชีพ ที่ได้รับการันตีจากหลายๆสื่อ หลายๆสำนักว่าครบเครื่องครบอารม ต่อลมหายใจหนังดังยุคอดีต เสียงก่นด่า อย่างน้อยที่สุดหนังเรื่องนั้นก็ได้ทำหน้าที่ ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นการกลับมาที่ได้รับคำชื่นชม หรือ ไม่แอดก็ชอบเรื่องนี้มาก ๆ

รีวิว Top Gun Maverick

พาคนรุ่นเก๋าให้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำ ขณะที่คนยุคปัจจุบันก็ได้โอกาสในการเสพความเป็นตำนาน.. ล่าสุดกับ Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) ก็คือ หนังภาคต่อของ Top Gun ( ท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า ) ที่ผ่านกาลเวลากว่า 3 ทศวรรษ จนกลายเป็นตำนาน เช่นเดียวกับพระเอกของเรื่อง ทอม ครูซ เว็บดูหนัง

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิวหนังมาใหม่Top Gun Maverick ( ท็อปกัน: มาเวอริค ) เล่าเรื่องราวของ พีท “มาเวอริค” มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) นักบินระดับสูงของกองทัพเรือที่มุ่งมั่นกับการท้าทาย และ ยกระดับการบินมานานกว่า 30 ปี กระทั่งเขาได้รับหน้าที่สำคัญในการฝึกสอนหน่วย Top Gun ที่เต็มไปด้วยนักบินเลือดใหม่ชั้นยอด เพื่อคัดเลือกผู้ที่พร้อมที่สุดในการปฏิบัติภารกิจพิเศษที่มีเป้าหมายคือต้องสำเร็จเท่านั้น แต่โอกาสรอดชีวิตเป็นศูนย์! ภารกิจของครูฝึกที่น่าหนักใจนี้ ยิ่งหนักหนาขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อหนึ่งในนักบินคือ “รูสเตอร์” ( ไมล์ส เทลเลอร์ ) ลูกชายของเพื่อนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว นั่นทำให้เขาต้องพยายามวางแผน และ ฝึกฝนเพื่อให้หน่วย Top Gun พร้อมทำภารกิจ และ รอดชีวิตมาให้ได้ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจตลอดชีวิตการบินของเขา..

รีวิว Top Gun Maverick

เชื่อว่าหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะไม่เคยดู Top Gun ( ท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า ) ในโรงภาพยนตร์ แต่ก็คงได้มีโอกาสดูผ่านจอทีวีไม่ก็จอคอมฯ เช่นเดียวกับผู้เขียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะการดูผ่านจอคอมฯ หรือ วิธีการนำเสนอของหนังยุค 80 กันแน่

ที่ทำให้ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกชอบอะไรเป็นพิเศษกับหนังเรื่องนี้ แม้จะแอบทึ่งกับการถ่ายทำในยุคสมัยนั้น ที่นำเสนอภาพการบินบนน่านฟ้าที่ให้ความรู้สึกสมจริง และ ได้เห็นนักแสดงที่หลายคนกลายเป็นตำนานไปแล้วแสดงในหนังเรื่องนี้ก็ตามที

Top Gun Maverick ( ท็อปกัน: มาเวอริค ) ภาคต่อที่ครั้งนี้ได้โอกาสดูบนจอภาพยนตร์ IMAX กลับเป็นความสนุก และ บันเทิงไปกับแอ็กชันบินไล่ล่าที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกของสถานการณ์ที่บีบคั้นกดดัน ผ่านการนำเสนอที่รวดเร็ว รุนแรง ด้วยเทคนิคถ่ายทำในยุคปัจจุบัน ให้ความรู้สึกราวกับเราเข้าไปนั่งอยู่ใน Cockpit หรือ ห้องคนขับเครื่องบินก็ไม่ปาน ยิ่งได้ระบบเสียงรอบทิศทาง จนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของเบาะนั่งขณะที่ดู ยิ่งเพิ่มความอินไปกับฉากตรงหน้ามากยิ่งขึ้น

รีวิว Top Gun Maverick

ลงท้ายกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอีกครั้งในการดูหนังบนจอภาพยนตร์ ที่การดูบนจอทีวี หรือ จอคอมฯ ไม่มีทางมอบความรู้สึกนี้ให้ได้แน่ ๆ ตอกย้ำว่าหนังบางเรื่องมันถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะกับดูบนจอภาพยนตร์เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดหากใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ไม่มีความจำเป็นต้องดูภาคต้นเพื่อเตรียมตัวแต่อย่างใด หนังให้เวลามากพอที่จะปูเรื่องราวให้คนดูได้เข้าใจที่มาที่ไป ว่าทำไมมาเวอริคถึงเป็นตำนาน ความบาดหมางกับรูสเตอร์ ที่สถานะไม่ต่างจากพ่อ-ลูก

ที่มีปัญหาผิดใจกัน อีกทั้งยังตั้งคำถามสำคัญ ว่ายุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดรวดเร็วขนาดนี้ นักบินแบบมาเวอริค ยังจำเป็นอีก หรือ ไม่? ซึ่งตรงนี้คือจุดสำคัญที่ช่วยผลักดันเรื่องราว เป็นการท้าทายของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงที่มาเวอริคต้องเผชิญหน้าการบ่มเพาะผ่านกาลเวลา ทำให้ทุกอย่างใน Top Gun ที่กำกับโดย โทนี สก็อตต์ กลายเป็นตำนาน เป็นเส้นทางให้ Top Gun Maverick ที่กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยผ่านงานกำกับอย่าง Tron: Legacy และ Oblivion

ได้เดินตาม ทั้งวิธีการนำเสนอ เพลง ฉากคลาสสิกอย่าง ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ หรือ แม้กระทั่งฉากเล่นกีฬาที่ชายหาด ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นดั่ง Nostalgia ให้แฟนหนังยุค 80 ได้หวนคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งอดีตในทุกครั้งที่ได้ดูหนังของ ทอม ครูซเรามักจะอินไปกับการแอ็กชันของเขา แต่ครั้งนี้ด้วยฉากแอ็กชันที่เป็นการขับเครื่องบินรบ ทำให้เงื่อนไขทางแอ็กชันเปลี่ยนไป ทอม ครูซ ต้องถ่ายทอดฉากแอ็กชันผ่านทางแววตาเป็นสำคัญ ดูหนัง

จึงอย่าแปลกใจหากครั้งนี้เราจะอินไปกับการแสดงของเขา ซึ่งทีมเขียนบทที่ประกอบไปด้วย เออเรน ครูเกอร์, เอริค วอร์เรน ซิงเกอร์ และ คริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี่ ( มือเขียนบทคู่บุญ ทอม ครูซ ) 

มีส่วนไม่น้อยเลยในการสร้างเรื่องราวภาคต่อ ที่ดูไม่ฝืน และ เข้มข้นในแบบที่ภาคต่อควรจะเป็น ที่ช่วยยกระดับฉากแอ็กชัน และ การแสดงที่เต็มไปด้วยดราม่าให้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และ งดงาม

บทสรุป Top Gun Maverick

รีวิวหนังมาใหม่ภาพรวมของ Top Gun Maverick ( ท็อปกัน: มาเวอริค ) ถือว่าน่าพอใจมาก ๆ เป็นหนังดูง่าย เข้าถึงง่าย โดยเฉพาะกับฉากแอ็กชันบนน่านฟ้าที่สมจริงและน่าตื่นตาตื่นใจ และเรื่องราวที่สานต่อได้อย่างมีเนื้อหนังไม่ตื้นเขิน

เชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งหนังภาคต่อที่ได้รับการยกย่องในอนาคต และ ที่บอกไปครับฉากแอคชั่นที่ถูกพัฒนา ขึ้นมาเพื่อให้ถูกจริตของคนรุ่นใหม่ อัดจังหวะที่มันตื่นเต้นมากขึ้น ตัดต่อฉึบฉับมากขึ้นโดยยังคงความงามแบบเวอร์ ๆ ของเครื่องบินรบขับไล่กันกลางเวหาแบบภาคแรกไว้ โดยภาคนี้ได้ไอเดียบ้าแต่โคตรสร้างสรรค์ของ เคลาดิโอ มิแรนดา ผู้กำกับภาพของหนัง ที่มัดกล้อง 6 ตัวไว้ในห้องนักบินที่ให้ภาพสุดตื่นตาตื่นใจยากจะหาหนังเรื่องไหนถ่ายทอดความตื่นเต้นของการบินขับไล่ได้เท่าหนังเรื่องนี้อีกแล้ว ที่สำคัญฉากขับเครื่องบินกลางเวหา

ป๋าครูซลงทุนแสดงเอง ขับเอง บินเอง แบบบินจริง ๆ นะ เพื่อความสมจริงที่สุดอีกต่างหาก และ ไม่ใช่แค่บู๊เพราะความดราม่า การสนทนาที่ต้องเคลียร์ปมในใจ ก็ใส่เข้ามาได้ดี และ มันดึงอารมณ์ของเราให้พักจากความตื่นเต้น เป็นความรู้สึกอึดอัด กระอั่กกระอ่วน (เพราะอินหนังนะ) ได้ดีจริง ๆ ครับ เอาเป็นว่า Top Gun : Maverick ครบเครื่องสำหรับหนังแอคชั่น “โคตรดี” สักเรื่องที่ควรค่าแก่การไปดู และ อย่างที่ผมบอกว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดเรื่แงหนึ่งที่ได้ดูมาตั้งแต่เข้าปี 2022 นี้มาเลยครับ

เหนืออื่นใดที่น่ายกย่องเป็นพิเศษ คือ นักแสดงอย่าง ทอม ครูซ ที่ผ่านกาลเวลาไปกี่ทศวรรษ เขาก็ยังคงอยู่ตรงนี้ บนเส้นทางของนักแสดง อาชีพที่ยังผลิต และ ถ่ายทอดผลงานระดับสูงมาให้แฟน ๆ ได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง จะว่าไปเส้นทางการแสดงของทอม ครูซ ก็คล้ายกับเส้นทาง นักบินชั้นยอดของมาเวอริค วันหนึ่งก็คงถึงเวลา ที่รุ่นใหม่จะก้าวขึ้นมา ทาบรัศมี ไม่ก็ถึงวันที่พลังการแสดง ของเขาอ่อนลง และ นั่นคงเป็นสัญญาณที่บอกว่าถึงเวลาที่อาชีพการแสดงของทอม ครูซ ต้องแลนดิ้งลงจอดเสียที.. แต่หากใครที่ได้ดู Top Gun Maverick จบ เชื่อว่าก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับผู้เขียนว่า “ใช่ วันนั้นสักวันคงมาถึง แต่..ไม่ใช่วันนี้” เว็บหนัง

รีวิว Jolt

รีวิว Jolt

รีวิว Jolt

 

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับวันนี้ก็มาถึงอีกหนึ่งโปรแกรมหนังแอคชั่นสุดมันที่แอดอยากจะรีวิวเอามากๆ ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจไม่เบา มาลงคิวฉายส่งท้ายปีนี้ในบ้านเรา ก็คือ “Jolt” (สวยแรงสูง) กลิ่นอายความเป็นหนังนักฆ่าสาวสุดระห่ำลอยโชยมาแต่ไกลทีเดียว แต่เมื่อได้ลองมาสัมผัสและพิสูจน์ด้วยตาตัวเองแล้ว ก็พบว่านี่คือหนังที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะ ดูเอามันส์ ด้วยไอเดียที่น่าสนใจ แม้จะยังไม่ได้กลมกล่อมรสชาติอร่อยขนาดนั้นก็ตาม เว็บดูหนัง

รีวิว Jolt

รีวิวหนังมาใหม่ Jolt สวยแรงสูง เป็นเรื่องราวของ ลินดี้ หญิงสาวที่เกิดและเติบโตมาด้วยความบกพร่องทางอารมณ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอกลายเป็นสาวอารมณ์ร้อนและพฤติกรรมรุนแรงแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ต้องใช้เสื้อกั๊กประจุไฟฟ้าช่วยยับยั้งอาการนี้ของเธอให้ทุเลาลง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครเจ็บป่วยล้มตายเพราะเธอ แต่กระทั้งเมื่อเธอพบว่าคนรักของตัวเองถูกฆ่าตายอย่างเป็นปริศนา เธอจึงต้องออกโรงสืบเสาะหาต้นหาและใช้พลังความโกรธเดือดดาลของเธอมาเป็นเครื่องมือล้างแค้น

รีวิว Jolt

เราได้เห็น “เคต แบคคินเซล” กลับมารับบทสวยสังหารอะไรแบบนี้อีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใช่บทที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าประทังความคิดถึงคาแรกเตอร์แบบนี้ของเธอได้อยู่เหมือนกัน นับตั้งแต่เรื่อง Underworld ที่สวยเท่ชะมัด แต่มาในเรื่องนี้ตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า เป็นหนังที่สอดแทรกจังหวะโบ๊ะบ๊ะที่อย่าถามหาสาระอะไรมาก อยากจะใส่อะไรก็ใส่ อยากจะโยนอะไรมาก็โยน กลายเป็นหนังประเภทผัดตามใจ ไม่ต้องแคร์แกนเรื่องอันน้อยนิดอะไรมาก

Jolt สวยแรงสูง น่าจะเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ดูฆ่าเวลาได้ เพราะในท้ายที่สุดเมื่อหนังจบลงแล้ว ก็แทบจะไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่ แบบว่าดูผ่านแล้วก็ผ่านเลย เนื่องจากโครงเรื่องและบทหนังค่อนข้างอ่อนเป็นอย่างมาก ประเด็นและจุดหักมุมต่างๆ ซ้ำซากและไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์อะไร แนวทางการพัฒนาตัวละครและคาแรกเตอร์ต่างๆ ก็ยังไม่ดีพอ แม้แต่ตัวนางเอกของเรื่องก็ยังถ่ายทอดออกมาได้แบบแปลกๆ ชอบกล

ถึงแม้ว่าบทหนังจะค่อนข้างเห่ยและเชยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องขอบคุณพลังจากทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้ ที่ต้องร้องโอ้โห้…ออกมาเบาๆ เพราะเป็นหนังแอคชั่นที่พยายามจะทำออกมาให้ดูเฟียรซ์และมาพร้อมกับดาราตัวเป้งๆ ไม่ว่าจะเป็น “สแตนลีย์ ทุชชี่”, “ไจ คอร์ตนีย์”, “บ็อบบี้ แคนนาวาลล์” หรือ “ซูซาน ซาแรนดอน” ที่ยังแอบรู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันว่าไปหว่านล้อมมาเล่นได้ยังไง ดูหนัง

รีวิว Jolt

จะสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า Jolt มีความพยายามที่อยากจะเดินตามรอยหนังแนวนี้อย่าง John Wick หรือ Atomic Blonde แต่ปรับโหมดจากความขึงขังจริงจังมาใส่ความโบ๊ะบ๊ะเข้าไปแทน จึงทำให้ภาพรวมของหนังที่ออกมานั้น ดูความพยายามเกินไปทั้งเรื่อง การเล่าเรื่องที่เรื่อยๆ แสนจะธรรมดา กับการตัดต่อยังไม่ค่อยราบรื่นไปตลอดทั้งเรื่อง บทหนังที่ยังมีรสชาติประหลาดๆ แทรกเข้ามาบ้าง และไม่มีอะไรที่เดาได้ยากเลยในเรื่องนี้

โดยภาพรวมแล้ว Jolt สวยแรงสูง ก็ยังคงเป็นหนังที่ดูได้สนุกและเพลินตามท้องเรื่อง เพียงแค่หนังยังดูพยายามเกินเหตุ จะตลกก็ยังไปไม่สุด จะบู๊จริงจังก็ทำได้ไม่ถึง เป็นหนังที่ยังติดแหง็กอยู่ตรงกลางระหว่างทาง สับสนว่าจะเดินไปทางไหนดี โครงเรื่องและเส้นเรื่องที่ค่อนข้างบางเชียบ แทบจะไร้น้ำหนักกับความโบ๊ะบ๊ะคลั่งรักของตัวละครหลัก แต่ภายใต้ความเห่ยเหล่านี้ ก็ยังสามารถดำเนินเรื่องออกมาได้บันเทิงใจได้อยู่ในระดับนึง

รวมไฮไลท์ Jolt

รีวิวหนังมาใหม่ 1) อีกหนึ่งตัวแม่ของวงการ “เคท เบ็คคินเซล” ที่เคยประกาศศักดาความแซ่บสุดมันส์ให้ทั้งโลกต้องยอมเรียก #แม่ ในแฟรนไชส์สวยพันธุ์อสูร Underworld, ยอดหญิงสู่แวมไพร์ Van Helsing (2004), เมียปลอมล่าเด็ดผัว Total Recall (2012) และล่าสุดขอรีเทิร์นบทบาทแอ็กชั่นสตาร์ด้วย “Jolt สวยแรงสูง” บอกเลยไม่มีผิดหวัง เพราะแม่เคทใส่เต็มและสาดเสน่ห์พุ่งทะลุจอเต็มอัตราเพื่อแฟนๆ โดยเฉพาะ

2) ร่วมระห่ำเดือดสุดลูกไฟ ด้วยนักแสดงสมทบชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ไจ คอร์ตนี่ย์ (Terminator: Genisys), สแตนลีย์ ทุชชี (The Hunger Games), บ็อบบี้ แคนนาวาล (Spy)” และตัวแม่สาวสองสุดฮ็อตล้นคุณภาพ “ลาเวิร์น ค็อกซ์ (Promising Young Woman)”

3) สุดมันส์ยัดไอเดียเด็ด รับประกันความสดใหม่ของแอ็กชั่นไฟแรงสูงด้วยทีมผู้สร้าง Cloverfield (2008), Sin City: A Dame to Kill For (2014), Unhinged (2020) และแฟรนไชส์ The Expendables

4) เดบิวต์งานบทครั้งแรกก็ปังเลย “เดวิด วาสชา” จับความแค้นของผู้หญิงมาใส่ลูกเล่นแพรวพราวและอารมณ์ขันชั้นยอดที่เสียดสีกันไปมา จนทำให้ “Jolt สวยแรงสูง” มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร สมค่าการรอคอยของคอหนังที่อยากสลัดภาพหนังแอ็กชั่นเดิมๆ เนี่ยแหละหนังที่คุณมองหา

5) ร่วมขบวนการความแรงแบบสุดเซอร์ไพรซ์ กับนักแสดงหญิงรุ่นใหญ่เจ้าของรางวัลออสการ์ “ซูซาน ซาแรนดอน” (Thelma & Louise, Enchanted, Cloud Atlas) ตบปากรับคำท้าในบทรับเชิญที่คนดูไม่มีวันคาดถึง

6) บทปัง ฉากเปรี้ยง ด้วยฝีมือสุดละเมียดจากผู้ออกแบบงานสร้างตัวท็อป “รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ” จากหนังแอ็กชั่นโคตรบ้าแห่งยุค Kick-Ass (2010), Kick-Ass 2 (2013) และ The Hitman’s Bodyguard (2017) รอดูเลย ความฉูดฉาด แสงสี นีออนสไตล์ ดีไซน์ไฟแรงสูง ตอบโจทย์ความเปรี้ยวฉบับแม่เคทไม่ให้ละสายตา

7) อย่าให้พวกฉันต้องลงมือ! “Jolt สวยแรงสูง” รวมพลังสุดยอดหญิง #3Queens ทั้งโปรดิวเซอร์หญิง ดาราหญิง ผู้กำกับหญิง จัดเต็มแอ็กชั่นสุดมันส์ไม่แพ้ผู้ชาย คอหนังรอฟินตาตั้งได้เลย

8) สวยสะมัดมันส์หยดติ่ง เพื่อให้ “Jolt สวยแรงสูง” เป็นสุดยอดหนังแอ็กชั่นแรงถึงใจผู้ชม งานนี้เลยต้องดึงตัว “เจมส์ โกรแกน” ผู้กำกับคิวบู๊รุ่นใหญ่ที่เคยฝากฝีมืออันโจษขานมาแล้วใน Avengers: Age of Ultron (2015), Angel Has Fallen (2019) และ Don’t Breathe 2 (2021) รับประกันแอ็กชั่นเด็ด ลีลาปัง แม่เคทสวย คนดูชอบ แน่นอนค่ะ!

9) แอ็กชั่นสะใจ! งานนี้รวมตัวสุดยอดสตั้นต์จากหนังดังฟอร์มฮิต The Bourne Ultimatum (2007), Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2 (2011), Skyfall (2012), Fast & Furious 6 (2013) และ Hitman’s Wife’s Bodyguard (2021) ทุ่มสุดตัวเคียงข้าง “เคท เบ็คคินเซล” เล่นจริง เจ็บจริง ให้ทุกช็อตมันส์ที่สุดไม่ลดลิมิตสักฉากเดียว

10) แก่นเรื่องโดนใจแน่! เพราะเธอต้องควบคุมสิ่งดีและไม่ดีที่มีในตัว พร้อมพลิกความคลั่งแค้นให้เป็นสุดยอดขุมพลังแห่งหญิงที่ทุกคนต้องยอมสิโรราบ งานนี้ผู้ชมชาวหญิงอินจัดตั้งแต่ต้นยันจบแน่นอน เว็บหนัง

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Jolt สวยแรงสูง

ประเภท: แอคชั่น / ตลก
ผู้กำกับ: ทันย่า เว็กซ์เลอร์
นำแสดงโดย: เคต แบคคินเซล, สแตนลีย์ ทุชชี่, ไจ คอร์ตนีย์
ความยาว: 91 นาที
กำหนดฉายในไทย: 30 ธันวาคม 2021 (ในโรงภาพยนตร์)

 

รีวิว Shark Bait

รีวิว Shark Bait

รีวิว Shark Bait

รีวิวหนังมาใหม่ เปลี่ยนทะเลให้กลายเป็นสนามล่า ห้าโคตรคนบ้าต้องปะทะฉลามคลั่ง สวัสดีครับ วันนี้แอดจะมารีวิวหนังสุดระทึกขวัญเมื่อกลุ่มวัยรุ่นต้องเอาชีวิตรอดกับเครื่องจักรสังหารท่ามกลางทะเลสุดกว้างใหญ่ ทันที่ที่มันออกสตาร์ท ความตายก็ไล่ตามหลังแบบนันสต็อปผลงานเรื่องล่าสุดจากผู้สร้าง 47 Meters Down

หลังจากที่ปล่อยภาพโปสเตอร์ไทย และ ตัวอย่างแรกไปแล้ว ผลงานเลือดสาดสุดโหดอย่าง “Shark Bait ฉลามคลั่งซัมเมอร์นรก” ก็สร้างเสียงฮือฮา ปลุกกระแสฉลามคลั่งให้กลับมาอีกครั้ง แถมยังการันตีความสนุกจากผู้สร้าง 47 Meters Down ที่ขอกลับมาขยี้ความระทึกให้แหลกกับนักล่าตัวใหม่ ที่จะทำให้คุณกลัวทะเลตลอดไป

นี่ไม่ใช่แค่หนังฉลามแต่คือหนังไฮคอนเซ็ปต์ ลุ้นระทึกแนวใหม่ ที่จะทำให้ผู้ชมลุ้นไปกับการซิ่งเจ็ตสกีหนีฉลามครั้งแรกบนโลกภาพยนตร์! เพราะเมื่อหนังเริ่มออกสตาร์ทจะไม่มีวินาทีไหนที่คุณจะรู้สึกปลอดภัย ซึ่งผู้กำกับ “เจมส์ นันท์” แฟนพันธุ์แท้หนังฉลามได้สร้างผลงานเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการสดุดีหนังฉลามในตำนานอย่าง “JAWS” ซึ่งเขาต้องทำการบ้านอย่างหนัก ด้วยการดูสารคดีเกี่ยวกับฉลามนับไม่ถ้วน เพื่อสร้างบรรยากาศความระทึกในท้องทะเลให้สมจริงที่สุด จนออกมาเป็นสุดยอดหนังฉลามคลั่ง ที่จะทำให้คุณต้องเสียวขา และ ผวากับทะเลไปอีกนานแสนนาน! ดูหนังฟรี

รีวิว Shark Bait

รีวิวหนังมาใหม่ คือเรื่องราวสุดบ้าของกลุ่มวัยรุ่น ใช้เวลาทริปปิดเทอมไปท่องเที่ยวกันที่เมืองตากอากาศในประเทศเม็กซิโก เมื่อซัมเมอร์หฤหรรษ์ กลายเป็นฝันร้ายสุดหฤโหด เหล่า 5 วัยรุ่นที่คึกคะนองได้นำเจ็ตสกีออกไปซิ่งกลางทะเล และ นั่นคือจุดเริ่มต้นของความวิปโยค เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้พวกเขาต้องลอยคออยู่กลางทะเลลึก ห่างไกลจากชายฝั่ง ไร้สัญญาณ โดยมีเจ็ตสกีเหลือเพียง1ลำ พวกเขาต้องพยายามทำทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เวลาเริ่มนับถอยหลัง เมื่อฉลามคลั่งใต้ท้องทะเล กำลังจ้องเล่นงานพวกเขา

รีวิว Shark Bait

การเอาตัวรอดหนีจากฉลาม ซึ่งที่มีชื่อว่า Shark Bait ของ James Nunn ได้รับการยกย่องจากการเปรียบเทียบในสถานะที่น่ากลัวในปัจจุบันของการตวัดครีบร่วมสมัย ใครๆ ก็สามารถบันทึกภาพสยองขวัญทางน้ำที่น่าตื่นเต้นได้มากกว่า Great White ในปี 2021 หรือ The Requin ในปี 2022 ด้วยกล้องมือถือ สระน้ำตัวเล็ก

รีวิว Shark Bait

และ หุ่นกระบอก Street Sharks ไม่ใช่ตั้งแต่ Deep Blue Sea 3 ในปี 2020 ที่โรงภาพยนตร์ฉลามได้รับการแสดงความยุติธรรม แต่ก็มีการเพิ่มขึ้นใน Shark Bait เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับความหวังสำหรับอนาคต ไม่มีคุณสมบัติที่มองเห็นได้ใด ๆ

นอกเหนือจากธรรมชาติของการพลิกคว่ำ และ ชุดว่ายน้ำที่แตกต่างกัน ของตัวละคร แต่นันน์ดูแลเลือดนองเลือด และ ความสามารถด้านเทคนิคพิเศษ เพียงพอที่จะอยู่เหนืออินดี้อื่น ๆ ที่เข้าใจผิดว่าขากรรไกรของสตีเวนสปีลเบิร์กเป็นการเล่นของเด็กที่กระฉับกระเฉง

รีวิว Shark Bait

และความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่าง The Reef หรือ Open Water กับ Shark Bait คือวิธีการแยกมหาสมุทร ใน Shark Bait สปริงเบรกเกอร์ 5 ตัวขโมยเจ็ทสกี 2 ตัว และ ขี่พวกมันเป็นระยะทางหลายไมล์สู่น่านน้ำชายฝั่งของเม็กซิโก ซึ่งพวกมันชนกันอย่างโง่เขลาขณะเล่นไก่ รถลอยน้ำคันหนึ่งจมลง เกร็ก (โธมัส ฟลินน์) หักขาของเขาอย่างรุนแรง กระดูกที่สัมผัสอยู่รอบ ๆ น้ำเกลือ yikes

และ ไทเลอร์ (Malachi Pullar-Latchman) อาจถูกกระทบกระเทือน แนวชายฝั่งของเม็กซิโกไม่อยู่ในสายตา ไม่ว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร เพื่อทำให้เรื่องแย่ลง (เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง) แนท (ฮอลลี่ เอิร์ล) เด็กสาวจากแคนซัสพบว่าทอม (แจ็ค ทรูแมน) แฟนหนุ่มของเธอนอกใจมิลลี่ (แคทเธอรีน ฮันเนย์) ฉันแน่ใจว่าฉลามที่หิวโหย และ ก้าวร้าวที่โผล่ขึ้นมาจะช่วยให้แนท ทอม และ มิลลี่จัดการเรื่องอารมณ์ของพวกมันได้อย่างสงบ

และ เพื่อนของนักเขียน Bloody Disgusting หลายคน Chris Evangelista ประกาศบน Twitter: “มนุษย์หมาป่า CGI ในภาพยนตร์ควรผิดกฎหมาย” ฉันจะขยายความรู้สึกนั้นให้รวมฉลามด้วยเพราะภาพยนตร์สยองขวัญอินดี้ได้ทำลายศิลปะของสยองขวัญทางน้ำด้วย cheapo, Tomb Raider บน PS1 มองนักล่าจากส่วนลึก The Shallows หรือ 47 Meters Down

ซึ่งหลีกหนีจากการแปลงร่างคนร้ายที่ว่ายน้ำเป็นดิจิทัล เพราะพวกเขามีเงินพอที่จะจัดการฉลามเคลื่อนไหวที่เหมือนจริงซึ่งมีส่วนได้เสีย ดังนั้น มาเข้าเรื่องกันเลย เกิดอะไรขึ้นกับฉลามใน Shark Bait?

และ บางทีผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์อาจได้เรียนรู้บทเรียนหลังจากให้คะแนนบทวิจารณ์อย่างล้นหลามด้วย 47 Meters Down จากนั้นจึงวิจารณ์อย่างหนักกับ Great White ภูมิหลังของ Nunn ในฐานะผู้กำกับแอ็คชั่น (ผู้ทำงานร่วมกันของ Scott Adkins บ่อยครั้ง) และ ความพยายามของทีมสเปเชียลเอฟเฟกต์ของเขาไม่เท่ากับความยิ่งใหญ่ทางคอมพิวเตอร์ของ The Shallows

แต่ฉันกล้าพูดไหมว่าความน่ากลัวของตอร์ปิโดของ Shark Bait ไม่ได้ดูแย่นักในแวบแรก ช่วงเวลาที่การโจมตีด้านล่างหมายความว่า Big Chompy พยายามที่จะกลืนทุกคนบนเจ็ตสกี

แต่จบลงด้วยการหนีบขาที่ไม่สามารถกัดผ่านเปลือกไฟเบอร์กลาสได้เป็นภาพที่อ่อนแอที่สุด เรากลับมาที่ The Requin หรือ Great White เมื่อน้ำกระเซ็น จมูกพุ่งชน และ สัตว์อนิเมชั่นที่ดูโชคร้ายไม่ได้อยู่ในเฟรม ที่อื่น Nunn ใช้ความลึกก้นทะเลที่มืดลงหรือการตัดอย่างรวดเร็วอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้เรามีสิ่งที่ดุร้าย และ เป็นธรรมชาติมากขึ้น

อีกครั้ง บางทีนี่อาจมาจากผู้ประสบภัยจากการโจมตีของฉลามภาพยนตร์ที่น่าสยดสยองหลายครั้งในความทรงจำเมื่อเร็ว ๆ นี้ (นอกเหนือจากราชาฉลาม) แต่ Shark Bait สร้างสัตว์ประหลาดที่น่าหวาดกลัวด้วยการระเบิดที่เปียกโชก

ในส่วนของ นิค ซอลเทรส ผู้เขียนบทภาพยนตร์พยายามทำอย่างที่หลายๆ คนเคยทำมาก่อน: โน้มน้าวผู้ชมว่าตัวละครนั้นโง่พอที่จะติดอยู่ในน่านน้ำที่มีปลาฉลาม ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก เนื่องจากกลุ่มที่ยังเมาสุราไม่สนใจคำเตือนในท้องที่ และขโมยรถที่เช่าได้เพียงเพื่อจะชนพวกเขาเข้าด้วยกันเป็นไมล์ ( และ หลายไมล์) จากฝั่ง

เมื่อติดอยู่แล้ว ก็ยากที่จะคงการทะเลาะวิวาทของพวกเขาไว้ได้ และอุบายจะเผยผลลัพธ์ที่คาดเดาได้มากที่สุด แน่นอนว่าแนทก็ลอยอยู่ เบียดเสียดกันบนเรือสองคนที่ดีที่สุดกับคนรักขี้โกงของเธอ และ เพื่อนของพวกเขา ซึ่งเป็นคู่นอนคนสุดท้ายของเขา ชั้นเชิงของละครนี้ไม่ได้เพิ่มอะไรเลยเพราะ Shark Bait ไม่ใช่มหากาพย์ล่าสุดของเช็คสเปียร์ในปี 2022 หนังฟรี

สรุป Shark Bait

รีวิวหนังมาใหม่ สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากความโง่เขลาเพราะแผนการต้องคืบหน้า หรือถูกต้องกว่านั้น นันน์ต้องทำให้เหยื่อตกอยู่ในอันตรายเพื่อย้อมผืนน้ำให้เป็นสีแดง การแสดงไม่เคยเป็นที่น่ารังเกียจ แต่ส่วนโค้งของตัวละครนั้นเปียกโชกด้วยความคิดโบราณที่ติดอยู่ในทะเล และ ไม่เคยมีความพยายามใด ๆ ที่จะยกระดับ Shark Bait

ซึ่งทำไมฉลามยังไล่ตาม? นักท่องเที่ยวของแนทเดินทางไกลจากแผ่นดินด้วยเจ็ทสกีได้อย่างไร? ทำไมคนงี่เง่าถึงแยกตัวออกจากกัน? เพราะคุณดูฉลามสะบัดอย่างบ้าคลั่งในการป้อนอาหาร! ไม่ว่าทีมผู้สร้างจะปล้ำน้ำอย่างไร

และ เครดิตของ Shark Bait การถ่ายภาพยนตร์ทำให้น้ำทะเลสีฟ้าที่ลึกที่สุด และ สีของชุดว่ายน้ำไฟฟ้าอิ่มตัว ดังนั้นจึงไม่เคยดูน่าเกลียดเลย ยังดีกว่า บาดแผลเมื่อฉลามจู่โจมรุนแรงกว่าที่คาดคิด การตายที่สำคัญ เมื่อตัวละครตัวหนึ่งเกาะติดอยู่กับอีกตัวหนึ่งเพื่อชีวิตอันเป็นที่รัก ร่างกายของพวกเขาจมลงไปถึงเอวขณะที่เมฆสีแดงเข้มขายสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่าง เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง แปลกสำหรับแฟนเลือดสาด ไปดูกันเลย ดูหนังออนไลน์

รีวิว What She Likes

รีวิว What She Likes

รีวิว What She Likes

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับ ณ ในปัจจุบันนี้ซีรีส์วายในเมืองไทยไม่ใช่กลายเป็นเรื่องปกติเป็นที่ยอมรับของสังคมไทยไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าไม่ไช่ของแปลกใหม่แต่ก็ถึงขั้นได้กลายเป็นละครหลังข่าวในช่องใหญ่มาแล้ว แต่ข้ามกลับไปที่ประเทศผู้ให้กำเนิดอย่างญี่ปุ่นที่มีมังงะประเภทบอยเลิฟ มีตัวละครผู้ชายรักกันให้ชวนจิ้นหรือภาษาญี่ปุ่นเรียก “ยาโยย” หรือที่สาวไทยยุค 90s เรียกว่าการ์ตูนวาย กลับก่อร่างสร้างตัวในฐานะมังงะนอกกระแสที่แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก และ ทีละน้อยมันก็กลายเป็นสื่อระดับแมสในหลายพื้นที่รวมถึงที่ประเทศไทยด้วยจึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ดูหนัง ‘What She Likes’ นิยายที่พูดถึงสาววาย และ การปกปิดตัวตนของเกย์ในสังคมโรงเรียนมัธยมญี่ปุ่น

รีวิว What She Likes

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ทีเซอร์ตัวอย่างหนังเรื่องนี้อาจจะแอบสับขาหลอกคนดูไปบ้างนิดหน่อย เพราะเนื้อแท้ และ แก่นแท้จริง ๆ ของ What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน ยอมรับเลยว่าค่อนข้างหนักหน่วง และ หม่นกว่าที่คิดเอาไว้พอประมาณทีเดียว นี่ไม่ใช่แค่หนังวัยใส ที่สาววายมาแอบชอบหนุ่มเกย์แบบโบ๊ะบ๊ะอะไร แต่มันกลับเป็นหนังญี่ปุ่นที่สะท้อนสังคมได้อย่างน่าทึ่ง กับความพยายามสื่อสารข้อความบางอย่างที่แม้แต่สังคมญี่ปุ่นเองก็ยังไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงออกมาได้เต็มคำ ดูหนังฟรี

รีวิว What She Likes

รีวิวหนังมาใหม่ What She Likes ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียน “นาโอโตะ อาซะฮาระ” ที่เคยถูกนำมาไปขึ้นจอเป็นมินิซีรีส์เบา ๆ ทางช่องเอ็นเอชเคมาก่อน เมื่อปี 2019 ก่อนจะถูกหยิบมาขึ้นจอใหญ่ในครั้งนี้ ด้วยฝีมือของผู้กำกับ “โชโกะ คูซาโนะ” ที่เขายังรับหน้าที่ดัดแปลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกเช่นเคย และ กลั่นกรองออกมาเป็นหนังญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความข้อความสำคัญ ๆ เกี่ยวกับการความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะการเปิดใจยอมรับเข้ากับสังคมอย่างเปิดเผย

รีวิว What She Likes

โดยหนังเปิดปมสำคัญที่ร้านขายมังงะในบ่ายวันหนึ่งเมื่อ มิอุระ สาวน้อยชมรมศิลปะที่เป็นสาววายเต็มขั้นได้แอบมาซื้อการ์ตูนบอยเลิฟ และ ได้พบกับอันโด (รับบทโดย คามิโอะ ฟูจู) เพื่อนร่วมชั้นของมิอุระจนเธอต้องขอให้เขาปกปิดความลับเรื่องความคลั่งใคล้มังงะบอยเลิฟของเธอ และ เพื่อให้แน่ใจว่าความลับของเธอจะไม่รั่วไหล มิอุระจึงวางแผนชวนอันโดออกเดต และ พาเธอเข้าสู่โลกของสาววายจนนานวันความรู้สึกของมิอุระก็ท่วมท้นจนเกิดเป็นความรัก โดยหารู้ไม่ว่าอันโดต้องทุกข์ทรมานกับการปกปิดตัวตนว่าเขาชอบผู้ชาย และ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมาโกโตะ (รับบทโดย สึบาสะ อิมาอิ) หนุ่มใหญ่ที่มีเมียกับลูกเป็นตัวเป็นตน

รีวิว What She Likes

จุดที่นับว่าเป็นหมัดเด็ดของหนังคงหนีไม่พ้นความขัดแย้งระหว่างแฟนตาซีของสาววายกับชีวิตอันหวานอมขมกลืนของเกย์หนุ่มที่ไม่อาจมีปากเสียงและบอกเรื่องราวของเขากับใครได้ ซึ่งเป็นมวลที่กระทบกับชีวิตตัวละครตลอดทั้งเรื่อง แต่แทนที่หนังจะออกมาฟูมฟายหรือจิ้นกระจายจนเละเทะ คุซาโนะ โชโกะ ผู้กำกับจาก ‘Bitter Sweet’ กลับบาลานซ์ซีนโรแมนติกชวนอมยิ้มระหว่างมิอุระกับอันโด ซีนดราม่าหนัก ๆ ในความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างอันโดกับมาโกโตะ และซีนชวนช็อกตอนท้ายเรื่องไปสู่บทสรุปที่สวยงามได้อย่างลงตัวมาก ๆ และในขณะเดียวกันมันก็ทำให้สารของเรื่องราวถูกขับเน้นออกมาได้อย่างหนักแน่นอีกด้วย

อีกจุดที่หนังทำได้ดีมาก ๆ คือการจำลองภาพและทัศนคติของคนญี่ปุ่นต่อเกย์ ซึ่งการเอามิอุระที่เป็นสาววายมาเป็นตัวจุดประเด็นก็นับว่าชาญฉลาดมาก ๆ จนทำให้เกิดซีนสุดเจ็บปวดและอึดอัดอย่างฉากทำการบ้านคณิตศาสตร์หรือการเอารูปปั้นเทพต่าง ๆ มาจิ้นกันในทำนองใครรุกใครรับโดยไม่รู้เลยว่าคนที่ฟังเธออยู่อย่างอันโดจะรู้สึกอย่างไร

หรือการเอาความสัมพันธ์ระหว่างมาโกโตะกับอันโดมาพูดถึง ‘ความปกติ’ ในความสัมพันธ์ก็นับว่าชวนคิดและคำนึงถึงความเจ็บปวดที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ไม่น้อย มีคำถามหนึ่งที่อันโดถามมาโกโตะว่าหากเขากับภรรยาของมาโกโตะจมน้ำเขาจะเลือกช่วยใคร ซึ่งความเงียบของมาโกโตะก็เป็นคำตอบได้ดีที่สุดถึงความลังเลของเขา เพราะจะเลือกทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องเลือกซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีคนที่เจ็บปวดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ด้านนักแสดงต้องยอมรับว่าทั้ง อันนา ยามาดะ และ คามิโอะ ฟูจู มีเคมีบนจอที่ลงตัวมาก ๆ อย่างยามาดะเองก็หมั่นตกให้หนุ่ม ๆ คลั่งไคล้เธอได้ไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งเรื่อง และพอถึงซีนดราม่าเราก็พร้อมจะเสียน้ำตาไปกับเธอได้ ด้าน คามิโอะ ฟูจู ก็พลิกบทบาทจากนักเลงเท่ ๆ ใน ‘High and Low The Worst’ มาสู่บทเกย์หนุ่มที่เหมือนหาที่ยืนตัวเองในสังคมไม่ได้จนเราอดรู้สึกเห็นใจและเศร้าบาดลึกไปกับเขาไม่ได้เลย

What She Likes ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียน “นาโอโตะ อาซะฮาระ” ที่เคยถูกนำมาไปขึ้นจอเป็นมินิซีรีส์เบา ๆ ทางช่องเอ็นเอชเคมาก่อน เมื่อปี 2019 ก่อนจะถูกหยิบมาขึ้นจอใหญ่ในครั้งนี้ ด้วยฝีมือของผู้กำกับ “โชโกะ คูซาโนะ” ที่เขายังรับหน้าที่ดัดแปลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกเช่นเคย และกลั่นกรองออกมาเป็นหนังญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความข้อความสำคัญ ๆ เกี่ยวกับการความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะการเปิดใจยอมรับเข้ากับสังคมอย่างเปิดเผย

ในช่วงแรก ๆ ของหนังอาจจะปูเรื่องมาด้วยทิศทางผ่อนคลาย ใส่ความใสและความน่ารักของวัยรุ่นเข้ามากำลังพอดี แต่เมื่อจุดเครื่องติดและย่างเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังแล้ว หนังค่อย ๆ กดอารมณ์ผู้ชมไปทีละน้อย ผ่านภาวะและความรู้สึกของตัวละครที่เกือบจะเข้าถึงแก่นแท้ได้เลย แม้ว่าจะน่าเสียดายที่การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ ยังค่อนข้างขาดความกระชับ และเล่าไปได้อย่างช้าเนิบเกือบจะน่าเบื่อไปในหลายจุด เพราะหนังก็ยังคงมีความเป็นญี่ปุ่นถูกใส่เข้ามาตามสูตร หากสามารถทำให้กระชับขึ้นกว่านี้สักหน่อย น่าจะกลมกล่อมกำลังพอดี หนังฟรี

แต่เอาจริง ๆ แม้ว่าข้อความเกี่ยวกับเรื่องความหลากหลายทางเพศของหนังเรื่องนี้นั้น จะพยายามเค้นออกมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าหนังยังไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้สุดเต็มกำลัง ยังใช้วนอยู่ในพื้นที่เซฟโซนของตัวเองในบางจุด ทำให้หนังที่น่าจะไปสุดได้กว่านี้ ยังรู้สึกก่ำกึ่งและครึ่ง ๆ กลางอยู่ไปหน่อย แต่อย่างน้อย หนังก็ยังมีข้อดีมากกว่าข้อด้อย โดยเฉพาะแนวทางในการสร้างความเชื่อมโยงในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างชัดดี

สรุป What She Likes

รีวิวหนังมาใหม่ การแสดงของนักแสดงก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ช่วยบัลลานซ์ตัวหนังเอาไว้ได้ “ฟูจู คามิโอะ” แบกรับหนังเรื่องนี้ในด้านความสับสนและการค้นหาตัวเองที่ออกมาจากอินเนอร์ทางการแสดงของเขาที่น่าพอใจ ในขณะที่ “อันนะ ยามาดะ” มาเป็นตัวแทนในด้านความสดใสของเขา ที่ต้องแปดเปื้อนกับผลจากการกระทำของอีกตัวละคร ที่เมื่อทั้งคู่มาอยู่ด้วยกัน กลายเป็นการแสดงที่เกื้อหนุนกันดีและประคับประคองหนังไปได้ตลอดทาง

แอบคิดอยู่เล็ก ๆ เหมือนกันว่า ถ้าหากว่า What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน ไม่มีการใส่อินเนอร์ความกระจ่างใสเข้ามาสอดแทรกในหนังเรื่องนี้ ก็น่าจะทำให้หนังเรื่องนี้เป็นดราม่าที่หม่นจัด ๆ ไม่เบาเลยทีเดียว และอาจจะหม่นหมองเกินไปสักหน่อย แต่จังหวะที่หนังเลือกใช้เข้ามาทั้งหมดก็ถือว่ากำลังพอเหมาะพอดี ไม่เบาไปและก็ไม่หนักเกินไป ด้วยสูตรสำเร็จตามแบบฉบับญี่ปุ่น แต่หนังก็ทิ้งข้อความเอาไว้ในผู้ชมได้คิดตามอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของเรื่องนี้ ที่แอบขนลุกกับแนวคิดของตัวละครทั้งคู่ไม่เบา

สรุปแล้วหนัง ‘What She Likes’ สร้างเซอร์ไพรส์ให้ผมไม่น้อยเลยครับ เพราะยอมรับว่าหนังโรแมนติกวัยรุ่นของญี่ปุ่นไม่ใช่แนวที่ผมสนใจเท่าไหร่ แต่จากบทหนัง การแสดงและองค์ประกอบต่าง ๆ ของหนังก็ทำให้ยากล่ะครับที่ใครได้ดูแล้วจะไม่ตกหลุมรักมัน ดูหนังออนไลน์

จุดเด่น

  • เป็นหนังโรแมนติกที่ดูได้ทั้งสายวายและสายโรแมนติกดรามาหนัก ๆ
  • เคมีระหว่าง อันนา ยามาดะ กับ คามิโอะ ฟูจู เข้ากันมาก แท็กทีมกันสร้างความใจเจ็บให้คนดูกันทั้งเรื่อง
  • งานภาพละมุนตามาก ๆ โลเคชันที่เลือกถ่ายก็แปลกใหม่ ได้มุมมองและสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่จะต้องไปเช็กอินให้ได้

จุดสังเกต

  • หนังมีความดรามาหนัก ๆ อาจไม่ถูกใจสายโรแมนติกแบ้ว ๆ หรือหวังจะได้เห็นผู้ชายจิ้นกันนัก
  • เตือนไว้ก่อนว่าหนังมีซีนตึงเครียดอยู่พอสมควร และอาจมีพฤติกรรมบางอย่างที่ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ

เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้ว What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน นับว่าเป็นดราม่าที่มีประเด็นเกี่ยวกับการเปิดรับความหลากหลายทางเพศที่อาจจะยังไม่ได้เปิดทางออกได้สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ค่อย ๆ พยายามให้สังคมเปิดใจและกล้าที่พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเราทราบกันดีว่า สังคมญี่ปุ่นยังไม่ได้เปิดรับกับความหลากหลายมากนั้น แต่ปัจจุบันยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว และทุก ๆ สังคมก็ย่อมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและอยู่ร่วมกับความหลากหลายไร้ขอบเขต ที่เป็นโจทย์ที่หนังเรื่องนี้พยายามจะสื่อสารออกมานั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน

ประเภท: ดราม่า / โรแมนติก
ผู้กำกับ: โชโกะ คูซาโนะ
นำแสดงโดย: ฟูจุ คามิโอะ, อันนะ ยามาดะ
ความยาว: 121 นาที
กำหนดฉายในไทย: 19 พฤษภาคม 2022 (ในโรงภาพยนตร์)