รีวิว The Beast
รีวิวหนังมาใหม่ สำรหับในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้อาจจะมีหนังเกาหลีหนังเอเชียต่าง ๆ เข้าฉายในบ้านเราซะเต็มไปหมดเลยทีเดียว จนเรียกได้ว่าบางทีก็ดูไม่ทันเหมือนกัน เนื่องจากบางเรื่องก็โดนลดรอบอย่างลดรวดเร็ว บางโรงก็จัดรอบซะเช้าตรู่ หรือไม่ก็ดึกดื่นชนิดถ่างตารอดูกันไม่ไหว The Beast ก็น่าจะถือเป็นหนังอีกเรื่องที่อยู่ในหมวดหมู่นี้ และ คิดว่าอีกไม่กี่วันหนังก็คงจะลาโรงฉายไปอย่างเงียบ ๆ บอกเล่าเรื่องราวของผู้กองฮันซู (อี ซองมิน) นายตำรวจแผนกฆาตกรรม ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง เว็บดูหนัง
โดยศพล่าสุดเป็นหญิงสาวในวัยเรียนที่ร่างของเธอถูกชำแหละ แล้ว นำมาทิ้งเอาไว้ที่ริมชายหาดในสภาพน่าหวาดผวา ระหว่างที่สืบคดีอยู่นั้น ผู้กองมินเต (ยู แจมุง) ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วย ให้มาร่วมกันไขคดีในครั้งนี้ ทว่านี่ไม่ใช่การร่วมมือกันระหว่างสองนายตำรวจมากฝีมือ หากเป็นคู่เกาเหลาที่ชิงดีชิงเด่นกันในหน้าที่การงาน ไม่กินเส้นกัน แถมยังพยายามจับพิรุธในการทำงานของฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก
รีวิว The Beast
รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องย่อ ในโซลเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดโหดที่ยังไม่สามารถจับฆาตกรมาลงโทษได้ ทีมของ ผู้กองฮันซู ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในชุดสืบสวนของคดีนี้ โดยมีคู่แข่งเป็นทีมของ ผู้กองมินเต ซึ่งทั้งคู่มีเดิมพันใหญ่ว่าหากใครปิดคดีนี้ได้จะได้รับการเลื่อนชั้นเป็นหัวหน้าหน่วยคนใหม่ และ ยิ่งสืบไปก็ยิ่งแข่งกันเข้มข้นจนเริ่มไม่เลือกวิธีการ แล้ว ใครกันแน่คือสัตว์ร้ายตัวจริงในเรื่องนี้?
ความสนุกของ The Beast คือการวางพล็อตให้ผู้กองฮันซู เป็นตัวละครสีเทา แค่ฉากเปิดเรื่องในการนำผู้ต้องสงสัยไปทรมาน และ ทิ้งไว้ที่นอกเมืองก็พอจะทำให้คนดูพอคาดเดาได้เลยว่า ตัวละครนี้ไม่ได้เป็นตำรวจที่ทำงานแบบมือสะอาดสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำเขายังเคยพัวพันกับบรรดาอาชญากรที่ถูกไหว้วานให้เป็นสายสืบในดงโจร อย่างเช่นชุนเบ (จอนเฮจิน) อดีตอาชญากรหญิงที่อยู่ในแก๊งค้ายา และ ดันซวยติดคุกอยู่นานกว่า 3 ปี เมื่อเธอพ้นโทษออกมา เธอเลยวางแผนก่ออาชญากรรมด้วยการไปฆาตกรรมเจ้านายเก่า และ ทำให้ผู้กองฮันซูกลายเป็นพยานแบบไม่ทันตั้งตัว
พล็อตหลักของหนังคือการสืบคดีฆาตกรรมโหดที่พาคนดูไปสำรวจความฟอนเฟะในแวดวงการทำงานของตำรวจ พลางสะท้อนปัญหายาเสพย์ติดอันเป็นปัญหาระดับภูมิภาค ปัญหาสังคมในเชิงความล้มเหลวของครอบครัว ซึ่งก็เป็นความสนุกที่เปิดโอกาสให้คนดูได้คาดเดาไปต่าง ๆนานาว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ส่วนพล็อตรองของเรื่องคือการพยายามกลบเกลื่อนหลักฐานในคดีที่เขาไปเกี่ยวพันกับชุนเบ และ อาจจะส่งผลให้เขามีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกร และ อาจจะหลุดจากตำแหน่งในการเป็นหัวหน้าแผนกคนต่อไปให้กับผู้กองมินแต
ระหว่างที่หนังดำเนินไปเรื่อย ๆ เราจะได้เริ่มเห็นความซวยที่ถาโถมเข้าหาตัวเอกอย่างผู้กองฮันซูในแบบที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอี ซองมินก็ถ่ายทอดความวิตกจริตของเขาออกมาได้ดีมากราวกับคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป เขากลายเป็นคนที่ขาอีกข้างอยู่ในตาราง และ สภาพจิตใจอยู่ในโรงพยาบาลคนวิกลจริตไป แล้ว เรียบร้อย
อันที่จริงชื่อหนังอย่าง The Beast อันแปลว่า “อสูรร้าย” อาจจะไม่ได้หมายถึงฆาตกรต่อเนื่อง แต่ความเป็นจริงอาจจะหมายถึงตัวละครเอกทั้งสองคนทั้งผู้กองฮันซู และ ผู้กองมินเตที่ต่างฝ่ายต่างก็ “เลือดเย็น” ใส่กันราวกับพวกเขาไม่ใช่มนุษย์!
ผลงานสุดเดือดของผู้กำกับ อี จุงโฮ (Lee Jung-Ho) ที่เคยฝากผลงานในแนวสืบสวนระทึกขวัญมา แล้ว ถึง 2 เรื่อง อย่าง Best Seller (2010) และ Broken (2014) มาในเรื่องล่าสุดนี้ เขาได้ดึง อี ซองมิน (Lee Sung-Min) นักแสดงคู่บุญที่เล่นให้เขามาทุกเรื่องมารับบทนำหลัก ผู้กองฮันซู นายตำรวจสายสัญชาตญาณ ที่ใช้วิธีการเทา ๆ ปิดคดีสำคัญมา แล้ว มากมาย โดยเขาต้องปะทะกับนักแสดงนำสุดเก๋าพอกันอีกคนอย่าง ยู แจมุง (Yoo Jae-Myung) ที่รับบท ผู้กองมินเต ซึ่งพยายามไล่กวดผลงานของฮันซูแบบหายใจรดต้นคอ เพราะทั้งคู่แม้เป็นอดีตคู่หูตำรวจแต่ในตอนนี้คือคู่แข่งสำคัญในการแย่งเก้าอี้หัวหน้าหน่วยคนใหม่ที่มีที่เดียว
(ซ้าย) อี ซองมิน (ขวา) ยูแจมุง
ความน่าสนใจอีกประการของหนังมาจากการร่วมสร้างระหว่างเกาหลีและฝรั่งเศส โดยฝั่งฝรั่งเศสนั้นได้ Gaumont ที่เป็นถึงสตูดิโอที่เคยทำหนังอย่าง Léon: The Professional (1994) และ The Fifth Element (1997) มาแล้ว และครั้งนี้ก็เป็นการนำหนังเก่าของสตูดิโอมาให้ฝั่งเกาหลีรีเมก โดยนำพลอตมาจากเรื่อง 36 Quai des Orfèvres (2004) ที่ว่าด้วย 2 ตำรวจแข่งกันสืบคดีปล้น ซึ่งครั้งนี้เกาหลีได้นำมาพลิกเป็นการสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มเส้นเรื่องของตัวฆาตกรตีคู่ไปพร้อมกันด้วย ก็ช่วยเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้นไปอีก
จุดเด่นของหนังคงต้องยอมรับว่ามาจากการแสดงที่ดึงความสนใจคนดูให้เอาใจช่วยได้ตลอดเรื่องของ อี ซองมิน ที่ถ่ายทอดภาวะคนจิตใจดีที่ตกในช่วงวันผีซ้ำด้ำพลอยจนเขาเริ่มจะจิตหลุดไปทีละน้อย ทั้งนี้ตัวบทก็ส่งเสริมตัวละครนี้ได้ดีด้วยก็ต้องชื่นชม เพราะนอกจากจะสร้างสถานการณ์ชวนลุ้นมากมาย ยังใส่ปมเงื่อนที่ตัวละครก่อหรือรับผลกรรมจากอดีตมาพัวพันในปัจจุบันจนอีรุงตุงหนังได้เป็นผลสำเร็จ เป็นความวายป่วงที่แก้ปมหนึ่งก็ไปรัดแน่นอีกปมหนึ่ง คนดูยังคิดไม่ออกว่าจะมีทางออกอย่างไร ตัวละครยิ่งไปใหญ่เพราะยิ่งฝืนแก้ปัญหายิ่งบานปลายจนมุมที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง
อีกส่วนที่ทำได้ดีของหนังคือการที่วางแก่นเรื่องว่าด้วยการแก่งแย่งชิงดีระหว่าง 2 นายตำรวจ ที่เคยเป็นคู่หูกัน มันทำให้แนวหนังแตกต่างจากหนังสืบสวนคดีปกติทั่วไป และ ยิ่งการวางซับพลอตมาช่วยเสริมได้อย่างสนุกทั้ง พลอตฆาตกรต่อเนื่องที่ฝั่งตำรวจถูกชักจูงให้หลงทางอยู่เรื่อย อดีตสายข่าวของตัวเอกที่ออกจากคุก และ มีเป้าหมายล้างแค้นคนที่ทำให้ต้องติดคุกจนพาตัวเอกเข้าไปพัวพันคดีความควายเข้ามาแทรกไปอีก แล้ว ที่สั่นสะเทือนจิตใจเราที่สุดคงเป็นพลอตเสียดสีสังคมที่ว่าด้วยอิทธิพลแก๊งต่างชาติในเกาหลีที่มีทั้ง ญี่ปุ่น จีน และ แน่นอนผีน้อยพี่ไทย โดยประโยคชวนสะอึกที่ว่า นี่คือสถานที่ที่เหล่าขยะมารวมกัน เพราะก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้คนไทยเป็นตัวร้ายที่นำพาปัญหาอาชญากรรมทั้งยาเสพติด และ ค้ามนุษย์เข้าสู่เกาหลีจำนวนมากจริง ๆ ดูหนัง
สรุป The Beast 2019
รีวิวหนังมาใหม่ ในขณะที่ช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ที่เริ่มเป็นฉากแอ็กชั่น และการเล่าเนื้อหาหลักนั้นทำได้ค่อนข้างแย่มากในบางช่วง และดีในบางช่วง ความสมเหตุสมผลเริ่มหาไม่ได้จากเรื่องนี้ การคลายปมต่าง ๆ ภายในเรื่องคลายได้ง่ายเกินไป และมีการตัดฉากไปมา จนทำให้หนังเรื่องนี้ขาดความต่อเนื่องยาวจนทำให้ผู้ชมหงุดหงิดได้ไม่ใช่น้อย ตำรวจเหมือนเป็นเพียงแค่ตัวประกอบสำหรับเรื่อง ไม่ได้เป็นส่วนจำเป็นของเรื่องไม่ต้องใส่มาก็ยังได้เลย ส่วนตัวร้ายที่เหมือนจะเป็นตัวเด่นกลับไร้ราคาในหนัง
โผล่มาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น จึงทำให้รู้สึกผิดหวังบ้างเมื่อรับชม แต่บางช่วงอย่างการทำฉากย้อนอดีตของตัวละครเองก็ทำได้ดีเช่นกัน อย่างการคลายปมของตัวเอกมันมีอิมแพ็คมาก และฉากแอ็กชั่นที่สนุกทำให้เรื่องมันไปต่อได้ แม้ว่ามันอาจจะเหมือนฉากแอ็กชั่นทุนต่ำก็ตาม แต่ก็ยอมรับว่า ตอนจบของเรื่องมีการคลายปมของตัวละครทั้งหมดแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็จบภายในเรื่องของตัวมันเองได้
ฉากแอ็กชั่นต้องยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ไม่สามารถหาความบาลานซ์ที่สุดในเรื่องแล้วก็เป็นได้ บางฉากก็ดีมาก บางฉากก็ตลก บางฉากก็เล่นห่วย เหมือนทำสุ่ม ๆ ให้ผู้ชมได้เจอกันไป เหมือนพยายามจะบอกว่าหนังเรื่องนี้มีทุนสร้างที่ไม่เพียงพอ เราจึงต้องลดทอนหลาย ๆ อย่างภายในหนัง ซึ่งสิ่งนี้เป็นใจความสำคัญที่สุดในหนังประเภทแอ็กชั่นนี้เลยก็ว่าได้ การที่ลดทอนสิ่งนี้ก็เหมือนทำให้คุณค่าลดลง อย่างเช่นในบางฉากที่ฝั่งตัวร้ายที่มีปืนทุกคน แต่พอเป็นอีกที่ที่มีเป็นสิบคน
กลับกลายเป็นว่าปืนมีกระบอกเดียวเพียงทั้งซีน,ฉากแอ็กชั่นที่ดูตลกมาก และการแสดงของตัวประกอบที่ย่ำแย่มาก ไม่รู้สึกถึงพลังของการกระทำเลย จึงให้คะแนนในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับกับฉากที่ดี แต่ไม่ได้ดีมาก การแสดงก็เป็นอะไรที่พูดยากอีกเช่นกันว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ เพราะบทพูดที่แต่ละคนได้มา การพูดของตัวละครทั้งเรื่องเราจะได้เห็นอยู่เพียงไม่กี่แบบเท่านั้น สิ่งที่ได้เห็นคือ ตัวละครเก๊กเท่ และตัวละครเศร้าแต่เศร้าไม่สุด
อารมณ์ตัวละครเราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม, ความดีใจ หรือ ความสูญศรัทธาเลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกของหนังเราอาจจะเห็นว่าการแสดงมันก็ดูปกติ แต่พอดูไปเรื่อย ๆ มันกลับเป็นการแสดงที่ซ้ำซากมาก การแสดงของตัวละครหลักบางคนไม่สามารถกระชากใจคนดูได้ ยกเว้นการแสดงของตัวเอกที่เขาเป็นอาการป่วยทางจิตจริง ๆ เขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็น และเหมือนมากแค่ไหน เขานิ่งเงียบไม่คุยกับใคร คาแร็กเตอร์ที่ยังคงเป็นคาแร็กเตอร์ตั้งแต่ต้นจนจบ มันทำให้ตัวละครนี้ ทำออกมาได้ดีมาก จึงทำให้สงสัยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงมีสิ่งแย่ผสมดีเยอะขนาดนี้
สรุปว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าจะเป็นที่โปรดักชั่น และเงินทุนที่อาจจะบริหารไม่ดีพอ จนทำให้หนังในเรื่องมีฉากดีปนฉากแย่เยอะขนาดนี้ แต่เรื่องนี้เองก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่นักสำหรับคนที่จะดูหนังประเทศอื่นบ้าง เพราะยังมีความสนุกและความบันเทิงให้ได้รับชมอยู่ แม้จะมีหลายจุดที่ขัดใจบ้าง
สรุปท้ายนี้ก็คงติติงที่ว่าหนังเล่าเรื่องค่อนข้างนานมาก แม้จะเล่าได้น่าสนใจน่าติดตามชวนลุ้นในชะตากรรมของแต่ละตัวละคร แต่เทียบกันในกลุ่มหนังใกล้เคียงกัน ความยาวของหนังที่มากก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้คนดูมีสมาธิจดจ่อกับหนังได้ตลอด ซึ่งไอ้เรื่องนี้ด้วยรายละเอียดยุ่บยั่บมันดันต้องตั้งใจดูเสียด้วยนี่สิ เว็บหนัง
ใครชอบแนวสืบสวน ดราม่าเข้ม ๆ โพรดักชันงาม ๆ หรือใครกำลังอินดราม่าช่วงเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายในที่ทำงาน เรื่องนี้นี่ตบตีชิงดีกันอย่างกับละครหลังข่าว ต้องดูเลย
จุดเด่น
– การแสดงที่ดี ดราม่าเข้มข้น
– พลอตแย่งชิงทำผลงานขัดแข้งขัดขาในคดีฆาตกรรม ดูแปลกน่าสนใจดี
– โพรดักชันสวย ดีไซน์หนังดี
จุดสังเกต
– ตัวละครเยอะ ซับซ้อน
– หนังค่อนข้างยาว ต้องใช้สมาธิสูง
– ซับพลอตเยอะ อาจทำแก่นเรื่องแผ่วบ้างบางจุด