Tag Archives: เว็บหนัง

รีวิว Promising Young Woman

รีวิว Promising Young Woman

รีวิว Promising Young Woman

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับหนังรักอินดี้เรื่องนี้ที่แอดอยากเล่า เรื่องราวของ Cassie จากการสูญเสียเพื่อนที่เป็นที่รักอย่าง Nina ไป เธอลาออกจากคณะแพทย์ และ มาทำงานเป็นลูกจ้างร้านกาแฟ แต่ในบางราตรี เธอก็แปลงร่างเป็นสาวแซ่บแกล้งเมา รอตะครุบเหยื่อสุภาพบุรุษที่หวังดีแต่ฉวยโอกาสลวนลาม และ ข่มขืนผู้หญิงที่เมาไม่ได้สติในผับบาร์อย่างเธอ หนังเล่าเรื่องราวชีวิตของ Cassandra หรืออีกชื่อก็คือ Cassie (Carey Mulligan เป็นผู้เข้าชิงออสการ์จาก An Education) ที่ยังไม่สามารถ move on เว็บหนัง

วันหนึ่ง Cassie ได้เจอกับคุณหมอ Ryan (Bo Burnham จาก The Big Sick) เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนแพทย์ ทำให้เธอได้ทราบข่าวคราวของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ที่เคยทำลายชีวิตของ Nina ว่า คนเหล่านั้นกำลังมีชีวิตที่ดี ทั้งชีวิตครอบครัว และฐานะหน้าที่การงาน เธอจึงเริ่มปฏิบัติการล้างแค้นคนเหล่านั้นเป็นรายคน ตั้งแต่ Al Monroe (Chris Lowell จาก The Help) ผู้ที่ทำลายชีวิต Nina โดยตรง, ​Madison (Alison Brie จาก The Post) เพื่อนสาวผู้ ignorant, คณบดีที่เข้าข้าง Al เพิ่งเพราะเขาเป็นนักศึกษาชายอนาคตไกล, ผู้พิพากษา ? ผู้ตัดสินให้ Al ได้รอดพ้นผิด ฯลฯ

รีวิว Promising Young Woman

รีวิวหนังมาใหม่ แคสแซนดรา (แครีย์ มัลลิแกน) สาวร้านขายขนมผู้มีงานอดิเรกคือการออกเที่ยวกลางคืน และ แกล้งเมาเพื่อล่อลวงผู้ชายที่หวังดีประสงค์ร้ายต่อร่างกายของสาว ๆ ที่ไร้สติไปแก้แค้นเมื่ออยู่เพียงตามลำพัง การแก้แค้นของเธอดำเนินต่อไปโดยซ่อนปมในอดีตสมัยที่เธอยังเป็นนักเรียนแพทย์เอาไว้ จนกระทั่งเธอได้พบ ไรอัน (โบ เบิร์นแฮม) เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียน ที่นำพาทั้งความโรแมนติก และ การระลึกถึงบาดแผลในอดีตกลับมาให้ชัดเจนอีกครั้ง การแก้แค้นมากชั้นเชิงนี้จะจบอย่างไร? ความรักจะเปลี่ยนเธอให้รู้จักการอภัยได้หรือไม่? ต้องติดตาม

หลังจากเวทีลูกโลกทองคำประกาศผู้เข้าชิงสำหรับปี 2021 หนังเรื่อง Promising Young Woman ก็กลายเป็นที่จับตามอง ด้วยการที่หนังสามารถเข้าชิงถึง 4 รางวัลในสาขาหลัก ทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมฝั่งดราม่า รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมและ รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากฝีมือกำกับ และ เขียนบทครั้งแรกของ เอมเมอรัลด์ เฟนเนลล์ ผู้ที่เราอาจคุ้นหน้าจากผลงานการแสดงของเธอมากกว่า จากบท คามิลลา ในซีรีส์ The Crown ซีซันล่าสุดทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งสำหรับงานเบื้องหลังเธอก็ฉายแสงไม่ธรรมดาตั้งแต่งานชิ้นแรกทีเดียว

รีวิว Promising Young Woman

เอมเมอรัลด์ เฟนเนลล์ (เสื้อคลุมขาวตรงกลาง) และรางวัลสุดท้ายที่หนังเข้าชิงคือรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ของ แครีย์ มัลลิแกน ซึ่งเธอเคยเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงมาแล้วทั้งเวทีออสการ์ และ ลูกโลกทองคำจากหนัง An Education (2009) และนี่เป็นอีกครั้งที่เธอเล่นในหนังของผู้กำกับหญิงเก่งและโชว์ฝีมือการแสดงได้น่าสนใจ

ต้องยอมรับว่าเมื่ออ่านเรื่องย่อเรามีความคาดเดาประมาณหนึ่งว่านี่จะเป็นหนัง พลังหญิงในแนว ล่า ที่ออกตามแก้แค้นพวกผู้ชายที่เคยทำร้ายสตรีเพศทั้งหลาย กลิ่นคาวเลือด และ ความบ้าคลั่งแบบหนังเกรดบีแทบจะลอยออกมาผ่านตัวอักษรได้เลย

ฉากที่ยั่วล้อ โจ๊กเกอร์ ของค่ายดีซี สะท้อนภาพคนธรรมดาที่บ้าคลั่งเพราะความอยุติธรรม แต่ทว่าเมื่อหนังเล่าผ่านไปได้เพียง 20 นาที เราก็จะรู้ตัวทันทีว่าเรา พลาด และ มองผิดไปไกลโขอยู่ เพราะไม่เพียงการแก้แค้นของตัวเอกจะไม่ได้แขยงสายตาแล้ว มันยังเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมทางจิตใจ และ หักความรู้สึกผู้ชมได้อย่างน่าปรบมือให้ ต้องยอมรับการหลอกล่อผ่านบทหนังที่มีกลิ่นตลกร้ายให้หัวเราะในลำคอได้ตลอด

รวมถึงการนำเสนอที่แยบคายของเฟนเนลล์ที่กระแทกคำถามใส่ในใจผู้ชมได้ตลอดเรื่อง เกี่ยวกับนิยามคำว่าสุภาพบุรุษ และ ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเราจะเป็นคนดีจริง ๆ หรือเปล่า? ซึ่งมันก็กลายเป็นว่าหนังมันสมเหตุสมผลสุด ๆ ขณะเดียวกันก็แสบสันต์ชวนสะใจสำหรับผู้ชมได้อย่างดี

แม้การปรากฏตัวของ ไรอัน เพื่อนหนุ่มแสนดีสมัยเรียนของตัวเอก จะไม่ได้เป็นสิ่งเกินคาดเดาว่าเขาจะพาเรื่องไปอย่างไร และ จะมีบทสำคัญในช่วงหลังอย่างไร ทว่าในความเดาได้นั้น เฟนเนลล์ก็ยังเก็บลูกไม้ในรายละเอียดที่เราคาดไม่ถึง อัดใส่เราได้เรื่อย ๆ อยู่ดี

รีวิว Promising Young Woman

และ การที่เฟนเนลล์ดึงนักแสดงสายเดี่ยวไมโครโฟนอย่าง โบ เบิร์นแฮม ที่มีผลงานตลกเวที และ งานเบื้องหลังที่ประสบความสำเร็จสูง อย่างการกำกับ และ เขียนบทหนัง Eighth Grade (2018) ที่กลายเป็นหนังแห่งปีของ AFI มารับบทไรอัน มันก็ลงตัวเหมาะเจาะ เมื่อต้องการผู้ชายสักคนที่ภาพลักษณ์ดูสะอาด และ ไร้พิษภัย ซึ่งเบิร์นแฮมก็แทบจะเป็นไรอัน ที่คนดูไว้ใจได้แทบจะทันทีที่ปรากฏตัว โดยไม่ต้องแสดงอะไรมากมายเลย เว็บดูหนัง

โบ เบิร์นแฮม ผู้กำกับสายรางวัลดาวรุ่งที่มาร่วมแสดง แต่หากจะชื่นชมการแสดงในเรื่องนี้แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องยอมรับว่า แครีย์ มัลลิแกน คือคนที่โดดเด่นในหนังที่สุด แม้ว่าบทหนังจะไม่ได้อำนวยให้เธอได้โชว์เทคนิคมากมายนักในบางช่วงเวลา แต่เมื่อหนังต้องการความลึกในการแสดง เธอก็สามารถเฉิดฉาย และ ทำให้เราจดจำเธอในฉากนั้นได้อย่างไม่พลาดสักนาที ไม่ว่าจะการใช้สายตานิ่ง ๆ จ้องใส่เหยื่อหนุ่มที่หลงกลติดกับอยู่กับเธอสองต่อสอง

จนผู้ชมเองยังต้องหงอตาม หรือช่วงที่เผยปมดราม่าในใจอันซับซ้อนของเธอที่บางครั้งขัดแย้งกันเองระหว่างการล้างแค้นหรือการให้อภัย ตลอดจนบรรดาสายตาผิดหวังในมนุษย์ที่ภายนอกดูเป็นคนดีเสียเหลือเกิน แต่ภายในกลับช่างเหม็นเน่า ทำให้หนังเป็นมากกว่าหนังล้างแค้นไปมากทีเดียว และ ถ้าว่าไปมัลลิแกนมองการแสดงหลายเฉดในหนังเรื่องเดียวได้น่าทึ่งมาก ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นหญิงใสซื่อที่ตกหลุมรักหรือหญิงโรคจิตที่หมกมุ่นกับการล้างแค้น เธอทำให้เราเชื่อได้หมดแม้จะเป็นฉากที่อยู่ถัดกันเลยก็ตาม

สรุป Promising Young Woman

รีวิวหนังมาใหม่ สิ่งที่สุดท้ายที่คงต้องขอชมคือการออกแบบศิลป์ และ การถ่ายภาพที่พยายามสะท้อนสัญญะบางอย่างให้เราได้ขบคิด เช่นการวางกรอบสี่เหลี่ยมไว้หลังนางเอกเพื่อให้นางเอกยื่นหน้าผ่านเส้นขอบสมมติออกไป ในฉากที่นางเอกเกิดการเปลี่ยนแปลงทลายกำแพงในใจบางอย่าง หรือการใช้ทรงผมของนางเอกเพื่อเผยปรากฏการณ์ภายในใจของตัวเอกในแต่ละช่วงเวลาของพัฒนาการในหนังก็นับว่า คิดมาถี่ถ้วน และ ตั้งใจไม่น้อยทีเดียว คือดูเรื่องราวของหนังก็สนุก ดูรายละเอียดการออกแบบหนังเองก็ไม่น่าเบื่อ ได้ครบทั้งการตกแต่งหน้า และ ไส้ในจริง ๆ

นอกจากโจ๊กเกอร์ ตัวเอกยังแต่งตัวที่ชวนนึกถึงฮาร์ลีย์ ควินน์ ซึ่งสะท้อนทั้งบุคลิกตัวละคร และ อาจยั่วล้อ มาร์ก็อต ร็อบบี้ ที่มาเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังด้วย ชื่อหนังสือที่ตัวเอกอ่าน ก็เป็นชื่อหนังสั้นเรื่องแรกของเฟนเนลล์ด้วย

เป็นทั้งกรอบกำแพง และ วงรัศมีนางฟ้า
แม้การหักมุมของหนังจะมีความเหี้ยมเกรียม และ ทำเอาจุกได้มากกว่าฉากแหวะ ๆ เสียอีก แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่หนังเกรดบีเลือดสาดแต่อย่างใด ใครอยากดูหนังล้างแค้นโหด ๆ เลือดนองนี่ไม่ใช่คำตอบ แต่ใครมองหาหนังเผ็ด ๆ คม ๆ แสบ ๆ ลูกเล่นลีลาเป็นร้อยกระบวนท่าแล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้โคตรได้ และ ไม่แปลกเลยที่มันจะเป็นหนังขวัญใจผู้ชมหรือนักวิจารณ์ในเวทีรางวัลคุณภาพที่ผสมผสานความบันเทิงอย่างกลมกล่อมที่สุด ดูหนัง

ชื่อภาพยนตร์: Promising Young Woman / สาวซ่าส์ล่าบัญชีแค้น
ผู้กำกับภาพยนตร์: Emerald Fennell/เอเมอรัลด์ เฟนเนลล์
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Emerald Fennell/เอเมอรัลด์ เฟนเนลล์
นักแสดง: Carey Mulligan/แครี่ มัลลิแกน, Bo Burnham, Alison Brie
แนว/ประเภท: Crime, Drama, Thriller
ความยาว: 113 นาที
ปี: 2021
อัตราส่วนภาพ: 2.39 : 1
เรท: ไทย/-, USA/R
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 22 มีนาคม 2021

 

รีวิว Uncharted

รีวิว Uncharted

รีวิว Uncharted

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับทุกคนวันนี้แอดมินอยากจะรีวิวเรื่องมากๆ เรื่อง ‘Uncharted’ เกมสุดฮิตของค่ายนอตีด็อก ( Naughty Dog ) ที่ทำลงแพลตฟอร์มของเพลย์สเตชัน ( PlayStation ) ได้กลายเป็นหนังให้พวกเราแฟนๆคอเกมแล้วโดยโซนี พิคเจอร์ส ( Sony Pictures ) ถึงกับเปิดค่ายย่อยอย่าง ‘The PlayStation Studios’ มารองรับการดัดแปลงเกมเป็นหนังโดยเฉพาะโดยมี ‘Uncharted’ เป็นหนังประเดิมค่ายแถมดึงทีมงานจากหนังแฟรนไชส์ ‘Spider-Man’ มากุมบังเหียน

แถมถอดชุดไอ้แมงมุมของทอม ฮอลแลนด์ ( Tom Holland ) ออกแล้วแทนที่ด้วยชุดผจญภัยทะมัดทะแมงพร้อมด้วยการปล่อยข่าวการตลาดครั้งใหญ่ว่า ‘Uncharted’ ยังเป็นเกมโปรดที่ทอม ฮอลแลนด์เล่นตอนถ่ายหนัง ‘Spider-Man Homecoming’ อีกด้วยเรียกได้ว่ามีองค์ประกอบการันตีขนาดนี้แถมเตรียมเปิดประตูรับทรัพย์เต็มที่โดยได้ผู้กำกับอย่างรูเบน เฟลสเชอร์ (Ruben Fleischer) ที่กำกับทั้ง ‘Venom’ และ ‘Zombieland’ มาการันตีว่าหนังจะออกมาถูกใจคนดูแน่นอน เว็บดูหนัง

รีวิว Uncharted

รีวิวหนังมาใหม่ หนังเริ่มเรื่องด้วยวัยเด็กของ นาธาน เดรค ที่ร่วมมือกันหวังปล้นแผนที่ขุมทรัพย์แต่กลับถูกจับได้ทำให้แซมพี่ชายของเขาต้องหายไปจากชีวิตจนปัจจุบัน เดรค (รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์) ต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นบาร์เทนเดอร์และ แอบจิ๊กของลูกค้าเลี้ยงชีพแต่กลอุบายของเขาก็ถูกจับไต๋ได้โดยวิกเตอร์ ซัลลิแวน (รับบทโดย มาร์ค วาห์ลเบิร์ก Mark Wahlberg) ยอดโจรสมองเพชรที่ชวนเขาร่วมภารกิจล่าขุมทรัพย์โดยใช้ปริศนาการหายตัวไปของแซมมาเป็นสิ่งล่อใจ

แต่พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ออกตามล่าสมบัติแต่ยังมี ซานติอาโก มอนคาดา (รับบทโดย แอนโทนิโอ แบนเดอราส Antonio Banderas) นักธุรกิจขาใหญ่ พร้อมด้วยแบรดด็อก (รับบทโดย ทาทิ แกเบรียล Tati Gabrielle) มือสังหารสาวโหดที่ยอมมือเปื้อนเลือดเพื่อให้ได้ครองสมบัติ รวมถึงโคลอี เฟรเซอร์ (รับบทโดย โซเฟีย อาลี Sophia Ali) ผู้ครองกุญแจอีกหนึ่งดอก โดยงานนี้เดรคไม่อาจไว้ใจใครได้เลยแม้กระทั่งซัลลิแวน

รีวิว Uncharted

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าหนังเพียบพร้อมด้วยทีมงานเกรด A ในการผลิตหนังแอ็กชันผจญภัยสักเรื่องให้ออกมาบันเทิง และ เรียกเงินเข้ากระเป๋าโซนีได้เป็นกอบเป็นกำ ถ้าเราจะเอาแค่ความสนุกแบบดูจบแล้วลืม ๆ ไปเลย ‘Uncharted’ มีให้คุณแน่นอนครับ แถมเซอร์วิสแฟนเกมหนักมาก ๆ ทั้งสกอร์ดนตรีประกอบ และ ภาพโหมดสโลว์โมชันที่แทบถอดแบบจากเกมมาเอาใจสายเกมเมอร์โดยเฉพาะ พร้อมวิช่วลเอฟเฟกต์แบบเชื่อมือได้สไตล์สตูดิโอหนังระดับบิ๊ก หากต้องการแค่นี้ผมยืนยันว่าหนังมีให้แน่นอนครับ

แต่สิ่งที่ ‘Uncharted’ ทำตกหล่นอย่างไม่น่าให้อภัยเลยประการแรกคือการสร้างตัวละครที่ดึงดูดใจ สมมติว่าเอาคนอื่นมารับบทนาธาน เดรค ก็ยากล่ะครับที่คนดูจะอยากเอาใจช่วยบาร์เทนเดอร์นิสัยโจรที่ทั้งเรื่องหาความฉลาดแทบไม่เจอโดนหลอกแล้วหลอกอีกดักดานจนงงว่ามันจะไปคิดปริศนาสมบัติอันซับซ้อนได้ยังไง แถมหนังก็เลือกเล่าข้าม ๆ ไปหลายจุดจนมันขาดความเชื่อถือดูไปเกิดอาการเอ๊ะไปยังไงยังงั้น

ส่วนต่อมาคือฉากผจญภัยต่าง ๆ ที่แม้วิช่วลเอฟเฟกต์จะเลอเลิศแบบไม่เถียงเลยว่าดูแล้วไม่เสียดายตังค์แน่นอน แต่ในความสนุกผิวเผินของหนังก็คือการไม่ให้ความสำคัญกับบทภาพยนตร์แถมยังไม่ค่อยได้ใส่อุปสรรคอะไรให้เราอยากเอาใจช่วยทั้งเดรค และ ซัลลิแวนเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นตัวละครหลักแต่เรากลับไม่มีข้อมูลอะไรให้ยึดเกาะหรือทำให้รู้สึกว่าอยากให้พวกเขาตามหาสมบัติให้สำเร็จเท่าใดนัก แม้จะใส่ความเป็นแอนตีฮีโร่ให้ซัลลิแวนว่าเป็นคนที่คบคนหวังผลประโยชน์แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าท้ายที่สุดมันก็ทิ้งเดรคไม่ลงอยู่ดี

รีวิว Uncharted

สุดท้ายแล้วแม้ว่าหนังจะได้นักแสดงระดับแม่เหล็กอย่างทอม ฮอลแลนด์มารับบทตัวละครที่แฟนเกมชื่นชอบ แต่ด้วยบทหนังที่แบนราบเกินไปมันก็ไม่ทำให้ฮอลแลนด์ดูมีเสน่ห์ในฐานะนักผจญภัยขาบู๊เท่าไหร่นักแม้ว่าจะมีฉากถอดเสื้อเซอร์วิสสาว ๆ ก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ ส่วนมาร์ค วาห์ลเบิร์กก็เอาตัวรอดไปได้ด้วยลุคแบดบอยแต่ก็ดันดูไม่น่าเชื่อถือในฐานะโจรเศรษฐีเท่าไหร่นัก

ตรงกันข้ามกับบรรดานักแสดงที่มาสมทบโดยเฉพาะแอนโทนิโอ แบนเดอราสที่เสน่ห์แบบหนุ่มใหญ่ล้นเหลือมาก สำเนียงสแปนนิชก็เซ็กซี่จนกลบบรรดานักแสดงหลาน ๆ ซะมิดเชียวหรือจะเป็น ทาทิ แกเบรียล ในบทมือสังหารสาวก็ยังทำให้เราเห็นความเท่ของเธอ หรือจะเป็น โซเฟีย อาลี ที่ได้โชว์ความสวยคมคายแบบสาวลูกครึ่งตะวันออกกลางจนอย่างน้อยคนดูหนุ่ม ๆ ก็มีอะไรให้กระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง

ย้ำกันอีกทีว่าแม้จะพลาด และ ไม่น่าจดจำ แต่อย่างน้อย ‘Uncharted’ ก็มาเติมเต็มให้โรงหนังมีโปรแกรมที่ดึงดูดคนดูกลุ่มใหญ่ได้ และ ที่สำคัญหนังก็ยังทำหน้าที่ได้ดีในฐานะหนังบันเทิงเรื่องหนึ่ง เพียงแต่หากอยากให้ตัวหนังมีฐานแฟนคลับเท่าเกมอาจต้องพัฒนาบทหนัง และ ตัวละครนำให้น่าสนใจกว่านี้อีกเยอะ ดูหนัง

สรุป Uncharted

รีวิวหนังมาใหม่ ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ดู ผมกลรู้สึกว่าสนุก และ บันเทิงดี ไม่ได้แย่สำหรับผม และ ค่อนข้างชอบด้วย แต่ก็มีจุดหลัก ๆ ที่ไม่ชอบเหมือนกัน ผมขอบอกก่อนว่าผมไม่ใช่แฟนเกมส์ Uncgarted และ ไม่ได้รู้เนื้อเรื่องของเกมส์มาก่อน เข้าไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย แต่บอกเลยว่ารู้เรื่องทั้งหมด เข้าใจได้อย่างง่าย ๆ เลย เพราะหนังเล่าเรื่องราวย้อนกลับไปก่อนเหตุการณ์ในเกมส์ภาคแรก เป็นเรื่องราวของ นาธาน เดรก ในวัยหนุ่ม ก็คือเริ่มตั้งแต่ต้น ดังนั้นคนไม่ใช่แฟนเกมส์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง ตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดูได้เลย อาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ แต่คงไม่ถึงขนาดเสียดายค่าตั๋ว เพราะภาพรวมของหนังถือว่าทำออกมาได้ดีอยู่ เป็นหนังที่ทำเพื่อทุกคนที่ไม่ลืมที่จะเอาใจแฟนเกมส์ และ ก็ไม่ทอดทิ้งคนที่ไม่ใช่แฟนเกมส์ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพราะจะได้มีโอกาสสร้างรายได้แบบเต็มที่ เพื่อนะได้เป็นแฟรนไชส์ และ มีภาคต่อ ๆ ไป ส่วนตัวผมเชียร์ให้ประสบความสำเร็จ และ ได้ไปต่อนะ เพราะถ้าไปต่อก็จะเข้าเนื้อเรื่องตามในเกมส์ ซึ่งอาจทำออกมาได้ดีก็ได้ ผมมองว่าภาคแรกนี้เป็นเหมือนแค่การอุ่นเครื่องซะมากกว่า ถ้าภาคต่อไปได้สร้างขึ้นมาจริง ๆ และ ทำการปรับปรุงจุดที่ผิดพลาดในภาคนี้ไปได้ มันจะกลายเป็นหนังที่สนุกมาก ๆ แน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้ก็มีจุดที่ทำได้ดีมาก ๆ และ น่าจดจำอยู่เช่นเดียวกัน

รีวิว Uncharted

ฉากแอ็คชั่นของเรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เวอร์วังอลังการ ระเบิดภูเขาเผากระท่อม และ มอบความบันเทิงใฟ้ผมได้พอสมควร เรียกได้ว่าฉากแอ็คชั่นเป็นเหมือนข้อดีของหนังเรื่องนี้เลย มันสะใจถึงใจ ออกแบบฉากบู๊ คิวบู๊ออกมาได้ดี ส่วนตัวผมชอบฉากบู๊ของ ทอม ฮอลแลนด์ เพราะด้วยความที่ผู้กำกับดีไซน์ตัวละคร นาธาน เดรก เป็นตัวละครที่ฉลาด คล่องแคล่วว่องไว ทำให้ฉากแอ็คชั่นของตัวละครนี้มันดูเพลินตาดี แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้เราสลัดภาพสไปเดอร์แมนที่ทอมเล่นไว้ไม่ออก เนื่องจากตัวละครสองตัวนี้มีความคล่องแคล่วว่องไวเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มากมายแค่บางฉากเท่านั้น แต่ทอมก็ยังมีความเป็น นาธาน เดรกอยู่พอสมควร ส่วนฉากแอ็คชั่นในเรื่องที่ผมชอบ ก็จะเป็นฉากที่ทอมสู้แบบบาเทนเดอร์ โคตรเท่ห์ และ มีความปั่นดี อีกฉากก็ตอนท้าย ๆ ที่ทอมกับมาร์ค สู้แบบคู่หูบนเรือ ฉากนั้นทำออกมาได้ดีเลย ให้อารมณ์หนังคู่หูแอ็คชั่น-คอมเมดี้ โดยรวมแบ้วฉากแอ็คชั่นของเรื่องนี้ผมค่อนข้างประทับใจ และ เอ็นจอยกับมันมาก ๆ เว็บหนัง

จุดเด่น

  • เซอร์วิสแฟนเกมด้วยภาพจำ และ โหมดภาพสโลว์โมชันได้ดี
  • มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ยังเอาตัวรอดได้ด้วยความเท่แบบแบดบอย
  • นักแสดงสมทบมีสีสันช่วยดึงหนังให้ดูสนุกได้เยอะมาก
  • วิช่วลเอฟเฟกต์ดีงาม งานภาพยอดเยี่ยม และ ออกแบบงานสร้างได้ดีทำให้หนังดูอลังการขึ้นมาก

จุดสังเกต

  • บทหนังมีช่องโหว่เยอะมาก เพราะเล่าแบบข้าม ๆ จนขาดความน่าเชื่อถือ
  • คาแรกเตอร์ของตัวนำทั้งนาธาน เดรค และ วิกเตอร์ ซัลลิแวน ยังไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ดาราระดับแม่เหล็กมาแสดงคงตายคาจอ
  • ฉากแอ็กชันแม้ทำมายิ่งใหญ่แต่ก็ไม่ค่อยชวนให้ลุ้นระทึกเท่าไหร่ พระเอกผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายเกินไปหน่อย

RELEASE DATE 16/02/2022
RUNTIME 115 Minutes
DIRECTOR Ruben Fleischer
CAST Tom Holland Mark Wahlberg Antonio Banderas Tati Gabrielle Sophia Ali
OUR SCORE 6.4

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ วันนี้แอดจะมารีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่พึ่งออกโรงได้ไม่นาน อย่าง Dr Strange and the Multiverse of Madness หรือ จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย และชื่อยาวภาคใหม่ในจักรวาลมาร์เวลหรือเรียกสั้นๆ ว่า Dr Strange 2 ภาพยนตร์เรื่องยาวเข้าโรงฉายไปเมื่อวันที่ 4 ที่ผ่านมา ‘อย่าทำให้แม่โกรธโลกมันจะวุ่นวาย’ ก็คงจะต้องเป็น Dr strange ภาค 2 เพราะเส้นเรื่องหลักนั้นเกี่ยวพันต่อเนื่อง

จากชีวิตของวันด้าในซีรีส์เรื่อง Wanda-Vision ด้วยเรื่องราวของ วันด้า (รับบทโดย อลิซาเบท โอลเซ่น) ผู้ต้องการชีวิตครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีเธอและลูกชายทั้งสองของเธอกลับคืนมาเธอจึงพยายามจะชิงตัว ‘อเมริกา ชาเวซ (รับบทโดย โซชิตล์ โกเมซ) ผู้มีความสามารถข้ามมัลติเวิร์สได้ เพื่อจะไปมีชีวิตอยู่กับลูกชาย จน ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ (รับบทโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) ผู้กำลังช้ำรักจากการที่ คริสติน พาล์มเมอร์ (รับบทโดย เรเชล แม็คอดัมส์) ไปแต่งงานกับผู้ชายอื่น ต้องมาปกป้องเธอละโลกมัลติเวอร์สไว้ นอกจากนี้ยังมีการปูเรื่องมัลติเวอร์สและความรักที่ลึกซึ้งกว่าที่เราได้เห็นในภาคแรกของคริสตินและหมอแปลกในแอนิเมชั่นซีรีส์เรื่อง What if…? อีก เว็บดูหนัง

รีวิว Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องราวทุกอย่างถูกเล่าอย่างฉับไว อัดแน่นไปด้วยภารกิจที่ตัวละครต้องทำ ทำให้เรื่องอัดแน่นไปด้วยความสนุกและความสยองจากลายเซ็นของผู้กำกับ แซม ไรมี่ ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องน้ีมีกลิ่นอายที่ต่างไปจากเรื่องอื่น ๆ อย่างชัดเจน และความเป็นเขาก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงตอนจบ ด้วยองค์ประกอบที่มีทั้งฉากไล่ล่าพร้อมจังหวะตุ้งแช่ให้ตกใจเล่นบ้าง เห็นการตายจะ ๆ เท่าที่ภาพยนตร์เรต PG-13 จะไปได้ถึง หรือมีความเป็นหนังซอมบี้แถมพกด้วยฉากสลองขวัญ

รีวิว Doctor Strange 2

ที่ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ จอมขมังเวทย์แบบไทย ๆ อยู่เหมือนกัน กับการใช้คำภีร์ดาร์กฮอล์ต ที่มีทั้งสิงร่าง เอาเทียนล้อม อุปกรณ์สกัดมารต่าง ๆ ในเรื่อง พร้อมกับฉากแอ็คชั่นที่ออกแบบมาอย่างอลังการโดยมีฉากที่น่าประทับใจเป็นพิเศษอยู่สองฉากคือ ฉากการทะลุมัลติเวอร์สของอเมริกาและเสตรนจ์ และฉากต่อสู้ด้วยโน้ตดนตรีที่ดึงให้อันเดอร์สกอร์ข้างหลัง (ที่ให้อารมณ์คลาสสิกสไตล์แฟรงเกนสไตน์) ดูโดดเด่นขึ้นมาและสอดประสานไปกับฉากการต่อสู้ได้อย่างลงตัวรวม ๆ แล้วเรื่องก็เป็นไปตามสูตรและมาตราฐานของมาร์เวล มีมุขให้ขำมุมปากบ้างตามเรื่องแต่ก็ยังนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีโทนเรื่องหนักกว่าบางเรื่องอยู่พอสมควร ด้วยส่วนที่เป็นดราม่าที่ถูกเล่าในเวลาที่จำกัดและด้วยความที่ตัวละครมีภารกิจมากมายให้ทำ

ถ้านี่นี้เป็นภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องแรกของคุณ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้เส้นเรื่องของ Dr Strage 2 นั้นไม่ได้ตามยากอะไร แต่เหตุผลของตัวละครจะดูเบาบางไปถนัดใจถ้าไม่ได้ดูซีรีส์ที่กล่าวมาข้างต้น และนอกจากนี้ก็ยังไม่เหลือเวลาให้ผู้ชมได้ผูกพัน กับตัวละครใหม่อื่น ๆ มากนักถึงแม้เรื่องจะมีจุดอ่อนเรื่องการปูอดีตให้คนดูเข้าใจตัวละครได้อย่างเต็มที่ในเวลาที่จำกัดอยู่บ้าง แต่ถ้าใครที่เคยดู Wanda-Vision มาก็จะได้เห็นพัฒนาการที่เจ็บปวดแต่งดงามของตัวละครอย่างชัดเจนผ่านทางการแสดงอันทรงพลังของ อลิซาเบธ โอลเซ่น ที่ค่อย ๆ กลายร่างจากหญิงสาวที่โชคชะตาพรากคนรักและครอบครัวไป จนมุ่งมั่นอยู่แค่เพียงต้องการให้ทุกอย่างกับมาสมบูรณ์ตามเดิมจนเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

รีวิว Doctor Strange 2

ชูประเด็นที่ลึกซึ้งอย่างการพยายามไล่ตามภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงจนไม่สามารถก้าวต่อไปในชีวิตมัลติเวิร์สในเรื่องนี้จึงเปรียบได้กับความเป็นไปได้ของชีวิตที่มีอยู่นับร้อยนับพัน หากทางเลือก ปัจจัยแวดล้อม หรืออะไรต่าง ๆ ในชีวิตนั้นแตกต่างไป สะท้อนผ่านการที่ตัวละครสามารถเห็นมันในความฝัน แต่มันสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้หากข้ามไปได้ถึงตรงนั้น แต่ถ้าเราติดอยู่กับแค่ความเป็นไปได้ โดยที่ปฏิเสธที่จะหันมามองสิ่งที่เป็นอยู่จริง ๆ อย่างที่วันด้าเป็นชีวิตก็จะมีแต่ความทุกข์นอกจากนี้อ้างอิงจากการที่ภาพครอบครัวแสนสุขของวันด้ามากจากซีรีส์ที่เธอดู และการที่เธอพูดว่าทุกคนมีความสุขกับครอบครัวนอกจากเธออาจจะเป็นการอ้างอิงเล็ก ๆ ถึงชีวิตทุกวันนี้ที่เรามองเห็นชีวิตของผู้คนอีกมากมาย

และเปรียบเทียบมันกับตัวเองจนเกิดเป็นความทุกช์ใจสองประเด็นนี้เน้นย้ำให้เห็นหัวใจหลักของเรื่องท่ีเหมือนกับต้องการจะสื่อว่า การยอมรับความเป็นจริงของชีวิตนั่นคือตอนจบที่แสนสุขที่สุดแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนมาในรูปของความรักราวกับจะสื่อสารกับเหล่าผู้ปกครองที่พาเด็ก ๆ มาชมภาพยนตร์ ว่าหลายครั้งการทำทุกอย่างที่บอกว่าจะทำเพื่อลูก เพื่อควาเป็นครอบครัว เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครได้รับผลกระทบนั้นหลายครั้งเป็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนอยู่

และบางครั้งอาจบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ดูหนัง

สรุป Doctor Strange 2

รีวิวหนังมาใหม่ นอกจากนี้ยังมีการแสดงที่ดีงามตามมาตราฐานของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ ซึ่งช่วยเป็นสะพานเชื่อมช่องว่างของการเล่าเรื่องที่ไม่ได้อธิบายที่มาที่ไปของบางอย่างได้ละเอียดนัก

รีวิว Doctor Strange 2

(ถึงแม้จะมีจุดอ่อนเรื่องการเคลื่อนไหวแบบซอมบี้ที่ดูเขาจะไม่ค่อยสันทัดเท่าไรนัก)  การเล่าเรื่องเร็วและภารกิจมากมายของตัวละครจึงเป็นเหมือนดาบสองคมที่ทำให้สนุก แต่ก็ทำให้เส้นเรื่องที่เน้นดราม่าของตัวละครนั้นขยุกขยักไปบ้าง ยังไม่นับรวมฉากที่รายละเอียดน้อย ๆ เอาใจแฟนคลับมาร์เวลอย่างแขกรับเชิญอื่น ๆ ที่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนตัวยงประมาณหนึ่งบางทีก็อาจจะจำตัวละครที่มารับเชิญบางตัวไม่ได้ด้วย แต่ถ้าใครเป็นแฟนมาร์เวลก็คงจะได้กรี๊ดกร๊าดอยู่หลายฉากกับเซอร์ไพร์สที่ซ่อนไว้

การแสดง

มาต่อที่ด้านของการแสดง ทุกคนทำออกมาได้ดี แสดงดีกันทุกคนจริงๆ สำหรับป๋าเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก เรารู้กันอยู่แล้ว เขาแสดงได้ดูเป็น ดร.สเตรนจ์ จริงๆ แสดงดีเหมือนทุกเรื่องที่เขารับบทนี้มา
ต่อมาขอพูดถึงนักแสดงหน้าใหม่อย่าง โซชิตล์ โกเมซ ที่มารับบทเป็น อเมริกาชาเวซ แม้ว่าจะเป็นบทสมทบแต่น้องทำได้ดีมากจริงๆ น้องเขาดูมีเสน่ห์บางอย่างที่มันดึงดูดผู้ชม และผมเห็นหลายๆคนก็ชอบน้องกัน ซึ่งผมก็เช่นกัน น้องน่ารักจริงๆ แสดงดีและเหมาะกับบทบาทมาก ทีมแคสต์เลือกนักแสดงมาดีจริงๆ อันนี้ต้องชม

ต่อมาคนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ อลิซาเบธ โอลเซ่น ผู้รับบทเป็นวานด้า ซึ่งเราก็เคยเห็นเธอในบทนี้มานานแล้ว เพราะเธออยู่ในภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของ MCU หลายเรื่อง และยังมีซีรีส์ของตัวเองอีก แต่ในภาคนี้มันต่างออกไป เพราะเรื่องนี้เธอเป็นศัตรูของ ดร.สเตรนจ์ ซึ่ง อลิซาเบธ โอลเซ่น แสดงได้ดีมาก สมบทบาท แถมภาคนี้เธอยังโดดเด่นมากๆ บทเธอเด่นพอสมควรเลย ทำให้เธอได้โชว์ของเต็มที่ ทั้งในฐานะศัตรูตัวฉกาจ และในฐานะแม่ที่เสียลูกๆไป ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็แสดงได้ดีตามมาตรฐานของ Marvel

งานภาพและการโปรดักชั่น

ในส่วนงานภาพนี้คือ แจ่มและสวยจริงๆ ส่วนตัวผมชอบงานภาพภาคนี้มากกว่าภาคแรกนะ ผมว่าดีกว่าเยอะเลย งานภาพภาคแรกก็ดีและ แต่การออกแบบมันไม่ได้เจ๋งเท่าภาคนี้ ภาคนี้มันดูมีสีสัน มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ส่วนตัวชอบฉากตอน ดร.สเตรนจ์ กับอเมริกาชาเวซข้ามจักรวาลด้วยกัน ฉากนั้นเจ๋งมากจริงๆ และก็ฉากที่หนีวานด้าแต่ละฉากก็แจ่มมากๆ ส่วนนอกจากฉากนี้แล้ว ฉากอื่นๆก็มีการออกแบบฉากมาอย่างดี มุมกล้องที่ใช้ ทุกอย่างลงตัวหมด พอมาเจอกับ CGI ที่เนียนตา และโทนสีต่างๆที่เลือกมาก็เหมาะกับบรรยากาศในภาพยนตร์ ทุกอย่างจึงออกมาดีมาก แต่ก็ยังไม่ได้ดีที่สุดนะ ยังไปได้อีก แต่เท่านี้คือดีมากแล้ว ต่อมาด้านงานโปรดักชั่น ทุกอย่างดีมากเช่นกัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม การตัดต่อ การลำดับเสียง รวมถึงเพลงประกอบต่างๆ ทุกอย่างดีหมดแล้ว ไร้ที่ติ

ตัวละครที่ชอบ

ส่วนตัวชอบ 3 ตัวละครหลัก แต่ถ้าให้เรียงลำดับก็ชอบตัวละครวานด้า มากที่สุด ต้องยอมรับว่าเธอโดดเด่นจริงๆ เกือบจะเด่นกว่า ดร.สเตรนจ์ ด้วยซ้ำ และบทของตัวละครก็ดีเลย เพราะมีการปูตัวละครนี้มาในภาพยนตร์หลายเรื่อง แถมในซีรีส์อีก ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร และรู้ว่าที่เธอทำไปเพราะเสียใจอย่างหนักจนแยกผิดถูกไม่ออก

รองมาก็เป็นตัวละคร ดร.สเตรนจ์ ป๋าเบเนดิกต์แสดงดีจริงๆ ส่วนตัวผมชอบลักษณะนิสัยของตัวละครนี้มากอยู่แล้ว และบทในภาคนี้หมอก็น่าสงสารเหมือนกัน เป็นฮีโร่ที่เก่งแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ทุกคนนับถือและยกย่อง แต่แท้จริงแล้วก็มีปมในใจ และปัญหาของตัวเองที่แก้ไม่เคยได้ ซึ่งเหตุการณ์ในภาคนี้ก็ทำให้ตัวละคร ดร.สเตรนจ์ เติบโตไปขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งมันดีมากจริงๆและตัวละครสุดท้ายที่ชอบเลยคือ อเมริกาชาเวซ ที่แสดงโดย โซชิตล์ โกเมซ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าตัวละครนี้

โดดเด่น และนักแสดงที่แคสต์มาก็ดีมาก แถมภาคนี้ยังมีการวางปมของตัวละครนี้ทิ้งไว้ และผมชอบที่บทเขียนมาให้ตัวละครนี้เติบโตขึ้นในตอนจบ ทำให้เรารู้จักและเข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น คือ 3 ตัวละครหลักนี้ ตอนต้นเรื่องกับตอนจบ นี่คือคนละคนเลยนะ ทุกคนเติบโตและได้บทเรียนจากเหตุการณ์นี้กันหมด ดร.สเตรนจ์ ก็กลายเป็นคนที่รับฟังมากขึ้น นอบน้อมมากขึ้น วานด้าก็กลายเป็นคนที่ยอมรับความจริงได้และเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนอเมริกาชาเวซก็กลายเป็นคนที่เริ่มเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ในส่วนนี้ผู้กำกับ Sam Raimi ทำออกมาได้ดีจริงๆ

ทั้งหมดนี้ทำให้ Dr Strange and the Multiverse of Madness จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย เป็นภาพยนตร์ที่สนุกชวนดู ถึงแม้จะไม่ได้เรียกว่าดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมา แต่ก็มีความแปลกใหม่ผสมกับอะไรที่คุ้นเคย และเนื้อหาซึ้ง ๆ ประมาณหนึ่งมาให้เพลิดเพลินได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เว็บหนัง

 

รีวิว The Beast

รีวิว The Beast

รีวิว The Beast

รีวิวหนังมาใหม่ สำรหับในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้อาจจะมีหนังเกาหลีหนังเอเชียต่าง ๆ เข้าฉายในบ้านเราซะเต็มไปหมดเลยทีเดียว จนเรียกได้ว่าบางทีก็ดูไม่ทันเหมือนกัน เนื่องจากบางเรื่องก็โดนลดรอบอย่างลดรวดเร็ว บางโรงก็จัดรอบซะเช้าตรู่ หรือไม่ก็ดึกดื่นชนิดถ่างตารอดูกันไม่ไหว The Beast ก็น่าจะถือเป็นหนังอีกเรื่องที่อยู่ในหมวดหมู่นี้ และ คิดว่าอีกไม่กี่วันหนังก็คงจะลาโรงฉายไปอย่างเงียบ ๆ บอกเล่าเรื่องราวของผู้กองฮันซู (อี ซองมิน) นายตำรวจแผนกฆาตกรรม ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง เว็บดูหนัง

โดยศพล่าสุดเป็นหญิงสาวในวัยเรียนที่ร่างของเธอถูกชำแหละ แล้ว นำมาทิ้งเอาไว้ที่ริมชายหาดในสภาพน่าหวาดผวา ระหว่างที่สืบคดีอยู่นั้น ผู้กองมินเต (ยู แจมุง) ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหน่วย ให้มาร่วมกันไขคดีในครั้งนี้ ทว่านี่ไม่ใช่การร่วมมือกันระหว่างสองนายตำรวจมากฝีมือ หากเป็นคู่เกาเหลาที่ชิงดีชิงเด่นกันในหน้าที่การงาน ไม่กินเส้นกัน แถมยังพยายามจับพิรุธในการทำงานของฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก

รีวิว The Beast

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องย่อ ในโซลเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดโหดที่ยังไม่สามารถจับฆาตกรมาลงโทษได้ ทีมของ ผู้กองฮันซู ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในชุดสืบสวนของคดีนี้ โดยมีคู่แข่งเป็นทีมของ ผู้กองมินเต ซึ่งทั้งคู่มีเดิมพันใหญ่ว่าหากใครปิดคดีนี้ได้จะได้รับการเลื่อนชั้นเป็นหัวหน้าหน่วยคนใหม่ และ ยิ่งสืบไปก็ยิ่งแข่งกันเข้มข้นจนเริ่มไม่เลือกวิธีการ แล้ว ใครกันแน่คือสัตว์ร้ายตัวจริงในเรื่องนี้?

ความสนุกของ The Beast คือการวางพล็อตให้ผู้กองฮันซู เป็นตัวละครสีเทา แค่ฉากเปิดเรื่องในการนำผู้ต้องสงสัยไปทรมาน และ ทิ้งไว้ที่นอกเมืองก็พอจะทำให้คนดูพอคาดเดาได้เลยว่า ตัวละครนี้ไม่ได้เป็นตำรวจที่ทำงานแบบมือสะอาดสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำเขายังเคยพัวพันกับบรรดาอาชญากรที่ถูกไหว้วานให้เป็นสายสืบในดงโจร อย่างเช่นชุนเบ (จอนเฮจิน) อดีตอาชญากรหญิงที่อยู่ในแก๊งค้ายา และ ดันซวยติดคุกอยู่นานกว่า 3 ปี เมื่อเธอพ้นโทษออกมา เธอเลยวางแผนก่ออาชญากรรมด้วยการไปฆาตกรรมเจ้านายเก่า และ ทำให้ผู้กองฮันซูกลายเป็นพยานแบบไม่ทันตั้งตัว

รีวิว The Beast

พล็อตหลักของหนังคือการสืบคดีฆาตกรรมโหดที่พาคนดูไปสำรวจความฟอนเฟะในแวดวงการทำงานของตำรวจ พลางสะท้อนปัญหายาเสพย์ติดอันเป็นปัญหาระดับภูมิภาค ปัญหาสังคมในเชิงความล้มเหลวของครอบครัว ซึ่งก็เป็นความสนุกที่เปิดโอกาสให้คนดูได้คาดเดาไปต่าง ๆนานาว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ส่วนพล็อตรองของเรื่องคือการพยายามกลบเกลื่อนหลักฐานในคดีที่เขาไปเกี่ยวพันกับชุนเบ และ อาจจะส่งผลให้เขามีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกร และ อาจจะหลุดจากตำแหน่งในการเป็นหัวหน้าแผนกคนต่อไปให้กับผู้กองมินแต

ระหว่างที่หนังดำเนินไปเรื่อย ๆ เราจะได้เริ่มเห็นความซวยที่ถาโถมเข้าหาตัวเอกอย่างผู้กองฮันซูในแบบที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอี ซองมินก็ถ่ายทอดความวิตกจริตของเขาออกมาได้ดีมากราวกับคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป เขากลายเป็นคนที่ขาอีกข้างอยู่ในตาราง และ สภาพจิตใจอยู่ในโรงพยาบาลคนวิกลจริตไป แล้ว เรียบร้อย

อันที่จริงชื่อหนังอย่าง The Beast อันแปลว่า “อสูรร้าย” อาจจะไม่ได้หมายถึงฆาตกรต่อเนื่อง แต่ความเป็นจริงอาจจะหมายถึงตัวละครเอกทั้งสองคนทั้งผู้กองฮันซู และ ผู้กองมินเตที่ต่างฝ่ายต่างก็ “เลือดเย็น” ใส่กันราวกับพวกเขาไม่ใช่มนุษย์!

ผลงานสุดเดือดของผู้กำกับ อี จุงโฮ (Lee Jung-Ho) ที่เคยฝากผลงานในแนวสืบสวนระทึกขวัญมา แล้ว ถึง 2 เรื่อง อย่าง Best Seller (2010) และ Broken (2014) มาในเรื่องล่าสุดนี้ เขาได้ดึง อี ซองมิน (Lee Sung-Min) นักแสดงคู่บุญที่เล่นให้เขามาทุกเรื่องมารับบทนำหลัก ผู้กองฮันซู นายตำรวจสายสัญชาตญาณ ที่ใช้วิธีการเทา ๆ ปิดคดีสำคัญมา แล้ว มากมาย โดยเขาต้องปะทะกับนักแสดงนำสุดเก๋าพอกันอีกคนอย่าง ยู แจมุง (Yoo Jae-Myung) ที่รับบท ผู้กองมินเต ซึ่งพยายามไล่กวดผลงานของฮันซูแบบหายใจรดต้นคอ เพราะทั้งคู่แม้เป็นอดีตคู่หูตำรวจแต่ในตอนนี้คือคู่แข่งสำคัญในการแย่งเก้าอี้หัวหน้าหน่วยคนใหม่ที่มีที่เดียว

รีวิว The Beast

(ซ้าย) อี ซองมิน (ขวา) ยูแจมุง
ความน่าสนใจอีกประการของหนังมาจากการร่วมสร้างระหว่างเกาหลีและฝรั่งเศส โดยฝั่งฝรั่งเศสนั้นได้ Gaumont ที่เป็นถึงสตูดิโอที่เคยทำหนังอย่าง Léon: The Professional (1994) และ The Fifth Element (1997) มาแล้ว และครั้งนี้ก็เป็นการนำหนังเก่าของสตูดิโอมาให้ฝั่งเกาหลีรีเมก โดยนำพลอตมาจากเรื่อง 36 Quai des Orfèvres (2004) ที่ว่าด้วย 2 ตำรวจแข่งกันสืบคดีปล้น ซึ่งครั้งนี้เกาหลีได้นำมาพลิกเป็นการสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มเส้นเรื่องของตัวฆาตกรตีคู่ไปพร้อมกันด้วย ก็ช่วยเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้นไปอีก

จุดเด่นของหนังคงต้องยอมรับว่ามาจากการแสดงที่ดึงความสนใจคนดูให้เอาใจช่วยได้ตลอดเรื่องของ อี ซองมิน ที่ถ่ายทอดภาวะคนจิตใจดีที่ตกในช่วงวันผีซ้ำด้ำพลอยจนเขาเริ่มจะจิตหลุดไปทีละน้อย ทั้งนี้ตัวบทก็ส่งเสริมตัวละครนี้ได้ดีด้วยก็ต้องชื่นชม เพราะนอกจากจะสร้างสถานการณ์ชวนลุ้นมากมาย ยังใส่ปมเงื่อนที่ตัวละครก่อหรือรับผลกรรมจากอดีตมาพัวพันในปัจจุบันจนอีรุงตุงหนังได้เป็นผลสำเร็จ เป็นความวายป่วงที่แก้ปมหนึ่งก็ไปรัดแน่นอีกปมหนึ่ง คนดูยังคิดไม่ออกว่าจะมีทางออกอย่างไร ตัวละครยิ่งไปใหญ่เพราะยิ่งฝืนแก้ปัญหายิ่งบานปลายจนมุมที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง

อีกส่วนที่ทำได้ดีของหนังคือการที่วางแก่นเรื่องว่าด้วยการแก่งแย่งชิงดีระหว่าง 2 นายตำรวจ ที่เคยเป็นคู่หูกัน มันทำให้แนวหนังแตกต่างจากหนังสืบสวนคดีปกติทั่วไป และ ยิ่งการวางซับพลอตมาช่วยเสริมได้อย่างสนุกทั้ง พลอตฆาตกรต่อเนื่องที่ฝั่งตำรวจถูกชักจูงให้หลงทางอยู่เรื่อย อดีตสายข่าวของตัวเอกที่ออกจากคุก และ มีเป้าหมายล้างแค้นคนที่ทำให้ต้องติดคุกจนพาตัวเอกเข้าไปพัวพันคดีความควายเข้ามาแทรกไปอีก แล้ว ที่สั่นสะเทือนจิตใจเราที่สุดคงเป็นพลอตเสียดสีสังคมที่ว่าด้วยอิทธิพลแก๊งต่างชาติในเกาหลีที่มีทั้ง ญี่ปุ่น จีน และ แน่นอนผีน้อยพี่ไทย โดยประโยคชวนสะอึกที่ว่า นี่คือสถานที่ที่เหล่าขยะมารวมกัน เพราะก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้คนไทยเป็นตัวร้ายที่นำพาปัญหาอาชญากรรมทั้งยาเสพติด และ ค้ามนุษย์เข้าสู่เกาหลีจำนวนมากจริง ๆ ดูหนัง

สรุป The Beast 2019

รีวิวหนังมาใหม่ ในขณะที่ช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ที่เริ่มเป็นฉากแอ็กชั่น และการเล่าเนื้อหาหลักนั้นทำได้ค่อนข้างแย่มากในบางช่วง และดีในบางช่วง ความสมเหตุสมผลเริ่มหาไม่ได้จากเรื่องนี้ การคลายปมต่าง ๆ ภายในเรื่องคลายได้ง่ายเกินไป และมีการตัดฉากไปมา จนทำให้หนังเรื่องนี้ขาดความต่อเนื่องยาวจนทำให้ผู้ชมหงุดหงิดได้ไม่ใช่น้อย ตำรวจเหมือนเป็นเพียงแค่ตัวประกอบสำหรับเรื่อง ไม่ได้เป็นส่วนจำเป็นของเรื่องไม่ต้องใส่มาก็ยังได้เลย ส่วนตัวร้ายที่เหมือนจะเป็นตัวเด่นกลับไร้ราคาในหนัง

โผล่มาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น จึงทำให้รู้สึกผิดหวังบ้างเมื่อรับชม แต่บางช่วงอย่างการทำฉากย้อนอดีตของตัวละครเองก็ทำได้ดีเช่นกัน อย่างการคลายปมของตัวเอกมันมีอิมแพ็คมาก และฉากแอ็กชั่นที่สนุกทำให้เรื่องมันไปต่อได้ แม้ว่ามันอาจจะเหมือนฉากแอ็กชั่นทุนต่ำก็ตาม แต่ก็ยอมรับว่า ตอนจบของเรื่องมีการคลายปมของตัวละครทั้งหมดแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็จบภายในเรื่องของตัวมันเองได้

ฉากแอ็กชั่นต้องยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ไม่สามารถหาความบาลานซ์ที่สุดในเรื่องแล้วก็เป็นได้ บางฉากก็ดีมาก บางฉากก็ตลก บางฉากก็เล่นห่วย เหมือนทำสุ่ม ๆ ให้ผู้ชมได้เจอกันไป เหมือนพยายามจะบอกว่าหนังเรื่องนี้มีทุนสร้างที่ไม่เพียงพอ เราจึงต้องลดทอนหลาย ๆ อย่างภายในหนัง ซึ่งสิ่งนี้เป็นใจความสำคัญที่สุดในหนังประเภทแอ็กชั่นนี้เลยก็ว่าได้ การที่ลดทอนสิ่งนี้ก็เหมือนทำให้คุณค่าลดลง อย่างเช่นในบางฉากที่ฝั่งตัวร้ายที่มีปืนทุกคน แต่พอเป็นอีกที่ที่มีเป็นสิบคน

กลับกลายเป็นว่าปืนมีกระบอกเดียวเพียงทั้งซีน,ฉากแอ็กชั่นที่ดูตลกมาก และการแสดงของตัวประกอบที่ย่ำแย่มาก ไม่รู้สึกถึงพลังของการกระทำเลย จึงให้คะแนนในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับกับฉากที่ดี แต่ไม่ได้ดีมาก การแสดงก็เป็นอะไรที่พูดยากอีกเช่นกันว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ เพราะบทพูดที่แต่ละคนได้มา การพูดของตัวละครทั้งเรื่องเราจะได้เห็นอยู่เพียงไม่กี่แบบเท่านั้น สิ่งที่ได้เห็นคือ ตัวละครเก๊กเท่ และตัวละครเศร้าแต่เศร้าไม่สุด

อารมณ์ตัวละครเราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม, ความดีใจ หรือ ความสูญศรัทธาเลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกของหนังเราอาจจะเห็นว่าการแสดงมันก็ดูปกติ แต่พอดูไปเรื่อย ๆ มันกลับเป็นการแสดงที่ซ้ำซากมาก การแสดงของตัวละครหลักบางคนไม่สามารถกระชากใจคนดูได้ ยกเว้นการแสดงของตัวเอกที่เขาเป็นอาการป่วยทางจิตจริง ๆ เขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็น และเหมือนมากแค่ไหน เขานิ่งเงียบไม่คุยกับใคร คาแร็กเตอร์ที่ยังคงเป็นคาแร็กเตอร์ตั้งแต่ต้นจนจบ มันทำให้ตัวละครนี้ ทำออกมาได้ดีมาก จึงทำให้สงสัยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงมีสิ่งแย่ผสมดีเยอะขนาดนี้

สรุปว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าจะเป็นที่โปรดักชั่น และเงินทุนที่อาจจะบริหารไม่ดีพอ จนทำให้หนังในเรื่องมีฉากดีปนฉากแย่เยอะขนาดนี้ แต่เรื่องนี้เองก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่นักสำหรับคนที่จะดูหนังประเทศอื่นบ้าง เพราะยังมีความสนุกและความบันเทิงให้ได้รับชมอยู่ แม้จะมีหลายจุดที่ขัดใจบ้าง

สรุปท้ายนี้ก็คงติติงที่ว่าหนังเล่าเรื่องค่อนข้างนานมาก แม้จะเล่าได้น่าสนใจน่าติดตามชวนลุ้นในชะตากรรมของแต่ละตัวละคร แต่เทียบกันในกลุ่มหนังใกล้เคียงกัน ความยาวของหนังที่มากก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้คนดูมีสมาธิจดจ่อกับหนังได้ตลอด ซึ่งไอ้เรื่องนี้ด้วยรายละเอียดยุ่บยั่บมันดันต้องตั้งใจดูเสียด้วยนี่สิ เว็บหนัง

ใครชอบแนวสืบสวน ดราม่าเข้ม ๆ โพรดักชันงาม ๆ หรือใครกำลังอินดราม่าช่วงเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายในที่ทำงาน เรื่องนี้นี่ตบตีชิงดีกันอย่างกับละครหลังข่าว ต้องดูเลย

จุดเด่น
– การแสดงที่ดี ดราม่าเข้มข้น
– พลอตแย่งชิงทำผลงานขัดแข้งขัดขาในคดีฆาตกรรม ดูแปลกน่าสนใจดี
– โพรดักชันสวย ดีไซน์หนังดี

จุดสังเกต
– ตัวละครเยอะ ซับซ้อน
– หนังค่อนข้างยาว ต้องใช้สมาธิสูง
– ซับพลอตเยอะ อาจทำแก่นเรื่องแผ่วบ้างบางจุด

 

รีวิว True Mothers

รีวิว True Mothers

รีวิว True Mothers

 

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสจ้าาแอดเชื่อว่าเราหลายๆคนนั้น ก็ต้องคงเคยได้ยินได้ฟังคำกล่าวที่ว่า “จะถือสาหาความจริงกันไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันก็เป็นเพียงแค่หนังแค่นิยายที่แต่งเรื่องขึ้นมาเท่านั้น!” ซึ่งประโยคดังกล่าวเป็นประโยคที่บ่งสะท้อนถึงสมบัติแห่งการเป็น fiction หรือ ‘เรื่องสมมติ’ ของศิลปะแห่งการเล่าเรื่องราวสองแขนงนี้ได้อย่างดี แม้ว่าในอดีตจะมีกลุ่มตระกูลหนัง ‘สัจนิยมใหม่’ หรือ ‘neo-realism’ นำขบวนโดยผู้กำกับอิตาเลียน Vittorio de Sica กับผลงานหนังอย่าง Shoeshine (1946) หรือ Bicycle Thieves (1948)

ที่ประกาศชัดว่า ‘หนัง fiction’ เป็นสื่อที่สามารถนำเสนอภาพชีวิตที่เกิดขึ้น และ ความเป็นไปในโลกแห่งความจริงได้โดยไม่ต้องมีสิ่งปรุงแต่ง ต่อให้หลายๆ ความจริงอาจเป็นสิ่งแสลงไร้ความโสภาก็ตาม แต่ในเมื่อธรรมชาติอีกด้านของหนัง fiction คือการสร้างความบันเทิง จึงไม่น่าแปลกใจที่เนื้อหาเรื่องราวส่วนใหญ่มักจะต้องเกินจริงในแบบ larger-than-life เพื่อให้อรรถรสในการติดตามเรื่องราวที่มิอาจพบเห็นได้ในชีวิตประจำวันใกล้ตัว

อย่างไรก็ดี ผู้กำกับหลายรายยังคงยึดถือการเล่าเรื่องราวแง่มุมชีวิตด้านต่างๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมอย่างซื่อสัตย์ ปฏิบัติต่อเหตุการณ์ และ สถานการณ์ต่างๆ อย่างบริสุทธิ์ และ จริงใจ โดยมีเป้าหมายในการร่วมกันศึกษา และทำความเข้าใจ ‘ธรรมชาติ’ ของการเป็นมนุษย์ ซึ่งผู้กำกับหญิงชาวญี่ปุ่น Naomi Kawase ก็เป็นหนึ่งในนั้น กับการถ่ายทอดภาพชีวิตของชาวญี่ปุ่นในเมืองต่างจังหวัดใกล้ชิดหมู่แมกไม้ และ ธรรมชาติ

โดยผลงานเรื่องล่าสุดของเธอ True Mothers ยังคงลายเซ็นการเป็นหนังของ Naomi Kawase ที่ได้รับการประทับรับรองสถานะ Cannes Label 2020 จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประจำปี 2020 ซึ่งไม่สามารถจัดงานได้ และ ต้องประกาศรายชื่อหนังที่คัดเลือกไว้ให้ผู้ชมได้ติดตามกันจากเทศกาลอื่นๆ หรือในโรงภาพยนตร์ เรื่องของ 2 สามีภรรยาที่ตัดสินใจรับเด็กมาเลี้ยงหลังพยายามมีลูกหลายครั้ง จนวันนึงมีผู้หญิงปริศนาอ้างว่าเป็นแม่ตัวจริงของเด็ก และ บังคับให้พวกเขาคืนเด็กให้กับเธอ เว็บดูหนัง

รีวิว True Mothers

รีวิวหนังมาใหม่ ‘True Mothers’ เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายที่ชื่อ ‘Asa ga Kuru’ ของ ‘มิซึกิ สึจิมูระ’ ซึ่ง ผู้กำกับหญิงอย่าง ‘นาโอมิ คาวาเสะ’ ได้นำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากฉายในญี่ปุ่น ก็ได้รับกระแสวิจารณ์ที่ดีมาก จนได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัล ‘The 44th Japan Academy Film Prize’ ที่เทียบได้กับออสการ์ของญี่ปุ่นถึง 7 รางวัล และ ได้รับฉายใน ‘เทศกาลภาพยนตร์เมื่องคานส์ ประจำปี 2020’ ในสายประกวดหลัก พร้อมทั้งยังเป็นตัวแทนหนังญี่ปุ่นเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย

รีวิว True Mothers

เรื่องราวของครอบครัวของ ‘ซาโตโกะ’ และ สามี ที่อยากมีลูก แต่ต้องประสบปัญหาบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถมีลูกได้อย่างใจคิด ทั้งคู่จึงต้องพึงพา ‘เบบี้ บาตอง’ บ้านที่รับอุปการะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม และ ทำหน้าที่ส่งต่อลูกต่อให้กับพ่อแม่บุญธรรม โดยมีกฏว่า แม่ที่แท้จริงจะไม่มีโอกาสติดต่อกับลูกของตัวเอง และ ครอบครัวบุญธรรมอีกต่อไป โดยซาโตโกะได้รับ ‘น้องอาซาโตะ’ มาจาก ‘ฮิคาริ’ หญิงสาวมัธยมต้นที่เกิดอุบัติเหตุตั้งครรภ์ไม่พร้อม แต่วันหนึ่ง ฮิคาริตัดสินใจโทรไปหาซาโตโกะ เพื่อขอรับน้องอาซาโตะคืน

แม้ด้วยตัวอย่างหนัง และ เรื่องย่อ จะทำให้เราคิดไปว่า นี่อาจเป็นหนังญี่ปุ่นที่ขับเน้นดราม่า เค้นน้ำตาด้วยเรื่องราวประเด็นเกี่ยวกับครอบครัว และ ประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกบุญธรรม ซึ่งประเด็นนี้มันสามารถเป็นได้ทั้งพล็อตน้ำเน่าเมโลดราม่า ที่ว่าด้วยเรื่องของการแย่งชิงลูกระหว่างแม่แท้ ๆ กับแม่บุญธรรม หรือลึกซึ้งขึ้นอีกนิดด้วยประเด็นถกเถียงว่า ระหว่างแม่แท้ ๆ ที่ให้กำเนิด กับแม่ที่เลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ แม่แบบไหนคือแม่ที่แท้จริง (True Mother) หรือแม่แบบไหนมีความเป็นแม่ (Motherhood) มากกว่ากัน

แต่หนังเรื่องนี้คือหนังความยาว 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งที่ลึก และ หนักหน่วงกว่านั้นมาก เพราะตัวหนังยังลงรายละเอียด และ สะท้อนให้เห็นภาพของความเป็นแม่ที่ไม่ใช่แค่ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดู แต่กลับสะท้อนถึง “ความเป็นแม่” ที่จะใช้คำว่า “คือหัตถาครองพิภพจบสากล” อย่างนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะตัวหนังยังเล่าถึงความเป็นแม่ (และ ความเป็นหญิง) ที่มีอิทธิพล ส่งผลกระทบต่อคนคนหนึ่งที่เกิดมา และ อยู่ในสังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

รีวิว True Mothers

ในขณะที่ช่วงแรก คุณแม่ซาโตโกะ และ สามี รับน้องอาซาโตะมามาเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น ท่ามกลางครอบครัวชนชั้นกลางที่พอมีพอกิน ซาโตโกะเลี้ยงลูกอย่างอบอุ่น และ เข้าใจ ในขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่งก็คือ ฮิคาริ สาวน้อยวัยมัธยมต้น คุณแม่แท้ ๆ ของน้องอาซาโตะ ที่เกิดจากการมีอะไรกับคนรักโดยพลั้งเผลอจนเกิดปัญหา โดยที่แทบจะไม่มีใครเข้าใจเธอเลย ดูหนัง

สรุป True Mothers

รีวิวหนังมาใหม่ ซึ่งมันเป็นภาพสะท้อนที่ตัดกันอย่างรุนแรง ที่ทำให้เรามองเห็นอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของสถาบันครอบครัวต่อชีวิตคนคนหนึ่ง ระหว่างครอบครัวที่เลี้ยงดูแบบเข้าใจ ยอมรับในความเป็นตัวตน และ เข้าใจทุกคนในครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่มองว่าใครเป็นตัวถ่วงเหมือนครอบครัวซาโตโกะ ในขณะที่ครอบครัวของฮิคาริ คือมุมมองของครอบครัวที่มองว่าการตั้งครรภ์ก่อนกำหนดของเธอคือปัญหา ฮิคาริกลายเป็นตัวถ่วงที่สร้างความยากลำบากให้ครอบครัว

ต้องตามแก้ปัญหา ในที่สุด ปัญหาในบ้าน และ ความไม่เข้าใจของพ่อ และ แม่ จึงเหมือนเป็นการผลักไสไล่ส่งแบบกลาย ๆ ให้ฮิคาริออกไปเผชิญกับความเป็น “คุณแม่ไม่พร้อม” แต่เพียงลำพัง

รวมถึงยังสะท้อนภาพ ‘ความเป็นหญิง’ ในญี่ปุ่นที่ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามหรือน่ารักแต่เพียงอย่างเดียว ญี่ปุ่นดูเหมือนจะคล้ายกับหลายประเทศทั่วโลก ที่ผู้หญิงมักประสบปัญหาความลำบากในชีวิตมากมายหลายประการ ผู้หญิงหลายคนตั้งครรภ์

ไม่พร้อม ซึ่งบางคนต้องออกจากการเรียนกลางคัน หนีออกจากบ้านไปหางานรับจ้างเงินน้อยเพื่อเลี้ยงชีพ บางคนอาจไม่มีทางออกในชีวิตจนต้องกลายไปเป็นโสเภณี หลายคนก็ถูกเอารัดเอาเปรียบ แถมมีชีวิตครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ไม่เข้าใจ รวมถึงการต้องปิดบัง แอบซ่อนปัญหาเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นเพราะกลัวว่าจะเสียหน้า และ อับอาย ตามลักษณะนิสัยแบบสังคมญี่ปุ่น

ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งมันเกิดขึ้นจากการให้กำเนิด และ การเลี้ยงดูที่บิดเบี้ยว แต่นั่นก็จะโทษผู้หญิงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะมันก็เป็นข้อสังเกตของหนังอยู่เหมือนกัน ตรงที่ตัวหนังเน้นเล่าเรื่องของผู้หญิง (โดยเฉพาะชีวิตผู้หญิงญี่ปุ่น) เสียมาก จนทำให้ขาดมุมมองของผู้ชาย และ ความเป็นผู้ชายในฐานะผู้มีส่วนในความรับผิดชอบ ทั้งการเลี้ยงดูลูก และ การมีส่วนปกป้องสังคมไม่ให้คนไม่ว่าจะเพศไหน ต้องตกเป็นเบี้ยล่างหรือถูกเอาเปรียบในความแตกต่างทางเพศได้

แม้หนังเรื่องนี้ของผู้กำกับ ‘นาโอมิ คาวาเสะ’ จะมีความ ‘แมส’ มากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เธอเคยกำกับมาก่อนหน้านี้ แต่เรื่องนี้ก็ยังมีร่องรอยวิธีการเล่าเรื่องด้วยกลวิธีแบบหนังอินดี้อยู่พอสมควร ทั้งวิธีการเล่าเรื่องที่แช่มช้า (แต่ไม่เชื่องช้า)

การใช้ภาพธรรมชาติใน 6 เมืองสำคัญของประเทศญี่ปุ่น ทั้งป่าไม้ ภูเขา ทะเลอันสวยงามที่เสมือนเป็นตัวแทนเรื่องรา วและ ความรู้สึกของตัวละคร วิธีการเล่าเรื่องที่แหวกขนบทั้งการเปลี่ยนบางซีนให้กลายเป็นสารคดีสัมภาษณ์ที่ถือกล้อง Handheld รวมถึงการเล่าข้าม 2 เส้นเรื่องแบบไม่แคร์เวิลด์

ซึ่งแน่นอนว่าในทีแรกที่ดูอาจทำให้รู้สึกงงนิด ๆ ว่า ทำไมถึงเล่าเรื่องคนนั้นมากกว่าคนนี้ แต่สุดท้ายก็ทำให้เราหายงง เพราะตัวหนังกลาง และ ท้ายเรื่องกลับสามารถขมวดปม และ โยงใยเรื่องราวระหว่าง 2 ครอบครัว ภายใต้เรื่องราวของความเป็นแม่เข้ากันได้อย่างงดงาม และ สะท้อนเรื่องราวของสถาบันครอบครัว ความเป็นแม่ และ ความเป็นผู้หญิงได้อย่างหนักหน่วง งดงาม และ บาดลึกจนอาจน้ำตารื้น

แน่นอนว่าหลายคนอาจรู้สึกไปก่อนแล้วว่า หนังที่เกี่ยวกับประเด็นแม่ลูกบุญธรรม ก็คงไม่พ้นการแย่งชิงลูกกัน แต่ต้องบอกเลยว่า ‘True Mothers’ คือหนังที่ลงลึกให้เราได้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว รวมถึงความเป็นแม่ ที่ไม่ใช่มีแค่ทำหน้าที่ให้กำเนิดออกมา

หรือทำหน้าที่เลี้ยงดูให้เติบโตเพียงเท่านั้น แต่ระหว่างทางที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นมา การมอบความรัก ความเข้าใจ และ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเหมือนคนไร้ตัวตนให้กับลูก นั่นต่างหากคือสิ่งที่จะทำให้ครอบครัว และ สังคมแข็งแรง และ มีความสุข เว็บหนัง

รีวิว Ambulance

รีวิว Ambulance

รีวิว Ambulance

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับทุกคนคอหนังแอ็กชันต้องสั่นสะท้ายเมื่อเจ้าแห่งหนังบู๊อย่าง เสด็จพ่อแห่งหนังแอ็กชันอย่างป๋า ‘ไมเคิล เบย์’ พระเอกหนังดังหลายๆเรื่อง (Michael Bay) หลังจากฝากความโหดในภาพยนตร์ Netflix Original ‘6 Underground’ (2019) เอาไว้ได้อย่างโหด ปีนี้ป๋าขอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลงานภาพยนตร์แอ็กชันวินาศสันตะโรเรื่องใหม่ล่าสุด ‘Ambulance’ หรือ ‘ปล้นระห่ำ ฉุกเฉินระทึก’

ซึ่งเป็นผลงานที่หยิบเอาเค้าโครงเรื่องจากต้นฉบับภาพยนตร์ของประเทศเดนมาร์ก ‘Ambulancen’ (2005) มารีเมกใหม่ให้กลายเป็นภาพยนตร์แอ็กชันสุดระทึก ภายใต้มาตรฐานระเบิดเขาเผากระท่อมสไตล์ป๋าเบย์ หรือที่มีศัพท์ที่บัญญัติเรียกเป็นการเฉพาะว่า ‘Bayhem’ นั่นแหละ เว็บดูหนัง

รีวิว Ambulance

รีวิวหนังมาใหม่ เรื่องราวของ ‘Ambulance’ เริ่มต้นด้วย ‘วิลเลียม ชาร์ป’ (Yahya Abdul-Mateen II) อดีตทหารผ่านศึกที่กำลังกลุ้มใจ เพราะต้องหาเงินจำนวนมหาศาลมาจ่ายค่ารักษาผ่าตัดภรรยา ด้วยความมืดแปดด้าน เขาจึงจำใจขอความช่วยเหลือจาก ‘แดนนี ชาร์ป’ (Jake Gyllenhaal) พี่ชายบุญธรรมและอาชญากรมืออาชีพ แดนนีจึงเสนองานปล้นธนาคารใหญ่ยักษ์กลางเมืองลอสแองเจลิส เพื่อหวังครอบครองเงินจำนวนสูงถึง 32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แต่แล้วเรื่องก็เริ่มบานปลาย ทำให้ทั้งคู่ต้องหลบหนีด้วยการจี้รถพยาบาล เพื่อใช้ขับหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทั่วเส้นทางถนนของเมืองลอสแองเจลิส โดยมี ผู้ป่วยตำรวจที่กำลังบาดเจ็บสาหัส และ ‘แคม ธอมป์สัน’ (Eiza González) เจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉินติดรถมาเป็นตัวประกันด้วย ทั้งคู่จึงต้องซิ่งรถพยาบาลคันนี้เพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ระดมทั้งรถและเฮลิคอปเตอร์ออกไล่ล่า และแถมยังต้องรักษาชีวิตของตำรวจเอาไว้ให้ได้ เพราะไม่งั้นอาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้กฏหมายเอาได้ง่าย ๆ

ณ ตอนที่หนังเข้าฉายนี้ ผู้เขียนเองยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องตัวเลขทุนสร้างของเวอร์ชันไมเคิล เบย์นะครับ แต่ถ้าจะให้เทียบ ผู้เขียนคิดว่าหนังเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นหนังฟอร์มใกล้เคียงกับ ‘6 Underground’ (2019) นั่นแหละ ซึ่งถ้าจะให้เทียบกับ ‘Ambulancen’ ต้นฉบับหนังของเดนมาร์ก ซึ่งจริง ๆ แล้วเนี่ย มันเป็นหนังคอมมีดี้แอ็กชันที่โปรดักชันก๊องแก๊งสุด ๆ เลยนะครับ ไม่แน่ใจว่าป๋าแกไปเห็นแววได้ไง

แต่ก็นั่นแหละครับ สายตาและวิสัยทัศน์แบบป๋าเบย์ซะอย่าง สามารถอัปเกรดจากหนังบ้าน ๆ ให้กลายเป็นหนังฟอร์มปานกลางที่จัดหนักด้านเอฟเฟกต์แท้ ๆ ไม่พึ่งพาซีจีแบบหนักมือ และอัปเกรดบทให้กลายเป็นแอ็กชันซีเรียส ตาามแบบฉบับมาตรฐานหนังระเบิดเขาเผากระท่อมของไมเคิล เบย์ จนแทบจะลืมหนังต้นฉบับก๊องแก๊งเรื่องนั้นไปเลยแหละ (555)

รีวิว Ambulance

ในแง่ของบท อย่างที่บอกว่า ป๋าเบย์ยังคงเน้นแอ็กชันแบบหนักมือ แต่ก็ดีตรงที่ไม่ได้ละเลยเนื้อหาไปเสียทีเดียว ในองก์แรกจึงเน้นหนักไปที่การเล่าปูพื้นเรื่องราวเพื่อให้คนดูซึมซับความเป็นหนังคู่หู หรือ Buddy Film ไว้เนิ่น ๆ ตั้งแต่ความลำบากของวิลเลียมในการหาเงินมาผ่าตัดภรรยา มุมมองของคนปฏิบัติหน้าที่พยาบาลฉุกเฉินในแบบของแคม (แคมิล)

เรื่องราวความเป็นพี่น้องของแดนนีกับวิลเลียม ที่แม้ว่าจะเป็นพี่น้องบุญธรรมที่ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ทั้งคู่ก็มีชีวิตที่ค่อนข้างจะสวนทางกัน แดนนีเติบโตมาเป็นอาชญากรตามรอยพ่อแบบไม่เกรงกลัวกฏหมาย ส่วนแดเนียลกลับเลือกที่จะไปเป็นทหาร และกลายมาเป็นทหารผ่านศึกที่เชี่ยวชาญปฏิบัติการทางการทหารเป็นอย่างดี

จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่มาร่วมปฏิบัติภารกิจปล้นธนาคาร แม้เหตุการณ์จะเดินเรื่องได้ค่อนข้างกระชับฉับไว แต่ตัวหนังก็ยังให้เวลาเต็มที่กับปฏิบัติการปล้นครับ พูดง่าย ๆ ก็คือ องก์แรกนี่คือแทบจะ No Action เลย พร้อม ๆ กับการใช้บทสนทนาของตัวละครในการค่อย ๆ ให้รายละเอียดปูมหลัง จนกระทั่งสัญญาณแรกมาถึง ตัวหนังถึงค่อยกระทืบคันเร่ง ก่อนจะออกสตาร์ตด้วยแอ็กชันแบบต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อแดนนีและวิลเลียมปล้นรถพยาบาล ออกไปซิ่งบนถนนเพื่อหลบหนีการจับกุม ตัวหนังจึงค่อย ๆ เพิ่มซีนแอ็กชัน งานระเบิด รถชน งานวินาศสันตะโรบนถนน และฉากซิ่งหลบหนีขบวนรถและเฮลิคอปเตอร์ตำรวจ ที่แห่กันมาไล่ล่ากันจนแทบไม่ให้ได้หยุดหายใจ

รวมทั้งการแอบแวะเล่นมุกตลกเบี้ยบ้ายรายทาง ซึ่งอันนี้ก็ถือว่าเป็นสไตล์ป๋าเบย์อีกนั่นแหละ เพราะขนาดเหตุการณ์กำลังเดือด ๆ ลุ้นกันมือแทบหงิก แต่ก็ยังสอดแทรกมุกจังหวะนรก หรือตลกกวนเบื้องล่างเข้ามาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้หน้าตาเฉย แถมด้วยบทสนทนากวนเบื้องล่างจี๊ด ๆ ไปอีกดอก ซึ่งก็ถือว่าแก้เลี่ยนแกล้มแอ็กชันระทึกได้ดีเลย แถมป๋าแกยังแอบใส่ Easter Egg เกี่ยวกับหนังที่แกเคยกำกับไว้ รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวแกเองเอาไว้ด้วยนะครับ ต้องลองหาดู ดูหนัง

บทสรุป Ambulance

รีวิวหนังมาใหม่ ซึ่งพอตัวหนังให้รายละเอียดในการปูเรื่องไว้ค่อนข้างดี มันก็เลยส่งผลดีให้กับหนังในหลาย ๆ จุด ทั้งเรื่องราวดราม่าที่ปูและกลับมาเก็บกลับในตอนท้ายเรื่องได้โอเคเลย รวมทั้งการเห็นความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครพี่น้องอย่างแดนนีกับวิลเลียม ที่เราจะได้เห็นเรื่องราวความรักในครอบครัว การทำหน้าที่เจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉินด้วยจิตวิญญาณ

รวมทั้งความสัมพันธ์ของพี่น้อง ที่ตัวหนังปูให้เราเห็นว่า ทั้งคู่แม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องทางสายเลือด แต่ก็เป็นเหมือนพี่น้องจริง ๆ ที่ผูกพันรักใคร่กันมาตั้งแต่เด็ก แต่แม้จะรักใคร่กันแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็มีความขัดแย้งในแง่ของอุดมการณ์ที่สวนทางกัน กลายเป็นปม Conflict เล็ก ๆ ให้ได้ลุ้นว่าทั้งคู่จะตัดสินใจต่อไปยังไง ระหว่างชิ่งขนเงินหนี แล้วปล่อยให้ตำรวจตาย หรือจะช่วยทุกคนให้รอดพ้นจากเหตุสุ่มเสี่ยงอันตรายไปพร้อม ๆ กัน เรียกว่าเป็นหนังที่จะทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วยทั้งฝั่งตัวเอก และฝั่งตำรวจไปด้วยพร้อม ๆ กันเลย

ซึ่งอันนี้ก็ต้องชื่นชมคุณ ‘เจก จิลเลนฮาล’ (Jake Gyllenhaal) ด้วยนะครับ ในฐานะที่ค่อย ๆ ระเบิดความคลั่งออกมาได้สุดพลังมาก ๆ คือก็คงไม่ถึงกับแบกหนังหรอกนะครับ แต่ว่าการแสดงของคุณพี่เค้า ทั้งมาดเจ้าเสน่ห์แพรวพราวในฐานะอาชญากรมือโปร และการระเบิดพลังคลั่งเครียดในรถพยาบาล ก็ต้องเรียกได้ว่าการแสดงของคุณพี่เค้าโดดเด่นออกหน้าออกตาจริง ๆ นั่นแหละ

รีวิว Ambulance

และที่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้นั่นก็คือนักแสดงสาว ‘ไอซา กอนซาเลซ’ (Eiza González) ผู้รับบทเจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉิน ที่แม้จะร่วมตะลุยในเหตุบ้าคลั่งจนยับเยินไปหมด แต่ก็ต้องชมว่า เธอในชุดเจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉินนี่ช่างขึ้นกล้องและมีเสน่ห์ สมกับเป็นหนึ่งในนางเอกจักรวาลหนังป๋าเบย์จริง ๆ

อีกจุดที่ทำให้ตัวหนังที่แม้จะมีเล่าผ่านเหตุการณ์เดียวตลอดเกือบทั้งเรื่อง แต่ก็ทำออกมาได้ไม่น่าเบื่อก็คือ การที่ทั้งคู่เองก็พอจะมีทักษะด้านปฏิบัติการทางทหาร เพราะวิลเลียมเองก็เป็นอดีตทหาร ส่วนแดนนีก็มีกองหนุนไว้คอยช่วยเหลือให้ทั้งคู่หลบหนีได้อย่างสะดวก ทำให้ทั้งคู่จึงแอบใช้ปฏิบัติการทางทหารมาประยุกต์ใช้ในการหลบหนีตำรวจด้วย ทำให้การไล่ล่าจึงไม่ใช่แค่การซิ่งรถชนนั่นระเบิดนี่แต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างปฏิบัติการซิ่งหลบหนี กับปฏิบัติการไล่ล่าของตำรวจที่เรียกได้ว่ารู้ทันกัน และไล่ตามกันแบบสูสีแบบไม่มีใครยอมใคร

อีกฉากที่เรียกได้ว่าเป็นฉากไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็คือฉากผ่าตัดบนรถครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็แทบจะแกะแบบมาจาก ‘6 Underground’ (2019) มาเลยนั่นแหละ เพียงแต่ว่าในหนังเรื่องนี้ ด้วยความที่สถานการณ์ออกจะคับขันกว่ามาก ตัว ‘แคม ธอมป์สัน’ เองก็เป็นเพียงแค่พยาบาลฉุกเฉินที่ไม่มีความรู้ในการผ่าตัด แถมอาการของตำรวจที่โดนยิงก็อาการสาหัส เธอก็เลยจำเป็นจะต้องผ่าตัดใหญ่เพื่อจะเอากระสุนออกจากม้าม ทั้ง ๆ ที่รถกำลังวิ่งซิ่งหนีการจับกุมอยู่ เอาจริง ๆ ถ้าจะเทียบกัน ฉากผ่าตัดในหนังเรื่องนี้ถือว่าทำได้ถึงกว่าครับ เรียกได้ว่านอกจากจะระทึกแล้ว ยังชวนให้เสียวสันหลังและแอบพะอืดพะอม (สำหรับคนที่กลัวเลือดแบบผู้เขียน) เข้าไปใหญ่เลย

ส่วนถ้าจะมีข้อสังเกตอยู่บ้าง ก็ต้องหมายเหตุไว้ก่อนนะครับว่า หนังแนว ๆ นี้ของป๋าเบย์ ก็เป็นหนังที่เน้นให้ความบันเทิงเป็นหลักนั่นแหละนะครับ ถ้าดูเอาเป็นความบันเทิง ก็ถือว่าเป็นหนังที่สนุกมากทีเดียว ทั้งฉากไล่ล่า มุกจังหวะนรก หักเหลี่ยมซ้อนแผน การช่วยชีวิตตำรวจที่ถูกยิงอาการสาหัส และฉากเอฟเฟคระเบิดตูมตามวินาศสันตะโร แต่ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ด้วยสายตาซีเรียส มันก็ยังพอจะเห็น Plot Hole เวอร์เกินจริงให้เพ่งเล็งได้ตลอดทั้งเรื่องนั่นแหละ เว็บหนัง

ทั้งเรื่องง่าย ๆ เช่นทำไมซิ่งรถกันขนาดนี้แล้วน้ำมันไม่หมดบ้างเหรอ ฉากผ่าตัดที่แม้จะชวนให้หวาดเสียว แต่ก็มีความเวอร์จนรู้สึกทะแม่ง ๆ ไปสักหน่อย แต่ก็นั่นแหละคนที่เป็นแฟนหนังป๋าเบย์ ย่อมเข้าใจว่า ความเป็น Bayhem ก็คือองค์ประกอบ การตัดต่อ และความเวอร์วังอะไรทำนองนี้นี่แหละ ที่แฟนหนังชื่นชอบและเป็นเอกลักษณ์สำคัญของหนังไมเคิล เบย์ คือถ้าดูมันในฐานะหนังแอ็กชันบันเทิงแกล้มป๊อปคอร์น (บวกน้ำอัดลม) หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าสอบผ่านฉลุย

โดยสรุป ‘Ambulance ปล้นระห่ำ ฉุกเฉินระทึก’ สำหรับแฟน ๆ หนังป๋าเบย์ ก็เรียกได้ว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ยึดความเป็น Bayhem เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน มีและทำทุกอย่าง อย่างที่หนังไมเคิล เบย์ควรจะเป็นจริง ๆ สำหรับคอหนังแอ็กชันสายแมส ก็ถือว่าเป็นหนังแอ็กชันที่ให้ความบันเทิงได้แบบไม่ต้องคิดอะไร ดูแล้วได้ลุ้น ระห่ำสะใจ รวมทั้งงานด้านภาพที่เฟี้ยวฟ้าวถูกใจคนรุ่นใหม่แน่นอน (ส่วนคนรุ่นเก่าแบบผู้เขียน ขอแอบเวียนหัวนิดนึงนะ (555)

 

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีจ้าแฟนๆชาวโซนิก เรียกได้ว่ามาสานต่อความสำเร็จจากภาคที่แล้วแบบรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ผู้ชมหรือแฟนๆเปื่อยไปก่อน ไม่ทิ้งช่วงให้รอนาน อย่างกับเจ้าเม่นสายฟ้าออกวิ่งอย่างนั้นแหละ เพราะว่า ‘Sonic The Hedgehog 2’ หรือ ‘โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก 2’ นี้ ทิ้งห่างจากภาคแรก ‘Sonic The Hedgehog’ (2020) ภาพยนตร์กึ่งแอนิเมชันแบบไลฟ์แอ็กชัน ที่สร้างมาจากคาแรกเตอร์และเกมในตำนานของค่ายเซกา (Sega) เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง กลายเป็นหนังสร้างจากเกมไม่กี่เรื่องที่สามารถรอดพ้นอาถรรพ์หนังสร้างจากเกมที่มักจะเห่ยสนิทและเจ๊งยับ จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสกลับมาสร้างภาคใหม่อีกครั้ง โดยได้ ‘เจฟฟ์ ฟาวเลอร์’ (Jeff Fowler) ผู้กำกับจากภาคแรก และนักแสดงชุดเดิมจากภาคแรก กลับมาร่วมงานแบบครบทีม

เคล็ดลับความสำเร็จก็น่าจะมาจากการที่ตัวหนังดูสนุก ดูง่าย เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี แถมยังเอาใจคอเกมด้วยการใส่แฟนเซอร์วิสและ Easter Egg จากเกมมาให้แบบจุก ๆ รวมทั้งการที่พาราเมาต์ พิกเจอร์ส (Paramount Pictures) ยังยอมอัดงบเพิ่ม 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อปรับแก้ดีไซน์เจ้าโซนิคเวอร์ชันแรก ที่โดนแฟน ๆ ถล่มเพราะออกมาทรงประหลาดเกินรับไหว เรียกว่าปรับแก้กันจนในที่สุดก็ออกมาน่ารักน่าชัง และใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ต้นฉบับที่คุ้นเคยมากกว่าที่จะเน้นความสมจริง

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

แน่นอนว่า เนื้อเรื่องในภาคนี้เองก็จะต่อมาจาก Mid-Credits จากภาคที่แล้วเลยครับ ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้ดู อันนี้ผู้เขียนขอเบรกให้หยุดอ่าน แล้วไปหาดูใน Netflix ก่อนได้เลยนะครับ เพราะเนื้อหาค่อนข้างต่อและเชื่อมโยงมาจากภาคแรกพอสมควร ถ้าไม่ดูมาก่อนอาจจะมีงงและโดนสปอยล์ได้ เว็บดูหนัง

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ เนื้อหาเริ่มต้นหลังจากที่ ‘โซนิค’ (พากษ์เสียงโดย Ben Schwartz) ได้เนรเทศ ‘ดร. โรบอตนิก’ (Jim Carrey) ไปอยู่ดาวเห็ดได้ในภาคแรก เจ้าเม่นสีฟ้าก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ ‘ทอม’ (James Marsden) นายอำเภอเมืองกรีนฮิลล์ (Green Hills) และคู่รัก ‘แมดดีย์’ (Tika Sumpter) โซนิคกำลังสนุกอยู่กับการแอบเป็นฮีโรฉายเดี่ยวพิทักษ์โลก (ที่สุดท้ายมักจะจบไม่ค่อยสวย)

จนกระทั่งวันหนึ่ง โซนิคต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง เพราะทอมกับแมดดีย์ต้องเดินทางไปงานแต่งงานของ ‘ราเชล’ (Natasha Rothwell) พี่สะใภ้ที่ฮาวาย ในขณะเดียวกันที่ ดร. โรบอตนิก หรือด็อกเตอร์เอกแมน (Doctor Eggman) ก็กำลังวางแผนจับมือกับ ‘นักเคิลส์’ (พากษ์เสียงโดย Idris Elba) นักรบเผ่าอีคิดนาที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่่สุดในกาแล็กซี่ เพื่อแย่งชิงมรกต (Master Emerald) อัญมณีทรงพลังที่มีอำนาจในการทำลายอารยธรรมมาเป็นของตัว โซนิคจึงต้องแย่งชิงมาให้ได้ก่อนที่จะตกไปอยู่ในมือผู้ร้าย โดยมี ‘เทลส์’ (พากษ์เสียงโดย Collen O’Shanussy) จิ้งจอกสองหางสุดอัจฉริยะ แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงของโซนิค ร่วมมือในการปกป้องโลกในครั้งนี้ด้วย

รีวิว Sonic the Hedgehog 2

ในส่วนของพล็อตเรื่อง ผู้เขียนแอบคิดเอาเองว่า ผู้เขียนบทน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์เรื่องราวจากเกม บวกกับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในแอนิเมชัน ‘Sonic X’ (2003 – 2006) (ฉายทาง Netflix) นะครับ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่ถ้าใครเคยดูแล้วจะร้องอ๋อเหมือนผู้เขียนแน่นอน เพราะเนื้อเรื่องในอนิเมะบางตอนนั้นมีความคล้ายกับเรื่องราวในหนังพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องราวของการแย่งชิงมรกต และ ‘ตัวละครบางตัว’ ที่โผล่มาในหนังเป็นครั้งแรก ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟน ก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้ได้รู้จักตัวละครใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก และผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าดูหนังแล้ว น่าจะอยากกลับบ้านไปดู Sonic X ต่อแน่นอน

ซึ่งตัวหนังเองก็ยังคงยึดวิธีการเขียนบท และวิธีการเล่าเรื่องในแบบเดียวกับภาคแรก ที่เน้นความเบาของเนื้อเรื่อง เดินเรื่องเป็นเส้นตรง ดูง่าย เบาสมอง เรตไม่แรง รวมทั้งการหยิบ Easter Egg จากในเกมมาใส่ได้อย่างกลมกลืนและเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนเกมได้ไม่แพ้ภาคแรก แต่สิ่งที่ทำให้ภาคนี้มีความแตกต่างก็คือ ความเล่นใหญ่นี่แหละครับ เรียกว่าภาคนี้ขยายสเกลทั้งเรื่องราว โปรดักชัน ซีจี ที่เรียกได้ว่าอัปเกรดจากภาคที่แล้วขึ้นอีกหลายเท่าตัว ตั้งแต่บทที่เน้นเรื่องราวการผจญภัยปกป้องกาแล็กซี และซีจีที่อัปเกรดจัดเต็มแบบ Epic ซะจนแทบจะกลายเป็นหนังฮีโร Marvel แบบย่อม ๆ ไปแล้ว (555)

ซึ่งไอ้ความเล่นใหญ่แบบ Epic นี่แหละที่ถือว่าเป็นการแก้ Pain Point จากภาคแรกแบบชัดเจนมาก เพราะภาคแรกจริง ๆ ก็ดูสนุกแหละครับ แต่พล็อตมันก็ค่อนข้างจะเด็ก ๆ เหมือนดูอนิเมะอยู่พอสมควร แต่พอขยายพล็อตใหญ่ขึ้น ได้เห็นการผจญภัยมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตัวพล็อตและการดำเนินเรื่องมีพลังมากพอที่จะเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม และถือว่าเป็นอะไรที่เกินคาดมาก ๆ โดยเฉพาะใครที่อาจจะรู้สึกว่าภาคแรกอร่อยแต่ให้น้อยเหมือนกินอาหารเด็ก ภาคนี้รับรองว่ามีจุกแน่นอน ดูหนัง

สรุป Sonic the Hedgehog 2

รีวิวหนังมาใหม่ แน่นอนว่า ตัวหนังก็ยังมีข้อสังเกตก็คือ ยังมีบางฉากที่ดูจะไม่ค่อยจำเป็นและไม่ได้มีผลต่อเรื่องมากนัก ซึ่งทำให้ตัวหนังบางช่วงดูยืดยาดน่าเบื่อคล้าย ๆ ภาคแรกไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังพอจะแฝงเรื่องราว ใส่ Plot Twist ให้ตื่นเต้นและดูสนุก แม้ว่าตัวเรื่องจะพอเดาได้ ใส่มุกฮาให้ได้ขำพอไหล่สั่น โชว์คาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวได้ชัดขึ้น และยังสามารถขับเน้นประเด็นเรื่องความเป็นเพื่อนและครอบครัวได้มีพลังและชวนให้ซึ้งได้อย่างจัดเต็มมาก ๆ (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใช้ทีมสร้างเดียวกับ ‘The fast and the furious’ หรือเปล่านะ เอะอะก็ครอบครัว ๆ (555))

ส่วนในแง่ของการแสดง ก็หนีไม่พ้นล่ะครับที่จะไม่พูดถึงตัวละครที่มาจากเกม ที่ดูจะทำได้ดีกว่าตัวละครที่เสริมแต่งในเวอร์ชันหนังไปทั้งสองภาคซะแล้วแฮะ ไม่ว่าจะเป็นเคมีระหว่างตัวละครระหว่างโซนิค เทลส์ และนักเคิลส์ ที่ทำออกมาได้น่ารักมาก ๆ และหนีไม่พ้นที่จะต้องยก MVP ให้กับลุงจิม แครีย์ (Jim Carrey) เจ้าของบทด็อกเตอร์โรบอตนิกนี่แหละครับ ที่ภาคนี้มีโอกาสได้ปล่อยลีลาแบบจัดเต็มซะยิ่งกว่าภาคที่แล้วอีก คือถ้าลุงจะเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายจริง ๆ เหมือนอย่างที่ลุงแกออกมาให้สัมภาษณ์ ก็ถือว่าเป็นการทิ้งทวนที่ไม่เสียหลายล่ะครับ

โดยสรุป ‘Sonic The Hedgehog 2’ ก็ยังทำหน้าที่เป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัวได้อย่างดีนะครับ ด้วยพล็อตเบา ๆ และการดำเนินเรื่องแบบเส้นตรงที่ดูง่ายไม่ซับซ้อน ในขณะที่ตัวหนังเองก็จัดเต็มได้แบบจุก ๆ ด้วยโปรดักชันและซีจีที่เล่นใหญ่กว่าภาคแรก เป็นหนังสำหรับครอบครัวที่ให้ความบันเทิงเล่นใหญ่ที่ดูได้สนุกกันทั้งครอบครัว เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมหรือไม่ก็ตาม เว็บหนัง

RELEASE DATE 06/04/2022
แนว แอ็กชัน / ผจญภัย / แอนิเมชัน
ความยาว 2.02 ชม. (121 นาที)
เรตผู้ชม G
ผู้กำกับ เจฟฟ์ ฟาวเลอร์ (Jeff Fowler)

จุดเด่น

– ยังเน้นดูง่าย ดูสนุก เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดีเหมือนภาคแรก
– พล็อตและงานซีจีจัดเต็มเล่นใหญ่กว่าภาคที่แล้ว
– มุกฮาดูง่าย สนุก ตื่นเต้น ดูง่าย บันเทิงกว่าภาคแรก
– แฝงแง่คิดเกี่ยวกับเพื่อนและครอบครัวได้ดี
– จิม แครี แสดงได้ร้ายและแพรวพราวกว่าภาคที่แล้ว

จุดสังเกต

–  บางข็อตแอบยืดยาดไปหน่อย อาการคล้ายภาคแรก
– เดินเรื่องเป็นเส้นตรง มีพล็อตทวิสต์บ้างแต่ก็ยังเดาง่าย

 

รีวิว The King’s Man

รีวิว The King’s Man

รีวิว The King’s Man

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับผม วันนี้จะมารีวิวหนังไตรภาคของ คิง แมน ย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากที่ผู้กำกับอย่าง ‘แมทธิว วอห์น’ (Matthew Vaughn) ได้พาเราไปรู้จัก ‘คิงส์แมน’ (Kingsman) หน่วยสืบราชการลับสุภาพบุรุษสุดเนี้ยบที่ไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด ๆ มีสำนักงานที่แอบซ่อนไว้ภายใต้ร้านตัดสูท ณ ถนนซาวิลล์ โรว์ (Savile Row) ประเทศอังกฤษมาแล้วถึง 2 ภาค ทั้ง ‘Kingsman: The Secret Service’ (2015) ที่เน้นความหล่อเท่ และ ‘Kingsman: The Golden Circle’ (2017) ที่แหวกแนวและเปี่ยมลูกบ้า

แต่คราวนี้ สุภาพบุรุษคิงส์แมนกลับมาอีกครั้งใน ‘The King’s Man’ หรือ ‘กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน’ ที่ไม่ได้นับเป็นหนังภาค 3 แต่เป็นภาพยนตร์ Prequel (หรือเรียกว่าเป็น Spin off หรือหนังภาคขยายก็ได้ เพราะว่าเนื้อหาไม่ได้ต่อจากสองภาคที่แล้ว) ที่จะพาย้อนกลับไปยังยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ค้นหาที่มาที่มาที่ไปของหน่วยคิงส์แมนที่มีต้นกำเนิดยาวนานนับร้อยปี เมื่อโลกต้องพบกับเหล่ามหาวายร้ายที่หมายจะล้างบางเหล่ามวลมนุษย์ บุรุษคนหนึ่ง พร้อมลูกชายของเขา และเหล่าสหาย จึงจะต้องร่วมมือกันปกป้องโลกให้ทันเวลาอย่างมีสไตล์ เว็บดูหนัง

รีวิว The King’s Man

รีวิวหนังมาใหม่ ตัวหนังเล่าย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดยุก ‘อ็อกฟอร์ด’ ได้สูญเสียภรรยาไปอย่างกะทันหันในระหว่างภารกิจส่งสเบียงให้กับทหาร เขาให้คำสัญญากับภรรยาว่าจะปกป้องลูกชายคนเดียวอย่าง ‘คอนราด’ (Harris Dickinson) ผู้มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นทหารไม่ให้เข้าร่วมรบ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุลอบสังหารจักรพรรดิแห่งออสเตรีย กลายเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นแผนของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ที่คอยชักใยการเมืองของประเทศ

รีวิว The King’s Man

ร่วมสงครามอยู่เบื้องหลัง ดยุกอ็อกฟอร์ดจึงได้เผย “เครือข่ายคนรับใช้” ที่คอยสอดแนมหาข่าวกรองทั่วทุกมุมโลก ที่มีแม่บ้านอย่าง ‘พอลลี’ (Gemma Arterton) และ ‘โชลา’ (Djimon Hounsou) สารถีรถม้าเป็นสมาชิกลับ ๆ ให้คอนราดได้รับรู้ ซึ่งเครือข่ายนี้นี่แหละคือต้นกำเนิดที่จะกลายไปเป็นหน่วย Kingsman ในเวลาต่อมา

แม้ว่าจะเป็นหนังที่เป็นภาคต่อจาก Kingsman ทั้งสองภาค แต่ก็ต้องขอเบรกเอี๊ยดก่อนนะครับ ถ้าหากว่าอยากจะไปดูแอ็กชันมัน ๆ ล้ำ ๆ เปี่ยมลูกบ้า หรืออยากไปดูความทันสมัยเท่เนี้ยบเฉียบคมในแบบสองภาคก่อนหน้านี้ เพราะว่าตัวหนังเรื่องนี้เป็นหนัง Prequel ที่พาย้อนไปหาตำนานต้นกำเนิดของหน่วยข่าวกรองคิงส์แมนแบบจริง ๆ จัง ๆ โปรดักชันดีไซน์โดยรวมก็เลยพาย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 แบบชัดเจนซะจนแทบไม่หลงเหลือภาพของหนังแอ็กชันล้ำ ๆ และพล็อตเปี่ยมลูกบ้าเหมือนอย่างสองภาคก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่แทนที่ด้วยการเล่าเรื่องแบบหนังแอ็กชันที่ผสมรายละเอียดเกี่ยวกับการเมือง สงคราม และนำเสนอผ่านเรื่องราวของสายลับอังกฤษสมัยโบราณขนานแท้

สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างชัดเจนของหนังเรื่องนี้ก็คือการหยิบเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกมาตีความใหม่และดัดแปลงได้อย่างโดดเด่นและกลมกลืนมาก ๆ ครับ นอกจากว่าจะหยิบเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริง รวมทั้งการใส่บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เช่นจักรพรรดิ กษัตริย์ ประธานาธิบดี รวมถึง ‘รัสปูติน’ (Rhys Ifans) ผู้อื้อฉาว หรือแม้แต่ดยุกอ็อกฟอร์ดเองก็ได้แรงบันดาลใจจาก ‘ทีอี ลอว์เรนซ์’ (T. E. Lawrence) สายลับอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีตัวตนอยู่จริง

รีวิว The King’s Man

รวมทั้งการดัดแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่นการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียด้วย แม้ว่าตัวหนังจะเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์เอาไว้แบบหลวม ๆ แต่ก็ไม่ใช่แค่การเล่าประวัติศาสตร์ที่เอามาจับคู่กับตำนานสายลับคิงส์แมนที่เป็นเรื่องแต่ง ก่อนที่จะค่อย ๆ เฉลยที่มาที่ไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยคิงส์แมน (ที่คนดูภาคก่อน ๆ แล้วน่าจะเก็ต) เพียงเท่านั้น ดูหนัง

แต่ตัวหนังยังผสมผสาน และ แอบบิดประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการเพิ่มพล็อตให้ตัวแทนประเทศต่าง ๆ ถูกควบคุม และ ยุแยงให้ทำสงครามกันอย่างลับ ๆ โดย “คนเลี้ยงแกะ” ได้อย่างแนบเนียนกลมกลืน ชนิดที่ดูแล้วเชื่อว่าสายลับคิงส์แมนอาจจะมีอยู่จริง และ ที่เกิดสงครามโลกก็อาจจะเป็นเพราะผู้ชายเพียงคนเดียวก็ได้นะครับ (555) เรียกได้ว่าตัวหนังในครึ่งแรกนี่คือมีความเป็นโทนหนังการเมืองแบบซีเรียส ๆ อยู่พอสมควร คอประวัติศาสตร์สงครามโลกที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอึ้ง และ ชื่นชอบได้ไม่ยาก

บทสรุป The King’s Man

รีวิวหนังมาใหม่ แม้ว่าตัวหนังเองจะไม่ได้สานต่อจากสองภาคก่อนหน้า แต่ก็ต้องชื่นชมว่าตัวหนังเองยังคงดีเอ็นเอของหนังฉบับคิงส์แมนเอาไว้นะครับ ทั้งอารมณ์ขันที่คราวนี้ตัวหนังแฝงอารมณ์ขันสไตล์ผู้ดีอังกฤษเอาไว้แบบให้ได้พอยิ้ม ๆ และ ฉากแอ็กชัน ที่แม้ว่าในภาคนี้จะไม่ได้มีเยอะ ใส่ลูกบ้าแพรวพราว ความเนี้ยบหล่อเท่ และ ถล่มเครื่องมือไฮเทคแบบจัดเต็มเหมือนกับสองภาคหลัก แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแอ็กชันแบบโบราณ เช่นฟันดาบ การใช้มีด หรือสู้มือเปล่าเข้ามาแทน

แต่ถึงกระนั้น ตัวฉากแอ็กชันก็ยังแอบสอดแทรกความหวือหวา เช่น มุมกล้องแปลกแหวกแนว ใส่การเต้นลีลาศระหว่างต่อสู้ หรือใส่ฉากสังหารแบบโหด ๆ เข้ามาให้ได้ตื่นเต้น หรือเพลงประกอบที่ฉีกจากภาพอย่างที่หนัง Kingsman ทำในทุก ๆ ภาคก็ยังคงมีอยู่ ส่วนฉากต่อสู้ในสนามรบก็ทำได้ออกมาตึงเครียดในระดับเดียวกับหนังสงครามเพียว ๆ เลย รวมทั้งยังมีจุดพีกหักมุมให้ได้เซอร์ไพรส์ได้ตลอด (แม้ว่าจะมีบางซีนที่ยังมีความหลุด ดูโม้ ๆ การ์ตูน ๆ อยู่บ้างก็เถอะนะ (555)

ส่วนถ้าจะมีข้อสังเกต ก็มีอยู่สองจุดใหญ่ ๆ ครับ นั่นก็คือการให้รายละเอียดเกี่ยวกับแก๊งตัวร้าย ทั้งสมาชิก และ คนเลี้ยงแกะ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่สุดนั้นผู้เขียนมองว่า ตัวหนังยังไม่ได้ให้รายละเอียดกับฝั่งตัวร้ายสักเท่าไหร่ เป็นการเล่าแบบบาง ๆ แค่ว่าเป็นการประชุมกันระหว่างตัวแทนชาติต่าง ๆ ที่จะคอยไปเสี้ยมชักใยชาติของตัวเองให้ทำตามความต้องการของคนเลี้ยงแกะเพียงเท่านั้น จนทำให้ในบางครั้ง ตัวร้ายเองก็ดูไม่ค่อยจะน่ากลัวสักเท่าไหร่

รีวิว The King’s Man

และ ที่สำคัญคือ การเผยโฉมที่แท้จริงของคนเลี้ยงแกะ ที่อุตส่าห์ปิดบังเอาไว้ตลอดทั้งเรื่องว่าเป็นใคร สำหรับผู้เขียนคิดว่ายังไม่ว้าวเท่าที่ควรครับ และ อีกจุดก็คือ ด้วยความที่ตัวหนังทั้งเรื่องนั้นให้เวลากับการปูที่มาของคิงส์แมนอย่างเต็มที่ โดยมีแกนของประวัติศาสตร์โลกมาขับเคลื่อนเรื่องราว ถ้าใครที่พอจะรู้ปูมหลังอยู่แล้วน่าจะดูแล้วอินได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจปูมหลังประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็อาจจะรู้สึกว่าตัวหนังแอบเนือย ๆ ไปนิด กว่าจะเดินเรื่องมาถึงจุดที่ดยุกอ็อกซ์ฟอร์ดได้ก่อตั้งหน่วยคิงส์แมนขึ้นมาแล้ว ก็ถือว่าใช้เวลานานเกือบทั้งเรื่องอยู่เหมือนกัน

สรุปโดยรวม จริง ๆ กระแสคนดูในต่างประเทศสำหรับภาคนี้ค่อนไปทางลบนะครับ เรียกว่าแทบจะซ้ำรอยกับภาค 2 หรือภาค The Golden Circle เลยแหละ แต่สิ่งที่ผู้เขียนเองอยากจะบอกหลังจากดูก็คือ สำหรับภาคนี้ส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่าเกินคาดครับ และ ชอบมากกว่าภาค 2 ด้วยซ้ำ สำหรับแฟน ๆ สายลับคิงส์แมน หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการเติมเต็มจักรวาลสายลับ Kingsman ที่น่าจะสมกับการรอคอยหลังจากเลื่อนฉายมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ

เพราะตัวหนังเองก็เต็มไปด้วย Easter Egg และ ที่มาของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหน่วยคิงส์แมนเอาไว้ได้แบบแทบจะครบถ้วน (เพียงแต่ว่าต้องให้หนังปูเรื่องนานหน่อย) และ สำหรับคอประวัติศาสตร์ หนังเรื่องนี้ก็น่าจะถูกใจในแง่ของการหยิบเอาประวัติศาสตร์มาบิดใหม่ให้น่าสนใจขึ้น จนเรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นสปินออฟที่ต่อยอดไปสู่จักรวาลหนังสายลับ Kingsman ได้อย่างน่าสนใจ และ น่าไปดูซ้ำเก็บรายละเอียดอยู่เหมือนกันครับ เว็บหนัง

จุดเด่น

  • เติมมุมมองของหนังสายลับในแบบฉบับของ Kingsman ได้น่าสนใจโดยไม่ต้องอ้างอิงชื่อเสียงจากภาคหลักมากนัก
  • ดัดแปลง และ ยั่วล้อเกร็ดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้น่าสนใจดี คอประวัติศาสตร์น่าจะชอบ
  • พาร์ตแอ็กชันยังทำได้ดี ไม่ได้เน้นความไฮเทค และ เทคนิคแพรวพราวจัดจ้าน แต่เน้นลูกเล่นหวือหวา และ มุมกล้องแปลกใหม่

จุดสังเกต

  • ปูเรื่องสู่การกำเนิดคิงส์แมนค่อนข้างนาน คนไม่ชอบประวัติศาสตร์อาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ
  • ตัวหนังยังเล่าแบ็กกราวนด์ และ เล่าเรื่องฝั่งตัวร้ายได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
  • การเผยโฉมตัวร้าย “ตัวจริง” ยังไม่ค่อยว้าวเท่าที่

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับหนังเรื่องนี้เป็นหนังปี 2022 วันนี้แอดเลยอยากจะมารีวิวความรู้สึกหลังดูหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติของฮอลลีวูดที่มักจะฟื้นคืนชีพ ที่ได้รับการันตีจากหลายๆสื่อ หลายๆสำนักว่าครบเครื่องครบอารม ต่อลมหายใจหนังดังยุคอดีต เสียงก่นด่า อย่างน้อยที่สุดหนังเรื่องนั้นก็ได้ทำหน้าที่ ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นการกลับมาที่ได้รับคำชื่นชม หรือ ไม่แอดก็ชอบเรื่องนี้มาก ๆ

รีวิว Top Gun Maverick

พาคนรุ่นเก๋าให้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำ ขณะที่คนยุคปัจจุบันก็ได้โอกาสในการเสพความเป็นตำนาน.. ล่าสุดกับ Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) ก็คือ หนังภาคต่อของ Top Gun ( ท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า ) ที่ผ่านกาลเวลากว่า 3 ทศวรรษ จนกลายเป็นตำนาน เช่นเดียวกับพระเอกของเรื่อง ทอม ครูซ เว็บดูหนัง

รีวิว Top Gun Maverick

รีวิวหนังมาใหม่Top Gun Maverick ( ท็อปกัน: มาเวอริค ) เล่าเรื่องราวของ พีท “มาเวอริค” มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) นักบินระดับสูงของกองทัพเรือที่มุ่งมั่นกับการท้าทาย และ ยกระดับการบินมานานกว่า 30 ปี กระทั่งเขาได้รับหน้าที่สำคัญในการฝึกสอนหน่วย Top Gun ที่เต็มไปด้วยนักบินเลือดใหม่ชั้นยอด เพื่อคัดเลือกผู้ที่พร้อมที่สุดในการปฏิบัติภารกิจพิเศษที่มีเป้าหมายคือต้องสำเร็จเท่านั้น แต่โอกาสรอดชีวิตเป็นศูนย์! ภารกิจของครูฝึกที่น่าหนักใจนี้ ยิ่งหนักหนาขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อหนึ่งในนักบินคือ “รูสเตอร์” ( ไมล์ส เทลเลอร์ ) ลูกชายของเพื่อนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว นั่นทำให้เขาต้องพยายามวางแผน และ ฝึกฝนเพื่อให้หน่วย Top Gun พร้อมทำภารกิจ และ รอดชีวิตมาให้ได้ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจตลอดชีวิตการบินของเขา..

รีวิว Top Gun Maverick

เชื่อว่าหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะไม่เคยดู Top Gun ( ท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า ) ในโรงภาพยนตร์ แต่ก็คงได้มีโอกาสดูผ่านจอทีวีไม่ก็จอคอมฯ เช่นเดียวกับผู้เขียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะการดูผ่านจอคอมฯ หรือ วิธีการนำเสนอของหนังยุค 80 กันแน่

ที่ทำให้ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกชอบอะไรเป็นพิเศษกับหนังเรื่องนี้ แม้จะแอบทึ่งกับการถ่ายทำในยุคสมัยนั้น ที่นำเสนอภาพการบินบนน่านฟ้าที่ให้ความรู้สึกสมจริง และ ได้เห็นนักแสดงที่หลายคนกลายเป็นตำนานไปแล้วแสดงในหนังเรื่องนี้ก็ตามที

Top Gun Maverick ( ท็อปกัน: มาเวอริค ) ภาคต่อที่ครั้งนี้ได้โอกาสดูบนจอภาพยนตร์ IMAX กลับเป็นความสนุก และ บันเทิงไปกับแอ็กชันบินไล่ล่าที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกของสถานการณ์ที่บีบคั้นกดดัน ผ่านการนำเสนอที่รวดเร็ว รุนแรง ด้วยเทคนิคถ่ายทำในยุคปัจจุบัน ให้ความรู้สึกราวกับเราเข้าไปนั่งอยู่ใน Cockpit หรือ ห้องคนขับเครื่องบินก็ไม่ปาน ยิ่งได้ระบบเสียงรอบทิศทาง จนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของเบาะนั่งขณะที่ดู ยิ่งเพิ่มความอินไปกับฉากตรงหน้ามากยิ่งขึ้น

รีวิว Top Gun Maverick

ลงท้ายกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอีกครั้งในการดูหนังบนจอภาพยนตร์ ที่การดูบนจอทีวี หรือ จอคอมฯ ไม่มีทางมอบความรู้สึกนี้ให้ได้แน่ ๆ ตอกย้ำว่าหนังบางเรื่องมันถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะกับดูบนจอภาพยนตร์เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดหากใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ไม่มีความจำเป็นต้องดูภาคต้นเพื่อเตรียมตัวแต่อย่างใด หนังให้เวลามากพอที่จะปูเรื่องราวให้คนดูได้เข้าใจที่มาที่ไป ว่าทำไมมาเวอริคถึงเป็นตำนาน ความบาดหมางกับรูสเตอร์ ที่สถานะไม่ต่างจากพ่อ-ลูก

ที่มีปัญหาผิดใจกัน อีกทั้งยังตั้งคำถามสำคัญ ว่ายุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดรวดเร็วขนาดนี้ นักบินแบบมาเวอริค ยังจำเป็นอีก หรือ ไม่? ซึ่งตรงนี้คือจุดสำคัญที่ช่วยผลักดันเรื่องราว เป็นการท้าทายของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงที่มาเวอริคต้องเผชิญหน้าการบ่มเพาะผ่านกาลเวลา ทำให้ทุกอย่างใน Top Gun ที่กำกับโดย โทนี สก็อตต์ กลายเป็นตำนาน เป็นเส้นทางให้ Top Gun Maverick ที่กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยผ่านงานกำกับอย่าง Tron: Legacy และ Oblivion

ได้เดินตาม ทั้งวิธีการนำเสนอ เพลง ฉากคลาสสิกอย่าง ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ หรือ แม้กระทั่งฉากเล่นกีฬาที่ชายหาด ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นดั่ง Nostalgia ให้แฟนหนังยุค 80 ได้หวนคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งอดีตในทุกครั้งที่ได้ดูหนังของ ทอม ครูซเรามักจะอินไปกับการแอ็กชันของเขา แต่ครั้งนี้ด้วยฉากแอ็กชันที่เป็นการขับเครื่องบินรบ ทำให้เงื่อนไขทางแอ็กชันเปลี่ยนไป ทอม ครูซ ต้องถ่ายทอดฉากแอ็กชันผ่านทางแววตาเป็นสำคัญ ดูหนัง

จึงอย่าแปลกใจหากครั้งนี้เราจะอินไปกับการแสดงของเขา ซึ่งทีมเขียนบทที่ประกอบไปด้วย เออเรน ครูเกอร์, เอริค วอร์เรน ซิงเกอร์ และ คริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี่ ( มือเขียนบทคู่บุญ ทอม ครูซ ) 

มีส่วนไม่น้อยเลยในการสร้างเรื่องราวภาคต่อ ที่ดูไม่ฝืน และ เข้มข้นในแบบที่ภาคต่อควรจะเป็น ที่ช่วยยกระดับฉากแอ็กชัน และ การแสดงที่เต็มไปด้วยดราม่าให้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และ งดงาม

บทสรุป Top Gun Maverick

รีวิวหนังมาใหม่ภาพรวมของ Top Gun Maverick ( ท็อปกัน: มาเวอริค ) ถือว่าน่าพอใจมาก ๆ เป็นหนังดูง่าย เข้าถึงง่าย โดยเฉพาะกับฉากแอ็กชันบนน่านฟ้าที่สมจริงและน่าตื่นตาตื่นใจ และเรื่องราวที่สานต่อได้อย่างมีเนื้อหนังไม่ตื้นเขิน

เชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งหนังภาคต่อที่ได้รับการยกย่องในอนาคต และ ที่บอกไปครับฉากแอคชั่นที่ถูกพัฒนา ขึ้นมาเพื่อให้ถูกจริตของคนรุ่นใหม่ อัดจังหวะที่มันตื่นเต้นมากขึ้น ตัดต่อฉึบฉับมากขึ้นโดยยังคงความงามแบบเวอร์ ๆ ของเครื่องบินรบขับไล่กันกลางเวหาแบบภาคแรกไว้ โดยภาคนี้ได้ไอเดียบ้าแต่โคตรสร้างสรรค์ของ เคลาดิโอ มิแรนดา ผู้กำกับภาพของหนัง ที่มัดกล้อง 6 ตัวไว้ในห้องนักบินที่ให้ภาพสุดตื่นตาตื่นใจยากจะหาหนังเรื่องไหนถ่ายทอดความตื่นเต้นของการบินขับไล่ได้เท่าหนังเรื่องนี้อีกแล้ว ที่สำคัญฉากขับเครื่องบินกลางเวหา

ป๋าครูซลงทุนแสดงเอง ขับเอง บินเอง แบบบินจริง ๆ นะ เพื่อความสมจริงที่สุดอีกต่างหาก และ ไม่ใช่แค่บู๊เพราะความดราม่า การสนทนาที่ต้องเคลียร์ปมในใจ ก็ใส่เข้ามาได้ดี และ มันดึงอารมณ์ของเราให้พักจากความตื่นเต้น เป็นความรู้สึกอึดอัด กระอั่กกระอ่วน (เพราะอินหนังนะ) ได้ดีจริง ๆ ครับ เอาเป็นว่า Top Gun : Maverick ครบเครื่องสำหรับหนังแอคชั่น “โคตรดี” สักเรื่องที่ควรค่าแก่การไปดู และ อย่างที่ผมบอกว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดเรื่แงหนึ่งที่ได้ดูมาตั้งแต่เข้าปี 2022 นี้มาเลยครับ

เหนืออื่นใดที่น่ายกย่องเป็นพิเศษ คือ นักแสดงอย่าง ทอม ครูซ ที่ผ่านกาลเวลาไปกี่ทศวรรษ เขาก็ยังคงอยู่ตรงนี้ บนเส้นทางของนักแสดง อาชีพที่ยังผลิต และ ถ่ายทอดผลงานระดับสูงมาให้แฟน ๆ ได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง จะว่าไปเส้นทางการแสดงของทอม ครูซ ก็คล้ายกับเส้นทาง นักบินชั้นยอดของมาเวอริค วันหนึ่งก็คงถึงเวลา ที่รุ่นใหม่จะก้าวขึ้นมา ทาบรัศมี ไม่ก็ถึงวันที่พลังการแสดง ของเขาอ่อนลง และ นั่นคงเป็นสัญญาณที่บอกว่าถึงเวลาที่อาชีพการแสดงของทอม ครูซ ต้องแลนดิ้งลงจอดเสียที.. แต่หากใครที่ได้ดู Top Gun Maverick จบ เชื่อว่าก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับผู้เขียนว่า “ใช่ วันนั้นสักวันคงมาถึง แต่..ไม่ใช่วันนี้” เว็บหนัง

รีวิว Jolt

รีวิว Jolt

รีวิว Jolt

 

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับวันนี้ก็มาถึงอีกหนึ่งโปรแกรมหนังแอคชั่นสุดมันที่แอดอยากจะรีวิวเอามากๆ ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจไม่เบา มาลงคิวฉายส่งท้ายปีนี้ในบ้านเรา ก็คือ “Jolt” (สวยแรงสูง) กลิ่นอายความเป็นหนังนักฆ่าสาวสุดระห่ำลอยโชยมาแต่ไกลทีเดียว แต่เมื่อได้ลองมาสัมผัสและพิสูจน์ด้วยตาตัวเองแล้ว ก็พบว่านี่คือหนังที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะ ดูเอามันส์ ด้วยไอเดียที่น่าสนใจ แม้จะยังไม่ได้กลมกล่อมรสชาติอร่อยขนาดนั้นก็ตาม เว็บดูหนัง

รีวิว Jolt

รีวิวหนังมาใหม่ Jolt สวยแรงสูง เป็นเรื่องราวของ ลินดี้ หญิงสาวที่เกิดและเติบโตมาด้วยความบกพร่องทางอารมณ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอกลายเป็นสาวอารมณ์ร้อนและพฤติกรรมรุนแรงแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ต้องใช้เสื้อกั๊กประจุไฟฟ้าช่วยยับยั้งอาการนี้ของเธอให้ทุเลาลง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครเจ็บป่วยล้มตายเพราะเธอ แต่กระทั้งเมื่อเธอพบว่าคนรักของตัวเองถูกฆ่าตายอย่างเป็นปริศนา เธอจึงต้องออกโรงสืบเสาะหาต้นหาและใช้พลังความโกรธเดือดดาลของเธอมาเป็นเครื่องมือล้างแค้น

รีวิว Jolt

เราได้เห็น “เคต แบคคินเซล” กลับมารับบทสวยสังหารอะไรแบบนี้อีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใช่บทที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าประทังความคิดถึงคาแรกเตอร์แบบนี้ของเธอได้อยู่เหมือนกัน นับตั้งแต่เรื่อง Underworld ที่สวยเท่ชะมัด แต่มาในเรื่องนี้ตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า เป็นหนังที่สอดแทรกจังหวะโบ๊ะบ๊ะที่อย่าถามหาสาระอะไรมาก อยากจะใส่อะไรก็ใส่ อยากจะโยนอะไรมาก็โยน กลายเป็นหนังประเภทผัดตามใจ ไม่ต้องแคร์แกนเรื่องอันน้อยนิดอะไรมาก

Jolt สวยแรงสูง น่าจะเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ดูฆ่าเวลาได้ เพราะในท้ายที่สุดเมื่อหนังจบลงแล้ว ก็แทบจะไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่ แบบว่าดูผ่านแล้วก็ผ่านเลย เนื่องจากโครงเรื่องและบทหนังค่อนข้างอ่อนเป็นอย่างมาก ประเด็นและจุดหักมุมต่างๆ ซ้ำซากและไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์อะไร แนวทางการพัฒนาตัวละครและคาแรกเตอร์ต่างๆ ก็ยังไม่ดีพอ แม้แต่ตัวนางเอกของเรื่องก็ยังถ่ายทอดออกมาได้แบบแปลกๆ ชอบกล

ถึงแม้ว่าบทหนังจะค่อนข้างเห่ยและเชยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องขอบคุณพลังจากทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้ ที่ต้องร้องโอ้โห้…ออกมาเบาๆ เพราะเป็นหนังแอคชั่นที่พยายามจะทำออกมาให้ดูเฟียรซ์และมาพร้อมกับดาราตัวเป้งๆ ไม่ว่าจะเป็น “สแตนลีย์ ทุชชี่”, “ไจ คอร์ตนีย์”, “บ็อบบี้ แคนนาวาลล์” หรือ “ซูซาน ซาแรนดอน” ที่ยังแอบรู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันว่าไปหว่านล้อมมาเล่นได้ยังไง ดูหนัง

รีวิว Jolt

จะสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า Jolt มีความพยายามที่อยากจะเดินตามรอยหนังแนวนี้อย่าง John Wick หรือ Atomic Blonde แต่ปรับโหมดจากความขึงขังจริงจังมาใส่ความโบ๊ะบ๊ะเข้าไปแทน จึงทำให้ภาพรวมของหนังที่ออกมานั้น ดูความพยายามเกินไปทั้งเรื่อง การเล่าเรื่องที่เรื่อยๆ แสนจะธรรมดา กับการตัดต่อยังไม่ค่อยราบรื่นไปตลอดทั้งเรื่อง บทหนังที่ยังมีรสชาติประหลาดๆ แทรกเข้ามาบ้าง และไม่มีอะไรที่เดาได้ยากเลยในเรื่องนี้

โดยภาพรวมแล้ว Jolt สวยแรงสูง ก็ยังคงเป็นหนังที่ดูได้สนุกและเพลินตามท้องเรื่อง เพียงแค่หนังยังดูพยายามเกินเหตุ จะตลกก็ยังไปไม่สุด จะบู๊จริงจังก็ทำได้ไม่ถึง เป็นหนังที่ยังติดแหง็กอยู่ตรงกลางระหว่างทาง สับสนว่าจะเดินไปทางไหนดี โครงเรื่องและเส้นเรื่องที่ค่อนข้างบางเชียบ แทบจะไร้น้ำหนักกับความโบ๊ะบ๊ะคลั่งรักของตัวละครหลัก แต่ภายใต้ความเห่ยเหล่านี้ ก็ยังสามารถดำเนินเรื่องออกมาได้บันเทิงใจได้อยู่ในระดับนึง

รวมไฮไลท์ Jolt

รีวิวหนังมาใหม่ 1) อีกหนึ่งตัวแม่ของวงการ “เคท เบ็คคินเซล” ที่เคยประกาศศักดาความแซ่บสุดมันส์ให้ทั้งโลกต้องยอมเรียก #แม่ ในแฟรนไชส์สวยพันธุ์อสูร Underworld, ยอดหญิงสู่แวมไพร์ Van Helsing (2004), เมียปลอมล่าเด็ดผัว Total Recall (2012) และล่าสุดขอรีเทิร์นบทบาทแอ็กชั่นสตาร์ด้วย “Jolt สวยแรงสูง” บอกเลยไม่มีผิดหวัง เพราะแม่เคทใส่เต็มและสาดเสน่ห์พุ่งทะลุจอเต็มอัตราเพื่อแฟนๆ โดยเฉพาะ

2) ร่วมระห่ำเดือดสุดลูกไฟ ด้วยนักแสดงสมทบชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ไจ คอร์ตนี่ย์ (Terminator: Genisys), สแตนลีย์ ทุชชี (The Hunger Games), บ็อบบี้ แคนนาวาล (Spy)” และตัวแม่สาวสองสุดฮ็อตล้นคุณภาพ “ลาเวิร์น ค็อกซ์ (Promising Young Woman)”

3) สุดมันส์ยัดไอเดียเด็ด รับประกันความสดใหม่ของแอ็กชั่นไฟแรงสูงด้วยทีมผู้สร้าง Cloverfield (2008), Sin City: A Dame to Kill For (2014), Unhinged (2020) และแฟรนไชส์ The Expendables

4) เดบิวต์งานบทครั้งแรกก็ปังเลย “เดวิด วาสชา” จับความแค้นของผู้หญิงมาใส่ลูกเล่นแพรวพราวและอารมณ์ขันชั้นยอดที่เสียดสีกันไปมา จนทำให้ “Jolt สวยแรงสูง” มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร สมค่าการรอคอยของคอหนังที่อยากสลัดภาพหนังแอ็กชั่นเดิมๆ เนี่ยแหละหนังที่คุณมองหา

5) ร่วมขบวนการความแรงแบบสุดเซอร์ไพรซ์ กับนักแสดงหญิงรุ่นใหญ่เจ้าของรางวัลออสการ์ “ซูซาน ซาแรนดอน” (Thelma & Louise, Enchanted, Cloud Atlas) ตบปากรับคำท้าในบทรับเชิญที่คนดูไม่มีวันคาดถึง

6) บทปัง ฉากเปรี้ยง ด้วยฝีมือสุดละเมียดจากผู้ออกแบบงานสร้างตัวท็อป “รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ” จากหนังแอ็กชั่นโคตรบ้าแห่งยุค Kick-Ass (2010), Kick-Ass 2 (2013) และ The Hitman’s Bodyguard (2017) รอดูเลย ความฉูดฉาด แสงสี นีออนสไตล์ ดีไซน์ไฟแรงสูง ตอบโจทย์ความเปรี้ยวฉบับแม่เคทไม่ให้ละสายตา

7) อย่าให้พวกฉันต้องลงมือ! “Jolt สวยแรงสูง” รวมพลังสุดยอดหญิง #3Queens ทั้งโปรดิวเซอร์หญิง ดาราหญิง ผู้กำกับหญิง จัดเต็มแอ็กชั่นสุดมันส์ไม่แพ้ผู้ชาย คอหนังรอฟินตาตั้งได้เลย

8) สวยสะมัดมันส์หยดติ่ง เพื่อให้ “Jolt สวยแรงสูง” เป็นสุดยอดหนังแอ็กชั่นแรงถึงใจผู้ชม งานนี้เลยต้องดึงตัว “เจมส์ โกรแกน” ผู้กำกับคิวบู๊รุ่นใหญ่ที่เคยฝากฝีมืออันโจษขานมาแล้วใน Avengers: Age of Ultron (2015), Angel Has Fallen (2019) และ Don’t Breathe 2 (2021) รับประกันแอ็กชั่นเด็ด ลีลาปัง แม่เคทสวย คนดูชอบ แน่นอนค่ะ!

9) แอ็กชั่นสะใจ! งานนี้รวมตัวสุดยอดสตั้นต์จากหนังดังฟอร์มฮิต The Bourne Ultimatum (2007), Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2 (2011), Skyfall (2012), Fast & Furious 6 (2013) และ Hitman’s Wife’s Bodyguard (2021) ทุ่มสุดตัวเคียงข้าง “เคท เบ็คคินเซล” เล่นจริง เจ็บจริง ให้ทุกช็อตมันส์ที่สุดไม่ลดลิมิตสักฉากเดียว

10) แก่นเรื่องโดนใจแน่! เพราะเธอต้องควบคุมสิ่งดีและไม่ดีที่มีในตัว พร้อมพลิกความคลั่งแค้นให้เป็นสุดยอดขุมพลังแห่งหญิงที่ทุกคนต้องยอมสิโรราบ งานนี้ผู้ชมชาวหญิงอินจัดตั้งแต่ต้นยันจบแน่นอน เว็บหนัง

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Jolt สวยแรงสูง

ประเภท: แอคชั่น / ตลก
ผู้กำกับ: ทันย่า เว็กซ์เลอร์
นำแสดงโดย: เคต แบคคินเซล, สแตนลีย์ ทุชชี่, ไจ คอร์ตนีย์
ความยาว: 91 นาที
กำหนดฉายในไทย: 30 ธันวาคม 2021 (ในโรงภาพยนตร์)