Category Archives: รีวิวรักโรแมนติก

รีวิว Aladdin

รีวิว Aladdin

1

รีวิว Aladdin

รีวิว Aladdin ทำออกมาดีเกินคาดมากกก เลิฟมากกกกไม่เผื่อใจ อะลาดิน (Aladdin)  กลายเป็นหนังดิสนีย์เปลี่ยนการ์ตูนมาเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง (Live Action) อีกเรื่องที่คุณจะตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง ตั้งแต่ นักแสดง คอสตูม ฉากซีจีอลังการ เพลงเพราะ ลิงอาบู ยันพรมวิเศษ 

พันพันราตรีที่จีนี่ไม่เจอใครๆ บอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้เห็นทีเซอร์ และ นักแสดงก็แอบลุ้นว่าจะไปรอดมั้ย แถม วิล สมิธ (Will Smith) กับบทจีนี่ตัวฟ้าก็ออกมาแปลกๆ

แต่พอได้ดูเต็มๆแล้วเปลี่ยนความคิดจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที หนังทำออกมาดีมากอิ่มเอมใจอาหรับราตรี บรรยากาศชวนให้อยากระบำหน้าท้องไปตลอดเรื่อง ทุกอย่างมันลงตัว ทั้งบท นักแสดง เพลง คอสตูม ท่าเต้นโมเดิร์น มุขตลกที่ใส่เข้ามาได้ฮาก๊าก รวมรีวิวหนัง

2

เปลี่ยนการ์ตูนที่เราคุ้นกันดีวัยเด็กทำออกมาได้อย่างมีสีสันมีชีวิตชีวา ตัวบทเคารพต้นฉบับปรับออกนิดเติมเข้ามาหน่อยกลายเป็นหนังที่สมบูรณ์ สมเหตุสมผลมากขึ้น

ระหว่างดูภาพจำจากเวอร์ชั่นการ์ตูนโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ฉากไหนที่เราเคยชื่นชอบก็มีให้ฟิน ไม่ว่าจะเป็นฉากแห่เจ้าชายที่สุดของความอลังการ ฉากคู่รักท่องโลกบนพรมวิเศษฯ แถมบางส่วนเพิ่มเข้ามาก็ทำได้ดีไม่ขัดหูขัดตา ซีจีดีงามเป็นอย่างมาก คอสตูมก็เริ่ดสมราคาดิสนีย์ไม่มีคำว่าผิดหวัง

รีวิว Aladdin เนื้อเรื่อง

อะลาดิน เป็นจอมโจรหนุ่มจิตใจงามที่อาศัยอยู่ในนครอัคราบาห์ของอาหรับ อยู่ร่วมกับ ลิงสัตว์เลี้ยงนาม อาบู ได้ช่วยชีวิตและผูกมิตรกับเจ้าหญิงจัสมินที่แอบหลบหนีออกจากวัง เพื่อออกสำรวจชีวิต เพราะเบื่อกับชีวิตที่ถูกประคบประหงม ในขณะเดียวกัน มหาเสนาบดีจาฟาร์มีแผนการที่จะโค่นล้ม สุลต่าน บิดาของเจ้าหญิงจัสมิน เขาออกตามหา ตะเกียงวิเศษ ที่ถูกซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งสิ่งมหัศจรรย์ 

 เพื่อจะให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง ซึ่งมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรเท่านั้น เรียกว่า “เพชรในตม” ซึ่งคืออะลาดิน อะลาดินซึ่งถูกจับตัวไว้ได้ตอนลอบเข้าไปในวัง เพื่อพบเจ้าหญิงจัสมิน จาฟาร์หลอกล่อให้เขาไปเอาตะเกียงมา

แล้วจะปล่อยให้เป็นอิสระ ภายในถ้ำอะลาดินได้ช่วยเหลือ พรมวิเศษ ไว้ และได้ตะเกียง เขามอบมันให้กับจาฟาร์ ก่อนจะโดนทรยศทิ้งไว้ในถ้ำ โชคดีที่อาบูขโมยตะเกียงโยนกลับมาให้เขาได้ รีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่

อะลาดินที่ติดอยู่ในถ้ำและเผลออัญเชิญจีนี่ที่อาศัยอยู่ในนั้น ซึ่งมี อำนาจทุกอย่าง โดยไม่รู้ตัวผ่านการถูตะเกียง จีนี่อธิบายว่าเขามีพลังมากพอที่จะให้พร อะลาดิน สามข้อตามที่ปรารถนา อะลาดินใช้อุบายหลอกให้ จีนี่ออกมาจากถ้ำได้ โดยไม่ใช้พร  

หลังจากนั้น อะลาดินจึงใช้พรขอความต้องการอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยการเป็นเจ้าชายเพื่อสร้างความประทับใจให้กับเจ้าหญิงจัสมิน และสัญญาว่าจะใช้ความปรารถนาข้อสุดท้ายของเขาเพื่อปลดปล่อยจีนี่จากการถูกจองจำ 

3

เมื่อเขาพาเธอขึ้นไปนั่งบนพรมวิเศษเพื่อแสดงให้เธอเห็นโลกที่เธออยากเห็นมาตลอด ในขณะที่ จีนี่ออกไปเดทกับดาเลีย นางกำนัลของเจ้าหญิงจัสมิน

แต่เมื่อเจ้าหญิงจัสมินจับได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของอะลาดิน เขาจึงโน้มน้าวเธอว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นเจ้าชายและที่แต่งตัวเหมือนยาจก ก็เพื่อทำความรู้จักกับชาวอัคราบาห์ก่อน จาฟาร์ที่รู้เรื่องนี้จึงขู่ให้เขาบอกที่ซ่อนของตะเกียง และโยนเขาลงไปในทะเล  

อะลาดินจึงถ่วงเวลาโดยการเยาะเย้ย จาฟาร์ ว่ายังเป็นรองจีนี่ ในแง่ของพลังทั้งหมด เพื่อจะนั้นให้เขาใช้พรความปรารถนาข้อสุดท้าย ให้กลายเป็นสิ่งที่ทรงอำนาจที่สุดในจักรวาล แต่เนื่องจากพื้นที่ในตะเกียงมีไว้สำหรับจีนี่ตนเดียว จีนี่จึงได้รับอิสระ และเปลี่ยนจาฟาร์

เป็นจีนี่ซะเอง เพราะไม่มีเจ้านาย จึงถูกจองจำไว้กับตะเกียงโดยลากอิอาโกเข้าไปข้างในกับเขาด้วย จีนี่โยนตะเกียงของจาฟาร์กลับไปยังถ้ำแห่งสิ่งมหัศจรรย์ และ อะลาดินทำตามสัญญา โดยใช้พรความปรารถนาสุดท้ายของเขาเพื่อปลดปล่อยจีนี่

และทำให้เขาได้เป็น มนุษย์ สุลต่านออกประกาศแก่ชาวเมืองว่า เจ้าหญิงจัสมีนจะเป็นผู้ปกครองคนต่อไป และบอกเธอว่าอะลาดินเป็นคนดี และคู่ควรกับเธอ และจัสมินได้กลับมาอยู่กับอะลาดิน ในขณะที่จีนี่แต่งงานกับดาเลีย รีวิวหนัง 

และออกเดินทางไปสำรวจโลกกว้างและเริ่มต้นครอบครัวกับลูกชายและลูกสาว โอมาร์ และ เลียน ส่วนอะลาดิน และสุลต่านจัสมิน ก็แต่งงานแล้วเริ่มชีวิตใหม่อย่างมีความสุขนับตั้งแต่นั้น 

นักแสดง

หนัง Aladdin Live Action พล็อตเรื่องจะมีการผสมผสานระหว่าง อะลาดิน เวอร์ชั่นการ์ตูนและเรื่องราวจาก 1,001 Arabian Nights (นิทานอาหรับราตรี) โดยผู้กำกับคือ Guy Ritchie ที่เคยกำกับหนัง Sherlock Holms (ที่แสดงนำโดย Robert Downy JR.) และ John August มาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ 

สำหรับเหล่านักแสดงโดยรวมก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีเลยทั้ง มีนา แมสโซด์ ที่รับบทอลาดินได้อย่างมีเสน่ห์ ส่วน นาโอมิ สก็อตต์ ก็สวยวัวตายควายล้มทุกช็อตที่ปรากฏตัวจริงๆ

ส่วนคนที่น่าจะรับแรงกดดันสุดๆ อย่าง วิลล์ สมิธ ก็ขอปรบมือชื่นชมด้วยใจจริง ทุกฉากที่มียักษ์จินนี่ วิลล์ สมิธิไม่เคยทำให้ผิดหวัง ความทะเล้น พลังงานในการเต้นที่ล้นเหลือ ไปจนถึงฉากแสดงอารมณ์ไม่มีขาดตกบกพร่อง และน่าจะได้เข้าชิงลูกโลกทองคำสาขานักแสดงตลกแน่ๆ 

4

ใครคิดถึงการ์ตูนต้นฉบับรับรองว่า Aladdin ไม่ทรยศกับหนังในดวงใจแน่นอน ส่วนแฟนๆรุ่นใหม่ก็น่าจะถูกใจกับความจัดจ้านของงานสร้างและเรื่องเล่าที่ร่วมสมัยเอามากๆ นับเป็นหนังไลฟ์แอ็คชั่นจากดิสนีย์ที่สร้างสรรค์มากๆและบันเทิงสุดๆไปเลย รีวิวหนังสนุกแนะนำ

Aladdin พระเอกของเรื่องรับบทโดย Mena Massoud นักแสดงหนุ่มชาวอียิปต์ ที่เคยฝากผลงานไว้ในซีส์เรื่องดัง Open Heart 

Jasmine แสดงโดย Naomi Scott ที่เคยแสดงหนังซูเปอร์ฮีโร่ “Power Rangers” โดยรับบทเป็น Pink Ranger นั่นเอง 

Genie แสดงโดย Will Smith นักแสดงชายมากฝีมือจะมารับบทเป็นเจ้ายักษ์ตัวสีฟ้าในตะเกียง

หนังที่สร้างจากการ์ตูน

Aladdin นับเป็นหนังไลฟ์แอ็คชั่นที่สร้างจากการ์ตูนดังของดิสนีย์เรื่องที่ 2 ของปีตามหลัง Dumbo การเรียกใช้บริการ กาย ริชชี่ มาเป็นผู้กำกับนับว่าเป็นก้าวที่กล้าหาญไม่น้อยเลย ด้วยว่าหนังกาย ริชชี่ แทบไม่เคยมีหนังครอบครัวในประวัติการทำงานเลย  

แถมมุกส่วนใหญ่ยังดูผู้ใหญ่ไม่น้อย จนหลายคนกังวลว่า Aladdin ฉบับนี้จะออกมาเละเทะไปกันใหญ่ แถมยังหมั่นสร้างความตระหนกให้แฟนการ์ตูนต้นฉบับทั้ง ภาพโปรโมตที่วิลล์ สมิธ  

ปรากฎกายด้วยสีผิวปกติจนเกิดเสียงครหาไปทั่วโซเชียลมีเดีย กระทั่งได้ปล่อยตัวอย่างจริงออกมานั่นแหละถึงพอเบาใจกันได้หลังได้เห็นฉากขี่พรมวิเศษสุดโรแมนติกในความทรงจำ

แต่หากคิดว่า คนอย่าง กาย ริชชี่ จะคัดลอกการ์ตูนมาแบบหน้าด้านๆ ขอให้คิดใหม่เลย เพราะบทภาพยนตร์ฉบับนี้ กล้าหาญถึงขั้นใส่มุกตลกกาวๆแต่ไม่หยาบคายเข้ามาให้คนดูผู้ใหญ่ได้หัวเราะกันก๊ากใหญ่ๆ 

5

คือความเฟมินิสต์ของเรื่องราวโดยเฉพาะเจ้าหญิงจัสมินที่ฉบับนี้คือกล้าเสนอตัวปกครองประเทศในฐานะสุลต่านเรียกได้ว่าตอบรับกระแสพลังหญิงแบบสุดโต่งจนน่าจะเป็นแรงผลักดันที่ดีให้สาวน้อยทั้งหลายมีโรลโมเดลดีๆ ได้อย่างน่าชื่นชม

ถือว่าความพยายามของดิสนีย์ที่พยายามสร้างความเท่าเทียมก็ตอบโจทย์กับการดัดแปลงจนเกิดเป็น Aladdin ฉบับนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

สำหรับวิสัยทัศน์อีกข้อของกาย ริชชี่ คือการตระหนักรู้ว่าในเมื่อหนังที่ทำมีความเป็นแฟนตาซีเลยไม่ได้ยึดตรรกะกับโลกจริงและสร้างความมหัศจรรย์จากการผสานวัฒนธรรมโดยเฉพาะการนำองค์ประกอบแบบหนังบอลลีวูดมาใช้สำหรับฉากมิวสิคัลที่ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการทุกฉาก แถมยังเพิ่มการผสานวัฒนธรรมได้อย่างแปลกตา  

เช่นฉากเปิดตัวเจ้าชายอาลี ที่ผสมทั้งนักเต้นระบำหน้าท้อง นักเต้นคาร์นีวัล ไปจนถึงเบรคแดนซ์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ส่วนฉากมิวสิคัลอื่นๆ ก็เรียกได้ว่า ริชชี่ เข้าใจความเป็นหนังผสานงานออกแบบงานสร้างสุดอลังการและงดงามโดยยังคงมนต์ขลังจากการ์ตูนต้นฉบับไว้ได้ไม่ตกหล่นเลย  

แถมทั้งยังมีการทำงานในส่วนภาคดนตรีร่วมกับ อลัน เมนเคน ที่เคยทำดนตรีให้กับ Aladdin ฉบับอนิเมชันเมื่อปี 1992 ให้ดัดแปลงเพลงจากต้นฉบับให้มีความร่วมสมัยทั้งใส่กลิ่นอายความเป็นพอพและฮิพฮอพได้อย่างครื้นเครง เรียกได้ว่าในพาร์ตยากสุดๆได้มือดีมาดูแลก็ทำผลงานได้ยิ่งกว่าหายห่วงเลย 

รีวิว Aladdin บทสรุปของเรื่อง

จุดที่ผู้รีวิวชอบที่สุดก็คือการส่งเสริมการเป็น Feminist ของเจ้าหญิง Jasmine ได้อย่างลงตัว คนดูอย่างเราไม่ได้รู้สึกฝืนหรือยัดเยียดมากจนเกินไป และบวกกับที่จุดนี้มีการปูมาตั้งแต่เวอร์ชันแอนิเมชันอยู่แล้ว การได้เห็นเจ้าหญิง Jasmine

ลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อตัวเองและบ้านเมืองจึงเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆ และผู้รีวิวก็รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงหลายๆ คนก็คงจะได้แรงบันดาลใจจากเจ้าหญิง Jasmine เช่นกันค่ะ 

6

โดยภาพรวมแล้ว Aladdin ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งของ Disney

ที่ทำออกมาเป็น Live-Action ได้อย่างพอดี ลงตัวและน่าประทับใจมากๆ หากใครยังไม่ได้ดู ผู้รีวิวก็อยากขอแนะนำให้ทุกคนลองไปดูกันนะคะ โดยเฉพาะเมื่อ Disney ยังคงมีโปรเจ็กต์ในการนำแอนิเมชันมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ Live-Action อีกมากมายที่กำลังรอต่อคิวให้เราได้ชมกันอยู่ค่ะ 

ความรู้สึกหลังรับชม

ก่อนอื่นคงจะต้องพูดถึงในส่วนของบทก่อน เหมือนกับภาพยนตร์ Live-Action ทั่วๆ ไป Aladdin ก็ยังคงไม่ได้แตกต่างอะไรมากในส่วนของบทค่ะ เพราะเวอร์ชันภาพยนตร์นั้นก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเนื้อหาใดๆ เลยเช่นกัน แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับผู้รีวิวนะคะ  

เพราะเราก็แค่อยากเห็นแอนิเมชันและตัวละครที่เราชื่นชอบได้มีโอกาสกลับมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง แต่เราไม่ได้อยากให้เขาเปลี่ยนเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกให้เข้ากับยุคสมัยแต่อย่างใด แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าตั้งแต่เวอร์ชันแอนิเมชันที่เราได้มีโอกาสเห็นเจ้าหญิง Jasmine  

7

ไม่ยอมจำนนให้กับราชประเพณีและธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ในเวอร์ชันภาพยนตร์ก็นำจุดนี้มาขยายให้ใหญ่ขึ้นไปอีกค่ะ แต่นอกจากตรงจุดนี้ เนื้อเรื่องก็ยังเป็นเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกที่เราคุ้นเคยกันดีค่ะ 

ส่วนตัวผู้รีวิวมองว่า จุดที่นำเรื่องของเจ้าหญิง Jasmine มาขยายนั้นเป็นการเกลี่ยบทให้กับตัวละครได้ดีมากเลยล่ะค่ะ แถมจุดนี้ยังเป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมที่เป็นผู้หญิงหลายๆ  

คนประทับใจที่ได้เห็นเจ้าหญิงที่ตนชื่นชอบลุกขึ้นมาสู้และไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจปิตาธิปไตยของผู้ชายในช่วงเวลานั้นอีกด้วยค่ะ แถมเพลง Speechless ที่เป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อตัวละคร Jasmine โดยเฉพาะก็ยังดังเป็นพลุแตกอีกด้วย มาแรงแซงหน้าเพลงประจำเรื่องอย่าง The Whole New World ไปเลยค่ะ 

รีวิว ไททานิค หนึ่งในภาพยนต์ที่ดีที่สุดตลอดกาล

แจ็คกับโรส
สวัสดีครับทุกคนวันนี้เราจะมารีวิว หนังประวัติศาสตร์ ที่อิงจากเรื่องจริงเรื่อง ไททานิค โดยภาพยนตร์เรื่อง TITANIC เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ชื่อดัง ที่เกี่ยวกับเรื่องราวความรักที่แสนจะโรแมนติก ระหว่างแจ็คกับโรส เชื่อว่าใครหลายๆคนที่ชอบดูหนังหรือชอบอ่านประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่นักเรียนทั่วไป ก็อาจจะได้ยินมาบ้างไม่ว่าจะเป็นผ่านหนังสือ หรือเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล

ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นกำกับโดยผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เจมส์คาเมรอน ที่สร้างหนังมาอย่างมากมาย โดยเจมส์นั้นสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ประวัติศาสตร์เรื่องจริงที่เหลือขนาดใหญ่ Rms ไททานิค เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงโดยการพุ่งชนภูเขาน้ำแข็ง ในวันที่ 14 เมษายน คริสตศักราช 1912 ในช่วงเวลาค่ำ และเรือก็ได้อับปางในเวลาต่อมา

มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน เขาจึงได้หยิบยกเหตุการณ์ในครั้งนั้นมา แล้วได้เขียนเรื่องราวความรักของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ลงไปเปลี่ยนชะตากรรมชีวิตในครั้งนั้น ให้เป็นความรักที่แสนจะโรแมนติกที่น่าจดจำและกล่าวกันจนถึงทุกวันนี้

เนื้อเรื่องย่อภาพยนตร์เรื่อง ไททานิค ไม่มีสปอย

รีวิว Titanic หลังได้เปิดเรื่องขึ้นมาที่ยุคปัจจุบัน ที่มีกลุ่มคนมากมายต้องการที่จะตามหาเพชรเม็ดหนึ่ง แล้วเชื่อว่ามีมูลค่ามหาศาล พวกเขานั้นจึงได้นำน้ำลงไปใต้มหาสมุทรที่ได้พบกับซากเรือไททานิค และหนึ่งในนั้นเป็นตู้เซฟที่บรรจุรูปวาดของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาสวยงามมากๆนอนเปลือยทั้งตัวไม่ใส่เสื้อผ้า พร้อมกับแขวนสร้อยที่พวกเขานั้นกำลังตามหาอยู่ และเมื่อเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ถ่ายทอดทางทีวี จึงทำให้โน๊ตนั้นที่เป็นหญิงชราวัย 84 ปี เป็นคนเดียวกับหญิงสาวในภาพวาดนั้น แล้วเธอเป็นเจ้าของสร้อยเส้นดังกล่าวได้เดินทางไปยังกลางทะเล สถานที่ที่นักล่าสมบัติต้องการจะปฏิบัติการกันอยู่ และได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆในอดีตให้พวกเขาได้ฟังกัน และเรื่องราวทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเริ่มขึ้นโดยการเล่าของโรสนั่นเอง

รู้แค่นั้นว่าในปี ค.ศ 1912 มีเรือไททานิคที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเรือสำราญที่สร้างขึ้นใหม่ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในตอนนั้น ได้มีการกำหนดในการออกทะเลเป็นครั้งแรก โดยจะนั่งผ่านน่านน้ำทะเลมหาสมุทรจากสหราชอาณาจักร ไปยังจุดหมายปลายทางที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และแจ็คนั้นเป็นชายหนุ่มรูปหล่อผู้โชคดี ที่เขานั้นได้เล่นการพนันชนะและได้รับรางวัลล้ำค่าคือ เป็นตัวที่เขานั้นจะได้ขึ้นเรือไททานิค เป็นจำนวน 2 ใบ เขาจึงได้ขึ้นเรือลำนั้นไปพร้อมกันเพื่อนของเขา

ซึ่งหลังจากที่ขึ้นไปอยู่บนเรือแล้ว แจ้งชายหนุ่มรูปงาม ได้พบกับหญิงสาวหน้าตาสวยพรุ่งนี้ฐานะสูงศักดิ์ ที่ชื่อโรส แจกหนังจึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปคุยและได้พูดให้เธอแล้วสบายใจขึ้นบ้าง หญิงสาวคนนั้นเธอจึงยอมที่จะเดินกลับห้องมารายการพบกันในเหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นนั้นทำให้ชีวิตของเขาทั้งคู่เปลี่ยนไปตลอดกาล ด้วยความรักของพวกเขานั้นจะเป็นอย่างไร นับต่อจากนี้ อยากให้ทุกคนนั่งคอยไปติดตามกันต่อได้ที่ netflix แต่น่าเสียดายที่ใน netflix นั้นจะไม่มีพากย์ไทยนะครับ แต่ส่วนตัวผมดูเป็นสัตว์อะไรก็สนุกเหมือนกันและเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างดีเลยทีเดียว

ไททานิค

ความรู้สึกหลังจากที่ดูภาพยนตร์ TITANIC

ถ้าถามว่า Titanic สนุกมั้ย เอาง่ายๆ นึกได้ว่าเป็นรอบที่ 3 แล้ว ที่ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้ซ้ำ ถึงแม้จะรู้ถึงเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆในแต่ละช่วงหมดแล้ว แต่ขอพูดไว้ตรงๆเลยว่าทุกครั้งที่ดู ยังรู้สึกอินกับความรักของแจ็คกับโรสอยู่ดี ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าตัวหนังทำให้เรานั้นได้เห็นถึงพลังความรักที่โคตรจะโรแมนติก และทำให้เรานั้นเข้าไปอยู่ในเรื่องนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย

โดยสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์นั้นสื่อให้เราอย่างเห็นได้ชัดคือ ความเหมาะสมกับความรักนั้น เรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน ของนางเอกกับพระเอกซึ่งมีเคมีที่ต่างกันอย่างสุดขั้วเรากับฟ้ากับดิน สิ่งเหล่านี้มันเป็นปัญหาที่พบเจอกันได้บ่อยและอาจจะเห็นกันจนชินตาทั้งในยุคปัจจุบันหรือแม้แต่ยุคอดีต ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่นั้นจะต้องถูกเลี้ยงและถูกสั่งสอนมาในสังคมที่แตกต่างกันอีกต่างหาก ทั้งทัศนคติและความคิดย่อมต่างกันแน่นอน และที่สำคัญคือครอบครัวของทั้งคู่นั้นจะต้องไม่เห็นด้วยกับจุดนี้และยอมรับยาก โดยเนื้อเรื่องนั้นจะทำให้เราอินไปกับพระเอกและนางเอก พร้อมกับให้เรานั้นเชียร์ให้เขานั้นผ่านกันไปด้วยดี

ฉากที่ทำให้รู้สึกปลื้มมากที่สุดในเรื่องนี้ มันดันไม่ใช่ฉากที่แจ็คกับโรสนั้นยืนกางแขน เหมือนไม้กางเขนตู้บริเวณหัวเรือ หรือเป็นฉากที่น่าสลดใจในตอนท้าย แต่มันดันเป็นฉากที่พระเอกวาดรูปภาพเปลือยของนางเอก มันทำให้คนดูอย่างเรานั้นรู้สึกว่าฉากที่สวยมานั้นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้ซึ้งถึงความสัมพันธ์ ของทั้งคู่ เมื่อทำคู่นั้นต่างไว้วางใจและสนิทสนมกันมากกว่าเดิมเพียงใด

พอเอาเข้าจริงๆเรื่องราวของทั้งคู่นั้นเป็นรักที่มันเกิดขึ้นเร็วมาก คำว่าเร็วมากมันเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นนะ ซึ่งในเรื่องในก่อนหน้าจะเป็นแค่การเล่าเรื่องราวของตัวละคร ว่าแต่ละคนนั้นเป็นใครแล้วมาจากไหน แล้วมาทำความรู้จักกันได้ยังไง เท่านั้น

แต่เนื้อเรื่องหลังจากนี้จะเป็นเรื่องของความรักของทั้งคู่ ที่ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นไปเรื่อยๆ จากแค่ประทับใจจนกลายเป็น รู้สึกชอบ และอันสุดท้ายเปลี่ยนเป็นความรักที่แสนจะอบอุ่น

ไหนๆก็พูดถึงความรู้สึกที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ขอพูดถึงเรื่องเพลงกันบ้างแล้วกัน นึกว่าเป็น 1 ผลงานเพลงประกอบที่ได้รับรางวัลมากมาย ไม่แพ้กับภาพยนตร์เลยทีเดียว อย่างเพลง My Heart Will Go On มันเป็นเพลงที่ประกอบทำให้เรานั้นอินได้กับอารมณ์ของภาพยนตร์ได้อย่างสุดยอดจริงๆ ทั้งเพลงประกอบทั้งการดำเนินเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ อีกทางยังคัดเลือกนักแสดงได้ดีจริงๆ นางเอกก็สวย พระเอก

ก็หล่อ เรียกได้ว่าเป็นภาพจำของข้าหลายๆคนเลยมันถึงเป็นผลงานที่ดีตลอดกาลเลยในบันดาลหนังช่วงนั้น

ไททานิค

จุดเด่นของภาพยนตร์ TITANIC 1997 ที่ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล

พูดไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่านี่เป็นสิ่งที่รับรู้และรู้สึกได้ จากการที่ดูหนังเรื่องนี้ของตัวผู้เขียนเอง น้าจะมาเล่าให้ฟังแบบไม่อวยและความรู้สึกจริงๆที่ได้ดูเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ผมนั้นมีโอกาสได้ดูตั้งแต่สมัยที่เรานั้นมันเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก จำได้เลยว่า หนังเรื่องนี้นั้นดังมากนะพ่อเป็นคนเปิดให้ดู เรียกได้ว่าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ดูเลยก็ว่าได้ถึงตอนนั้นจะเป็นแค่เด็ก นั่นคือครั้งแรกของผม แล้วต่อมาก็มาดูซ้ำอีกตอนช่วงเรียนม. ต้น และที่มาดูกันถี่ๆ คือหลังจากที่เรียนจบ ย้อนกลับมาดูอีกถึง 3 รอบ อย่างที่บอกไปข้างต้น ซึ่งในช่วงหลังต้นที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นระยะห่างมาห่างอย่างยาวนาน พอกลับมาดูอีกครั้งก็น้ำตาไหลพราก อีกแล้วฮ่าๆๆ

ต่อมาเราจะมาพูดถึง จุดเด่นของภาพยนตร์ ไททานิค netflix เรื่องนี้ที่ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล

ฉากแรกเลยฉาบเปิดเรื่อง จะเปิดเรื่องเราจะเห็นซากเรือไททานิคที่พักบ้างแล้วจมอยู่ใต้ทะเล มันเป็นการเปิดเรื่องที่ทำให้เรานั้นหลังจะติดตามนะรู้เรื่องราวของมัน ว่าไงเหตุการณ์นั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เป็นการเรียกความสนใจทำให้คนดูแลติดตามกันต่อไป

ต่อมาเป็นซากเหลือไททานิค เป็นฉากที่เหล่านั้นจะได้พบกับความน่าตื่นตาตื่นใจ ความมหัศจรรย์อลังการงานสร้าง ของงานภาพ ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนกับเรานั้นได้เลยเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกของจริงอย่างกับสารคดี

ฉากที่ใครหลายๆคนจดจำ ก็คงจะหนีไม่พ้นฉากรักในตำนาน ที่แจ็คกับโรส ยืนกางแขนอยู่ที่หัวเรือสำราญลำใหญ่ แล้วก็มีเพลงประกอบอย่างเพลง My Heart Will Go On ดังขึ้นมาทำให้คนดูนั้นรู้สึกว่า รักตัวละครสัก 2 ตัวนี้เข้าไปอีกเป็นความลับที่แสนจะโรแมนติกของทั้งคู่ น้ายังไม่พอเท่านั้นนี่ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกถึงความอึดอัดใจของโรสแต่รู้สึกดีใจที่ เธอได้ปลดปล่อยความเศร้า และแน่นอนว่าเป็นฉากที่ นำมาเป็นเมมล้อเลียนหลายๆอย่างใน Facebook มากมาย

อยากโรแมนติกอีกฉากนึงที่ชอบมากๆคือฉากที่ทำให้ผู้ชมอย่างเรา ต้องการหายใจและ ตื่นเต้นไปตามๆ ในฉากที่พระเอกแจ็คของเรา วาดภาพเปลือยของโรส ที่มีเพียงสร้อยเพชรอยู่ที่ลำคอเท่านั้น ที่เรียกกันว่า หัวใจมหาสมุทร ที่มีอยู่เพียงเส้นเดียวบนร่างกายของเธอ ฉากนี้เรียกได้ว่าทำให้เราลุ้นสุดๆ แต่แจ็คนั้นดันเป็นผู้ชายสุภาพบุรุษ หน้าตาดี ซีนนี้จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นเอง น่าเสียดายจริงๆ หยอกๆ

แล้วก็จะมีฉากเรียกน้ำตา ขอบอกไว้เลยว่าต้องน้ำตาแตกกันแน่ ถ้าคุณเป็นคนที่เคยผ่านความรักกันมาแล้ว ต้องมีน้ำตาคลอกันบ้างแหละกับฉากแบบนี้ เรียกได้ว่าทำให้เรานั้นรู้สึกเศร้าจริงๆ ก็คือฉากที่เหลือกำลังค่อยๆอัดบางลงไปใต้ทะเล เราจะได้เห็นถึงความรักของ แจ็คกับโรส ที่มีให้กันจนวินาทีสุดท้าย และได้เห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง ความเสียสละ แล้วความรักที่แสนจะโรแมนติกของแจ็ค ที่มีให้กับนางเอกของเราอย่างโรส เพื่อให้คนที่เขารักที่สุดนั้นได้มีชีวิตต่อไป

ไททานิค

ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้

Titanic เรื่องย่อ ถ้าดูเพลินๆหรือใครที่ไม่เคยดูอาจจะคิดว่าเป็นหนังความรัก โรแมนติก ดราม่า ที่แบ่งชนชั้นกันทั่วๆไป แต่ถ้าใครที่ได้ดูแล้วจะรู้สึกได้เลยว่า มันมีมิติที่หลากหลาย ที่ทำให้คนดูนั้นอินและลึกซึ้งถึงความรัก ที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ต้นจนผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ พระเอกแจ็คนั้นได้พานางเอกอย่างโรส ไปเต้นรำที่ห้องชั้นล่าง ของเรือสำราญขนาดใหญ่ที่มีคนหลายๆคน และได้สอนให้เธอนั้นปลดปล่อยในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำได้มาก่อน แล้วมีสินค้าที่เป็นภาพจำที่คนที่ไม่เคยดูหนังอาจจะเคยเห็นกันมาบ้างเป็นฉาก ที่ทั้งคู่นั้นยืนอยู่บนหัวเรือที่ทำให้ เธอรู้สึกเหมือนนกที่บินได้เหมือนครั้งแรก

ที่ทำให้คนดูอย่างเรานั้น ขนลุกกันไปตามๆกัน อีกถังยังไม่นับฉากที่เหลือแต่ทางนี้จงลงไปใต้ทะเล ที่ทำมาได้เสมือนจริงมาก เรียกได้ว่าถ้าไม่บอกว่าเป็นฉากที่ทำในโรงถ่ายทำ ที่มีขนาดใหญ่ เราก็คงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเป็นของปลอม หนังจะพาให้เรารู้สึกอินกับความรัก ของทั้งคู่ที่แสนจะโรแมนติก แต่ที่สุดแล้วนั้นมันดันพาเราดิ่งลงจากเหว เมื่อถึงจุดพีทที่คาดไม่ถึง

ที่ทำให้เราน้ำตาไหลมันไม่หยุด ในการจากไปของแจ็คผู้โหยหาความรัก ของทั้งคู่ แต่ต้องยอมเสียสละให้คนที่เขารักนั้นมีชีวิตต่อไป แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จนร่างกายของเขานั้นต้องแข็งลง ภายใต้จุดเยือกแข็งของมหาสมุทรแอตแลนติก และสิ้นใจในตอนจบ และยิ่งบวกกับเพลงประกอบ มาทำให้น้ำตาเราไหลออกมาไม่หยุดจริงๆนะ

สิ่งที่ใครหลายคนไม่รู้จากหนังเรื่อง ไททานิค ที่คุณอาจคิดไม่ถึง

1.ฉากที่คู่รักวัยสูงอายุนอนกอดกันบนเตียง ในขณะที่เรือกำลังจมสู่ใต้ทะเลอิงมาจากบุคคลจริง

ในตอนท้ายของเรื่องช่วงที่เหลือกำลังจม เราจะได้เห็นภาพของคู่รักสูงวัย ที่นอนกอดกันอยู่บนเตียงนอนของเรือ ขนาดที่น้ำกำลังไหลเข้ามาในห้องของพวกเขาทั้งคู่ ใครจะไปคิดว่าฉากนี้เป็นฉากที่เกิดขึ้นจริงๆ และได้มาทำเป็นเรื่องราว ของภาพยนตร์เรื่องไททานิคเขาทั้งสองเป็นผู้โดยสารเรือโดยมีชื่อว่า อิซิดอร์ และ ไอดา สเทราส์ เรื่องราวของทั้งคู่นั้น เป็นเรื่องราวที่สุดแสนจะสะเทือนใจ ไม่แพ้กับเรื่องราวของตัวเองอีกเรื่องนี้เลย

โดยได้มีการเปิดเผยออกมาว่า คู่รักสูงวัยทั้งคู่นั้นแต่งงานกันมาแล้วถึง 40 ปี และด้วยความที่เขานั้นเป็นผู้สูงอายุ พวกเขาจึงได้สิทธิ์ในการให้ลงเรือชูชีพก่อนผู้โดยสารคนอื่น แต่ว่าเขาทั้งคู่นั้นกับปฏิเสธ และเขาได้บอกว่าขอให้สิทธิ์นั้นกับผู้หญิงและเด็กก่อนเขาทั้งคู่ และแฟนสาวของคุณลุงก็ปฏิเสธตาม เขาเลือกที่จะอยู่กับสามีของเขาบนเรือลำนี้ต่อไป จนกระทั่งเรือชูชีพรับสุดท้ายได้ขับออกไป ในบรรดาที่รอดชีวิตนั้นมองเห็น ผู้รับสูงวัยคู่นี้นอนจับมือกันบนม้านั่ง ที่อยู่บนดาดฟ้าของเรือแล้วทางคู่ก็ได้จงหายไปพร้อมกับเรือ เรียกได้ว่าเป็นความรักที่ลึกซึ้งจริงๆ

2.นิทานที่คุณแม่ชาวไอริส เล่าให้ลูกทั้งสองฟัง คืนนี้ทานเรื่อง Tír Na nÓg ดินแดนสุขาวดีในตำนานเคลติก

ในช่วงที่เหลือนั้นกำลังจะจม เราจะได้เห็นภาพของบรรดาลูกเรือทั้งหลาย และผู้โดยสารอีกหลายคนที่ยังคงติดค้างอยู่บนเรือสำราญลำใหญ่ลำนี้ ซึ่งบางคนนั้นก็ไม่ได้เตรียมใจหรือบางคนอาจจะเตรียมได้แล้วทันทีที่รู้ว่าเรือกำลังจะจม และด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน เราจะได้เห็นอารมณ์ของหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นกัปตัน ผู้ออกแบบเรือ และคู่สามีภรรยาสูงอายุที่เราเอ่ยในบทความด้านบนเมื่อกี้ และฉากที่เราจะพูดถึงคือฉากที่ ครอบครัวที่มีแม่และลูก 2 คน ชาวไอริส ที่กำลังปลอกถล่มลูกน้อยทั้งคู่ ไม่ให้ตกใจแล้วตื่นตระหนก ด้วยการที่เขาเล่านิทานให้เด็กทั้งสองคนฟัง ซึ่งนิทานที่เธอเล่านั้นเป็นนิทานเรื่อง Tír na nÓg

เป็นตั้งนานในตำนานเคลติก ที่จะกล่าวถึงเรื่องราวดินแดนในอุดมคติ ที่มีความสวยเป็นนิรันและความอ่อนเยาว์เป็นนิรันดร์ และการเดินทางไปสู่ดินแดนลึกลับแห่งนี้ได้ ต้องผ่านมหาสมุทรเพียงเท่านั้น

ความจริงในบทภาพยนตร์ดั้งเดิม จะไม่มีฉากนี้ แต่นักแสดงสมทบที่เป็นชาวไอลิสคนหนึ่ง ได้เสนอแนะไอเดียถึงฉากนี้ให้กับผู้กำกับอย่าง เจมส์คาเมรอน และเขาก็ได้เห็นด้วยเพราะว่าเนื้อหาในนิทาน ลานสอดคล้องกับเหตุการณ์ในขณะที่เรือนั้นกำลังจมได้เป็นอย่างดี เมื่อแม่ลูก ทั้งสายน้ำกำลังจมไปพร้อมกับเรือก็เปรียบดังเสมือนครอบครัวของเขานั้น กำลังจะได้เดินทางไปยังดินแดน ที่พวกเขานั้นจะพบกับความสุขด้วยกันเป็นนิรันดร์

3. ภาพเหมือนของโรสที่แจ็ควาดขึ้น ความจริงแล้วเป็นฝีมือของ ผู้กำกับเจมส์คาเมรอนวาดเอง

เรียกได้ว่าถึงมีความยาว 3 ชั่วโมงกับอีก 14 นาที แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นดันมีฉากที่น่าจดจำหลายฉาก และหนึ่งในฉากที่น่าจดจำมากที่สุดสำหรับผู้เขียนเองก็คือฉากที่โรสยอมเปลือยกายเป็นแบบให้แจ็ควาดภาพเสมือนจริง ลงบนกระดาษ และภาพสเก็ตที่คนดูและเห็นนั้นบอกเลยว่าน่าทึ่งสุดๆ

คาดเดากันต่างๆนานาว่าจ้างทีมงานนักศิลปะให้มาเขียนภาพนี้หรือเปล่า แต่ที่จริงแล้วไม่ต้องไปจ้างใครเลย เพราะภาพสเก็ตที่เราได้เห็นกันในหนังในฉากนั้นคือฝีมือ ผู้สร้างหนังอย่าง James Cameron ซึ่งในภาพยนตร์นั้นเราจะได้เห็นอีกภาพด้วยที่รวมอยู่บนแผ่นกระดาษที่สเก็ตภาพโรสอยู่บนกระดาษ ซึ่งภาพนั้นแจกได้เล่าว่าเป็นภาพของ หญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ภาพนั้นก็คือฝีมือของเจมส์คาเมรอนอีกเช่นกัน

ในที่ยิ่งไปกว่านั้นฉากที่แจ็คกำลังวาดภาพสเก็ตโรสนั้น เราจะเห็นได้ว่ามีมือที่กำลังวาดภาพอยู่ นั่นก็เป็นมือของผู้กำกับคาเมรอนด้วย มันจึงต่างกันตรงที่ว่าตัวคาเมรอนนั้นเป็นคนถนัดซ้าย ส่วน Jack นั้นตามเรื่องราวความจริงแล้วเป็นคนที่ถนัดขวา คาเมรอนเองนั้นก็ไม่คิดจะปล่อยให้รายละเอียดเพียงเล็กน้อยนั้นหลุดออกไป

ในขั้นตอนที่วาดภาพนั้นทีมงานก็ สลับทิศทางของภาพจากซ้ายเป็นขวาเพื่อเก็บรายละเอียด และภาพของโรส ที่เป็นฝีมือของผู้กำกับเจมส์คาเมรอนนั้น ได้ถูกประมูลไปในปีค.ศ 2010 ด้วยราคา 16,000 เหรียญ ถ้าแปลเป็นเงินไทยก็ประมาณ 500,000 บาท

คนในเรือไททานิก

น้ำที่ใช้ถ่ายทำ ไททานิค ในฉากที่แจ็คกับโรสรอยคอ เย็นจัด จนทำให้ เคต วิลสเล็ต ป่วยเป็นไฮโปเธอร์เมีย

ให้ฉากจบของภาพยนตร์เรื่องไททานิคที่ทำให้ผู้ชมหลายคนจดจำขึ้นใจ เราจะได้เห็นแจ็คกับโรส ลอยคอกันอยู่ในน้ำ ในฉากที่โรสนั้นจะนอนอยู่บนแผ่นไม้กระดาน เราจะเห็นได้ว่าใบหน้าของเธอนั้นมีอาการหนาว ทำปากสั่นและคอสั่นเลยทีเดียว

ซึ่งมันไม่ใช่การแสดงเพียงอย่างใด แต่เป็นการแสดงของจริงๆ ที่เธอนั้นกำลังรู้สึกหนาว จะมีข่าวลือกันว่า เพราะเธอนั้นแสดงฉากนี้จึงทำให้ต้องป่วยเป็นโรคปอดบวม และในภายหลัง เคต วินสเล็ต ได้ออกมาแก้ต่างในข่าวลือนั้น แล้วเธอได้อธิบายว่า ตัวเธอนั้นไม่ได้ป่วยร้ายแรงขนาดนั้น แต่ว่าน้ำในปากนั้นเย็นจริงๆ และเธอแค่มีอาการ ภาวะอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำกว่าปกติเท่านั้น

แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีคนสงสัย ว่าทำไมทีมงานถึงต้องปล่อยให้นักแสดงทนหนาวจนป่วยกันด้วย ทำไมไม่ใช้น้ำที่มีอุณหภูมิปกติหรือน้ำอุ่นละ แล้วให้นักแสดงนั้นแสดงอาการเหมือนหนังแทน เขาก็ได้ออกมาอธิบายว่า น้ำที่ใช้ในฉากนั้นมีปริมาณเยอะมากเกินไป ซึ่งมันยากมากที่สุดปรับอุณหภูมิน้ำทั้งหมดได้

เคต วินสเล็ต

ฉากที่เป็นของจริงและเป็นการทำให้เหมือนกับเรือไททานิคจริงๆ

แรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องนี้ มาจากตัวผู้กำกับเพลงที่รู้สึกหลงไหลมากๆในซากเรือสำราญลำใหญ่ไททานิคอีกลำนี้ ที่จ่มลึกลงไปใต้มหาสมุทร และเขานั้นได้พบกับ  โรเบิร์ต บัลลาร์ด ที่เป็นหัวหน้าทีมค้นหาซากเรือไททานิค โดยการถ่ายทำเริ่มต้นกันในปีค.ศ 1995 ซึ่งในตอนแรกนั้น เจมส์ คาเมรอน ลงไปศึกษาซากเรือจริงๆด้วยตัวของเขาเอง และมีการประเมินออกมาแล้วว่า

เจมส์คาเมรอนใช้เวลาอยู่กับซากเรือลำนี้อย่างละลายกว่าบรรดาของผู้โดยสารของเรือไททานิคในปี 1912 จริงๆ ใครจะไปคิด ผู้กำกับรายนี้ได้ออกไปสำรวจซากเรือก่อนที่จะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จริง รวมแล้วทั้งหมด 12 ครั้งเลยทีเดียว แล้วแต่ละครั้งไม่ใช่แค่เวลาสั้นๆการดำลงไปสำรวจซากเรือแต่ละครั้งนั้นยาวนานถึง 15 ถึง 17 ชั่วโมงกันเลย

เจ้าตัวตั้งใจที่จะใส่ผ้าซากเรือ ไททานิค จริงลงไปในภาพยนตร์ด้วย เพื่อเพิ่มความรู้สึกที่สมจริงมากขึ้น เขาอยากจะสื่อให้คนดูได้รับรู้ วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวดราม่าในความรักของหนุ่มสาว คู่หนึ่งเพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดกับใครก็ได้บนโลกนี้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรอดชีวิตและกลับไปใช้ชีวิตได้

แล้วยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เราอยากจะพูดถึง ผมที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นถูกทอขึ้นโดยโรงงานเดิมที่เคยผลิตให้กับเรือไททานิคของจริง แล้วไม่ใช่แค่ผมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าในการก่อสร้างฉากที่อยู่ข้างในเรือลำนี้ และควบคุมการสร้างโดยทีมงานของ the white Star Line ที่เป็นเจ้าของเรือไททานิค เพราะว่า เจมส์คาเมรอน ต้องการที่จะให้ภาพยนตร์ออกมาตามประวัติศาสตร์ของจริงได้มากที่สุด

เท่าที่ตัวเขานั้นจะทำได้ เจ้าตัวได้ยืนยันว่าจะต้องใช้ Wallpaper โคมไฟระย้า หน้าต่างบานกระจกตะกั่ว ให้เหมือนกับที่เรือไททานิคนั้นใช้จริง แต่ยังไม่พอแค่นั้น เขาละเอียดถึงขั้นที่ใช้ลายน้ำโลโก้ของ The white Star Line ที่ประทับบนข้าวของของเครื่องใช้ทุกชิ้นภายในฉากที่เราได้เห็นด้วย ต่อให้ไม่เห็นในหนังก็ตามแต่ทุกชิ้นนั้นมีตราประทับ

และการรีวิว และ พูดถึงสิ่งที่เกร็ดความรู้ที่ใครหลายๆคนไม่รู้ ขอจบเพียงเท่านี้ เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับภาพยนต์ยอดเยี่ยมที่ดีตลอดกาล ที่เราแนะนำแลพทั้งหมดนี้เป็นเพียงการรีวิวโดยส่วนตัวและความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น หากผิดพลาดตรงไหนเราก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยนะครับ

รีวิว 365 Days This Day

รีวิว 365 Days This Day

รีวิว 365 Days This Day

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับ วันนี้แอดมีหนังสุดเร้าร้อนหนังภาคต่อสุดฟินสุดดุกับการกลับมาคราวนี้กับภาพเปิดของพระ-นางในชุดแต่งงานกับประโยคเชิญชวนที่ว่า “ฉันไม่ได้ใส่กางเกงใน” หืม อะไรของเธอน่ะเลาร่า 365 Days: This Day ภาคต่อที่ทุกคนรอคอยหรือเปล่านะของ 365 DNI เล่าเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วและเสิร์ฟออร์เดิร์ฟเบา ๆ ให้หายคิดถึงด้วยฉากแซ่บซี๊ดบนโต๊ะ ท่ามกลางแสงแดดสาดส่องไล้สรีระของ เลาร่า (อันนา-มาเรีย เชกลูสกา) และ มัสซิโม (มิเคเล มอร์โรเน) เจ้าบ่าวมาเฟียของเธอ ก็เป็นฉากที่เขาทั้งคู่พลอดรักก่อนจะเข้าพิธีแต่งงาน ที่อื้อหืม เปิดฉากกันแบบนี้เลยเหรอ

แน่นอนว่าความรักของพวกเขาครั้งนี้แนบแน่นยิ่งกว่าเคย เพราะเธอได้เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาของเขาอย่างเต็มตัว แต่การเริ่มต้นครั้งใหม่ของคู่รักคู่นี้ ต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดน้ำเน่า เพราะความลับที่แอบซ่อนอยู่ภายในตระกูลของมัสซิโม่ได้ก่อปัญหาให้กับเลาร่าเข้าจนได้ และ นาโช (ซิโมเน ซูซินนา) ชายลึกลับสุดเซ็กซี่ที่เข้ามาในชีวิตเลาร่า ทำให้การแต่งงานครั้งนี้เกิดปมใหญ่ขึ้นในหัวใจของเลาร่า ที่ภาคนี้ต้องบอกว่าเลาร่าช่างเป็นนางเอ๊กนางเอก น้ำส้มคั้นต้องมาแล้วละค่ะ ขาดไม่ได้กันเลยเชียว
ก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วละค่ะว่าพล็อตเรื่องมันจะพราวไปกว่าเดิม มาเฟียเอาแต่ใจอย่างมัสซิโม่ภาคนี้ก็รักเมียหลงเมียแต่งานก็รัดตัวและมีความลับเต็มไปหมด ปมธุรกิจยุบยับที่ใส่เข้ามาในเรื่องทำให้เกิดเส้นเรื่องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าภาคที่แล้ว แต่ก็ช่างเบาดุจขนนกไม่ต่างไปจากเดิม โคลงเคลงหลวมโพรกจนต้องบอกกับตัวเองว่า เราคงไม่ต้องไปสนใจเครื่องเคียงจืดชืดนั่นหรอกน่า เว็บดูหนัง

รีวิว 365 Days This Day

รีวิวหนังมาใหม่ บทเขียนให้เลาร่าเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและเป็นนางเอกมากมายขึ้นกว่าเดิม ด้วยการถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนแย่งชิงจนกลายเป็นหมากในกระดานที่ยืนอยู่บนความเสี่ยง โดยที่ตัวเธอเองนั้นช่างไร้เดียงสา ดุจนางเอกละครไทยอมตะ ที่ไม่ต้องเดาอะไรทั้งนั้น เพราะทางมันมาแนวนี้อยู่แล้ว ส่วนในด้านของมัสซิโม่ ที่ภาคแรกเราได้เห็นความดุเด็ดและช่างเอาแต่ใจของมาเฟียหนุ่ม ภาคนี้ยังได้เห็นอยู่่เช่นเดิม แต่หากมีการขับเคี่ยวให้เส้นเรื่องใหม่แข็งแรงมากขึ้นกว่านี้อีก (เยอะเลยทีเดียว) ภาคนี้จะกลายเป็นหนังมาเฟียเล่นรักที่ดุ เด็ด เผ็ดมันและน่าสนใจกว่านี้มาก
รีวิว 365 Days This Day
ก็ไม่ได้คอยเก้อกันหรอกค่ะ แต่อาจจะไม่สาแก่ใจสายฮาร์ดคอร์สักเท่าไหร่ เพราะภาคนี้ลดความหวือหวาลงไปเยอะ ท่วงท่าลีลาไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนวูบวาบ แต่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดก็คือมุมกล้องที่เซฟขึ้น ดีขึ้น ประหนึ่งกำลังนั่งดู MV เพลงรักร้อน ๆ ก็ไม่ปาน เนื้อเรื่องมีจึ๋งเดียว แต่ไอ้ที่มากมายเกินครึ่งเรื่องคือการแสดงอารมณ์ล้วน ๆ ทั้งอารมณ์วาบหวาม ร้อนรัก อารมณ์ร่าเริง เศร้า เหงา โกรธ ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรเสียงเพลงก็ตามไปทุกหนทุกแห่งแถมไม่เข้ากันอีกต่างหาก จะเยอะไปไหนเนี่ยถามจริง ๆ ทั้งฉากสำคัญและไม่สำคัญพร่างพราวดุจดวงดาวบนท้องฟ้า จนกลายเป็นช้ำมากกว่าฉ่ำอย่างที่ควรจะเป็น
รีวิว 365 Days This Day
ต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจะได้เห็นฉากรักหลากอารมณ์ที่ไม่ได้มีแค่ 1 คู่แน่นอนค่ะ และเป็นการเข้าฉากที่ฉึบฉับ ไร้เหตุผล เรียกว่าตีหัวเข้าฉากกันโต้ง ๆ ให้งงกับเนื้อเรื่องกันเล่น ๆ เหมือนผู้สร้างกำลังย้ำเตือนกับเราว่า อย่าไปสนใจมาก ดูฉากโอโบ๊ะจามะเคล้าเสียงเพลงกันไปก็พอแล้ว ย้วยกว่านี้ก็ขอบกางเกงในนางเอกแล้วละค่ะ
ถ้าภาคที่แล้วเป็นอาหารจานร้อนที่เผ็ดปากเจ่อ ภาคนี้ก็เป็นอาหารจานด่วนที่แซ่บพอดีคำ ความจัดจ้านอาจไม่เท่ากับภาคแรก แต่การจัดจานนั้นสวยงามน่ามองกว่าภาคแรกเป็นไหน ๆ โดยเฉพาะฉากท้าย ๆ ที่สร้างอารมณ์วาบหวามได้พอดีแบบกรุ้มกริ่ม ยิ้มขำได้กับจินตนาการของนางเอก แต่ส่วนดี ๆ ที่เพิ่มเข้ามานี้กลับกลายเป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวไปเสียอย่างนั้น เหมือนน้ำกับน้ำมันที่แบ่งแยกกันชัดเจนให้เห็นเป็นชั้น ๆ จนเกือบจะเป็นหนังคนละเรื่องอยู่แล้วเชียว
รีวิว 365 Days This Day
อย่าว่าแต่คนดูจะสับสนในอารมณ์เลยค่ะ ผู้เขียนว่า ผู้สร้างแกก็คงจะงงกับตัวเองอยู่ไม่น้อย มุมกล้อง แสงเงา การย้อมสีต่าง ๆ และโลเคชันสวยงามกว่าภาคที่แล้วจนอยากเอ่ยปากชมว่าดีจัง มุมนั้นสวยมุมนี้ดี งามจริง ๆ แต่อะไรที่มันมีมากเกินไปจากที่จะฉุดให้เราหยุดเสพสุขอยู่ตรงนั้น กลับทำให้ความตื่นตาตื่นใจที่ควรจะมีหายวับเอาง่าย ๆ ซะงั้นน่ะ
เนื้อหาเน่า ๆ เราจะไม่พูดถึง เพราะเขาก็เน่ามาตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เห็นความตั้งใจของผู้สร้างก็คือ ความพยายามที่จะใส่เนื้อหาที่ไม่ค่อยจะมีให้มีมากขึ้น การนำเสนอที่มีความเป็นอาร์ตมากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการพัฒนาในด้านดีแต่เมื่อใส่ไปในฉากที่ จำเป็นต้องใส่ด้วยเหรอ? ก็ทำให้กลายเป็นเสียของไปซะฉิบ เพิ่มเส้นเรื่อง เพิ่มตัวละครที่เหมือนจะมีความสำคัญแต่กลับเคว้งคว้าง ความตื่นเต้นที่ควรจะมีกลายเป็นความเอื่อยเนือยจนน่าเสียดาย และฟุ่มเฟือยในหลาย ๆ ฉาก แต่ความมั่นหน้าที่มากขึ้นไปอีกก็คือ การตัดจบที่ทิ้งเอาไว้อย่างชัด ๆ โดยไม่ต้องบอกว่าเขาจะมีภาค 3 ตามมาอีกแน่ ๆ เป็นไตรภาค OMG พระเจ้าจอร์จ สุดยอดอีกแล้วจ้าาา
ในภาคต่ออย่าง 365 Days: This Day จะพาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างคู่เลาร่า กับ มัสซิโม พระเอกนางเอก ที่เล่นบทจำเลยรักกันไปในภาคแรก แต่มาในภาคนี้พวกเขาก็ได้กลับมาสานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง โดยมีฉากอีโรติก 18+ เป็นจุดขายอีกเช่นเคย นอกจากนี้ยังพ่วงมาด้วยความลับของครอบครัวพระเอกสายใยตระกูลมัสซิโม ยิ่งทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองผูกปมทับถมให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น มาพร้อมตัวละครใหม่ที่จะทำให้เรื่องในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เข้มข้นมากพอที่ผู้ชมจะประทับใจในหนังภาคนี้อย่างแน่นอน ยิ่งทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองผูกปมทับถมให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น
หลังจกที่ได้ดูหนังเรื่อง 365 Days: This Day จบไปแล้วนั้น ต้องขอบอกเลยว่าภาคนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกินกว่าที่คนดูคาดเดาไว้ เนื้อเรื่องเดินดาสูตรละครน้ำเน่าของไทยแบบเป๊ะ ๆ โดยให้พระเอกนางเอกรักกันปานจะกลืนสุดๆ ก่อน แล้วก็มีเหตุให้ต้องบาดหมางกันจากเรื่องนอกใจ มีมือที่ 3 ข้ามาแทรกซึ่งก็คือเจ้าหนุ่มรูปหล่อตัวเอกคนใหม่ของภาคนี้มาเสียบแทน ในบท นาโช (แสดงโดย Simone Susinna)
แต่ใครจรู้ ว่ามือที่ 3 คนนี้นี่แหละ แอบซ้อนปมบางอย่างที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้น เนื้อเรื่องจริง ๆ มีแค่นิดเดียว แต่กลับเพิ่มกลิ่นความเหม็นคลุ้งเข้ามาเป็นเท่าตัว ซึ่งแน่นอนว่าปมประเด็นต่าง ๆ ทีเพิ่มเข้ามานั้นดูเป็นละครหลังข่าวมากไปสักหน่อย เป็นชนวนที่ทำให้ภาคนี้ไม่ได้ทำให้มีอะไรน่าลุ้นและมีสิ่งที่ตรึงตราได้เท่ากว่าภาคที่แล้วนอกนั้นคือฉากน้ำอีโรติกล้วน ๆ
บทเขียนให้เลาร่าเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและเป็นนางเอกมากมายขึ้นกว่าเดิม ด้วยการถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนแย่งชิงจนกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดาน ที่ทำเอาให้เรานึกถึงนางเอกละครไทย คาแรคเตอร์ใสชื่อตามคนไม่ทันแบบสุด ๆ ส่วนในด้านของมัสซิโม่ ที่ภาคแรกเราได้เห็นความดุเด็ด และเอาแต่ใจของหนุ่มมาเฟีย ภาคนี้มีการขับเคี่ยวให้เส้นเรื่องใหม่แข็งแรงมากขึ้นกว่านี้อีก
อย่างที่เรารู้กันดีว่าภาพยนต์ชุดนี้ตั้งแต่ภาคแรกอย่าง 365 Days จุดขายที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีชื่อเสียง (หรือเสีย?) นั่นก็คือฉากอิโรติด 18+ ราวกับว่าดูหนังโป๊อยู่ก็ไม่ปาน ซึ่งในภาคนี้ ก็ไม่ทำให้คนดูผิดหวัง อัดฉาก sex อันดุเดือดมาให้เต็ม ๆ โดยที่เราแทบจะไม่ออกไปหาหนังโป๊จากเว็บเถื่อนดูกันแล้ว ดูหนัง
โดยเน้นไปที่ฉากอีโรติกของคู่พระเอกนางเอกเดิมแบบจัดหนักหลังแต่งงานหลายซีนอยู่ ก่อนที่เนื้อเรื่องของหนังจะปูบท เปลี่ยนไปให้พระเอกคนใหม่ได้มีโอกาสจัดหนักกับนางเอกบ้าง โดยใช้ปมว่าพระเอกมีเรื่องนอกใจ ทำให้นางก็สามารถไปมีอะไรกับชายอื่นได้เหมือนกัน แต่เนื้อเรื่องก็ยังกั๊ก ๆ ไว้ก่อน ให้แค่หลัก ๆ เป็นฉากในจินตนาการของนางเอกเท่านั้น ยังไม่เผ็ชดุแบบพระเอกคนเก่า เพราะตัวเรื่องก็เหมือนเอาเขามาเป็นแค่ชนวนสร้างปมขัดแย้งให้มีเรื่องราวใหม่ ๆ กับฉากอีโรติกกับผู้คนใหม่บ้างเท่านั้น

สรุป 365 Days This Day

รีวิวหนังมาใหม่ ถ้าให้คะแนนสำหรับหนังเรื่อง 365 Days: This Day แอดก็ขอให้อยู่ที่ 7/10 คะแนน เนื่องจากเนื้อเรื่องที่แม้ว่าจะเข้มข้นมากก็ตาม แต่ในส่วนของบทเป็นอะไรที่เดาง่ายตามแบบฉบับละครไทย อาจะเป็นเพราะเราจำภาพละครน้ำเน่าได้ต้งแต่เด็ก เนื้อหาของเรื่องที่ถึงแม้จะซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้ลึกลับขนาดนั้น ตัวหนังกลับชูจุดเด่นอย่างชัดเจนในเรื่องของความอิโรติ 18+ จนบางฉากสามารถเป้นหนังโป๊เกรดดี ๆ ได้เลยล่ะ ซึ่งมั่นใจว่าหลาย ๆ คนที่ติดตามหนังเรื่อง 365 Days: This Day ต่างก็ต้องติดใจกับฉากเซ็กส์สุดร้อนแรง เผ็ชมันอยู่แล้ว เว็บหนัง
จุดเด่น
นางเอกสวยขึ้นจากภาคที่แล้วและเพิ่มตัวแสดงใหม่เข้ามา แซ่บสูสีกับพระเอกซะด้วยสิ
มุมกล้องสวยขึ้น น่าดูขึ้นกว่าเดิม
นางเอกมีของเล่นเพิ่มขึ้นจากภาคที่แล้ว อื้อหืม เร่าร้อนเชียวแหละ
จุดสังเกต
บทยังคงความหลวมอย่างคงเส้นคงวา จนกลายเป็นเครื่องเคียงที่จืดชืด ภาคที่แล้วตื่นเต้นหวือหวา ภาคนี้สิ่งต่าง ๆ ที่เห็นกลับซ้ำซากและเป็นยานอนหลับชั้นดีเลยจ้ะ

รีวิว Fishbowl Wives

รีวิว Fishbowl Wives

รีวิว Fishbowl Wives ซีรีส์ญี่ปุ่น ภรรยาตู้ปลา เมื่อผู้หญิงญี่ปุ่นที่แต่งงานแล้วก็สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตัวเองได้ ถ้าสามีมันกดขี่และบังคับใจกันนัก รวมถึงปัญหาชีวิตคู่อีกสารพัดรูปแบบ

เนื้อหาสร้างจากมังงะในชื่อเดียวกันของ Kurosawa R เป็นมังงะแนว Seinen เรต 18+ ไปจนถึงการ NTR (การถูกแย่งแฟน) ในเรื่องมีฉากโป๊เปลือยและร่วมเพศกันอยู่หลายฉากในเรื่อง เรียกง่ายๆว่านี่คือมังงะสำหรับผู้ใหญ่ที่จับกลุ่มคนอ่านเป็นผู้หญิงในวัยกลางคนเป็นหลัก ไม่ใช่มังงะที่ตั้งใจจับกลุ่มเป้าหมายเด็กและวัยรุ่น ดังนั้นเรื่องราวจึงมีความ “เรียล” มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง และไม่ได้จบแบบ Happy Ending เสมอไป

รีวิว Fishbowl Wives

ก่อนอื่นต้องบอกว่าใครที่ชอบดูเรื่องรักๆในแบบที่ต้อง Happy Ending ในแง่ของพระเอกและนางเอกที่จะต้องลงเอยกันด้วยดี สำหรับเรื่องนี้คุณจะถูกขยี้ครับ เพราะเรื่องนี้เปิดมาจะพบว่าคู่รักเกือบทุกคู่ในเรื่องได้แต่งงานไม่ก็อยู่กินกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้สมหวังด้วยดีเสมอไป เพราะไม่เช่นนั้นในโลกความจริงคงไม่มีปัญหาหย่าร้าง การคบชู้ นอกใจ การใช้ความรุนแรง และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ดูหนัง

 

Fishbowl Wives' ซีรี่ส์บอกเล่าเรื่องน้ำเน่าได้มีชั้นเชิงจนควรเอาเป็นต้นแบบในการสร้างละคร

 

เรื่องนี้เหมือนต้องการสะท้อนสภาพสังคมของญี่ปุ่นที่ผู้หญิงค่อนข้างถูกกดเอาไว้อยู่เสมอ โดยเฉพาะผู้หญิงที่แต่งงานมีสามีไปแล้ว สถานะแทบจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องกลายเป็นช้างเท้าหลังตามและช่วยหนุนผู้ชาย ถูกเรียกร้องหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการให้กำเนิดลูก การดูแลหลังบ้าน ไปจนถึงต้องยอมละทิ้งความสามารถและเส้นทางอาชีพ รีวิว netflix

Watch Fishbowl Wives | Netflix Official Siteอีกทั้งผู้หญิงหลายคนอาจเคยมีความคิดว่า ในสมัยสาวๆพวกเธออาจเคยมีความฝัน มีเส้นทางชีวิตต่างๆที่ต้องการ แต่เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องเดินตามสามี ซึ่งเป็นค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาในสังคมญี่ปุ่น นอกจากนี้ในขณะที่ฝ่ายสามีนั้นหากนอกใจภรรยาก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ในทางกลับกันภรรยาที่นอกใจสามีบ้างมักถูกประณามหยามเหยียด

ดังนั้นเรื่องนี้เลยเหมือนต้องการถามว่า “แล้วถ้ามันเป็นความผิดของสามีบ้างละ ทำไมภรรยาจะนอกใจเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิตของพวกเธอบ้างไม่ได้”

แล้วที่จริงต้องบอกว่าการนำเสนอของเรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนของสังคมและครอบครัวญี่ปุ่นในระดับที่ไม่ค่อยมีการนำเสนอเท่าไหร่ แต่ช่วงหลังเราจะเริ่มพบว่าทั้งซีรีส์และมังงะในญี่ปุ่นเริ่มนำเสนอในแง่นี้มากขึ้น คือปัญหาเรื่องการมีชู้ การใช้ความรุนแรง การนอกใจ ไปจนถึงปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคู่รักที่มากกว่าแค่ พบรักกันแล้วแต่งงานจากนั้นก็จบแบบ After Ever เหมือนในเทพนิยาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นการเอาความจริงมาตีแผ่ว่าเทพนิยายกับเรื่องจริงนั้นมันคนละเรื่องกันเลย

สำหรับภาพรวมเของเรื่องราวและบทสรุปที่ออกมา จัดว่าค่อนข้างลึกซึ้งและมีหลากหลายรูปแบบผ่านทางเหล่าคู่รักและหญิงสาวในเรื่อง บางคู่ก็อาจจะดูน่ารำคาญจนถึงขั้นน้ำเน่าไปสักหน่อย ส่วนบางคู่ก็ดูราวกับตัวละครทำให้สถานการณ์ของตนเองยากเกินไป แต่ถ้าใครที่ได้ผ่านโลก ผ่านชีวิตทั้งด้านความรัก หรือชีวิตคู่มาในระดับหนึ่ง อาจจะรู้สึกอินกับเรื่องราวที่ดำเนินไปตั้งแต่แรกจนถึงช่วงท้ายของเหล่าหญิงสาวในเรื่องนี้เอามากๆ ซึ่งก็ทำให้เราได้เห็นว่า การใช้ชีวิตคู่จะให้รอดได้ตลอดรอดฝั่ง การมีความรักอย่างเดียวมันไม่เพียงพอ มันเต็มไปด้วยปัจจัยแวดล้อมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ การเงิน ความพร้อม ไปจนถึงชีวิตรักบนเตียง

นอกจากนี้มีข้อเด่นที่ต้องขอชมสำหรับเรื่องนี้ก็คือการแคสติ้งนักแสดง ทีมงานนักแสดงเรื่องนี้ทำได้ดีเอามากๆ ผู้หญิงทุกคนที่เล่นในเรื่องนี้นอกจากจะมีหน้าตาสวย น่ารัก ยังมีเสน่ห์ในการแสดง แถมแต่ละคนเรียกว่าแสดงฉากโป๊เปลือยกันเต็มที่ เราแทบจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ในซีรีส์ผู้หญิงทั่วไป หากไม่ใช่ของ Netflix (ฉากโป๊เปลือยในระดับใกล้เคียงกับ The Naked Director เพียงแต่เรื่องนี้นำเสนอในมุมละมุนกว่าและเหมือนต้องการทำให้คนดูกลุ่มผู้หญิงมากกว่า)

ที่ต้องชมมากคือสามนักแสดงหลัก โดยเฉพาะดาราสาว เรียวโกะ ชิโนฮาระ ที่มารับบทเป็น ซากุระ นางเอกของเรื่องนี้ กับ ทาคาโนริ อิวาตะ ที่รับบทเป็น ฮารูโตะ หนุ่มร้านขายปลาทองที่มีพื้นเพจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ แต่กลับเลือกเส้นทางที่จะทำกิจการร้านค้าปลาทองมากกว่าเข้าร่วมในบริษัทใหญ่ของพ่อตนเอง ซึ่งเขาแสดงออกมาได้น่าหลงใหลสมกับบทของชายหนุ่มที่สั่นคลอนหัวใจของหญิงสาวที่แต่งงานมีสามีไปแล้ว

Fishbowl Wives (2022) - Netflix | Flixable

แต่เรื่องนี้ก็มีจุดด้อยอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นความน่าขัดใจในแง่ตรรกะตัวละครหลายคน แต่ตรงนี้พอเข้าใจได้ เพราะคู่รักหลายคนในโลกจริงมีตรรกะที่แย่กว่านี้อีก ไม่เช่นนั้นปัญหานอกใจและหย่าร้างคงไม่เกิด

สรุป Fishbowl Wives

แล้วยังมีประเด็นที่อาจจะรู้สึกขัดใจไปบ้างในช่วงท้ายด้วย เช่น การตัดกันไม่ขาดได้ง่ายๆของคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมาแล้วแม้ว่าจะมีปัญหากันจนถึงขั้นต้องหย่าร้างกันไป แต่มันก็ยังมีเรื่องของความห่วงหาอาทรและความสัมพันธ์ที่ผูกกันไว้จนยากจะตัดเยื่อใยกันได้ง่ายๆ ซึ่งการตัดสินใจในช่วงท้ายของนางเอกหลักของเรื่องนี้อย่าง ซากุระ ก็อาจจะขัดใจคนดูอย่างมาก ในขณะที่พระเอกอย่างฮารูโตะ การยอมรับการตัดสินใจช่วงท้ายเรื่องนี่โคตรจะพระเอกเลย ที่ยอมให้ซากุระกลับไปช่วยเหลือสามีเก่าที่ได้หย่ากันไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้ามองในแง่ของ “ธุรกิจ” การตัดสินใจที่จะกลับไปช่วยสามีเก่าเพื่อฟื้นฟูธุรกิจให้คืนกลับมาซึ่งธุรกิจซาลอนนั้นก็เป็นธุรกิจที่ซากุระมีส่วนสำคัญในการปั้นขึ้นมาแต่แรกด้วย ตรงนี้ส่วนตัวแล้วเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้นำเสนอบทสรุปออกมาได้เรียลและสมจริงมาก เพราะตัวละครสามารถที่จะแยกความรู้สึกรักชอบส่วนตัวออกจากการตัดสินใจในเรื่องธุรกิจและเส้นทางอาชีพของตนเอง เรียกว่าเป็นการจบเรื่องในแบบปลายเปิดสำหรับคู่หลักของเรื่องนี้ที่ “โคตรเรียล”

Fishbowl Wives เป็นเรื่องราวของหญิงที่แต่งงานแล้วที่ชื่อ “ซากุระ” เธอดูมีชีวิตที่สุขสบาย อาศัยอยู่ในคอนโดหรู มีหน้ามีตาในสังคม มีสามีที่ดี แต่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ถึงความจริงว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง

ผู้หญิงดูปลาทอง

แต่มีหญิงปริศนาในคอนโดคนนึงบอกให้เธอลองเลี้ยงสัตว์สักหนึ่งอย่าง หรือจะลองเลี้ยงปลาทองดูก็ได้ มันจะทำให้ชีวิตครอบครัวอบอุ่นขึ้น ด้วยความบังเอิญเธอมาเจอร้านปลาทองร้านหนึ่ง แล้วได้เจอกับเจ้าของร้านหน้าตาดี อบอุ่น ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน และด้วยสาเหตุการเลี้ยงปลาทองทำให้เธอถูกสามีทำร้ายร่างกาย เธอวิ่งหนีออกมาในคืนที่ฝนตกหนัก  แล้วก็ได้คุณเจ้าของร้านปลาทองช่วยเธอไว้ ทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ที่เลยเถิดหรือไม่  และเรื่องราวของคู่อื่นจะเป็นอย่างไร ต้องไปลองดูนะคะคุณชีส หนูขอเล่าเรื่องแรกเริ่มไว้เพียงเท่านี้น้า

รีวิวจากความคิดของหนู ถ้าไม่ตรงใจใครต้องขอโทษด้วยนะคะ

“Fishbowl Wives”

นักแสดงนำ: Ryoko Shinohara, Takanori Iwata, Masanobu Ando

กำกับ/เขียนบท : Michiko Namiki, Hiroaki Matsuyama/Kurosawa R (manga), Fumi Tsubota, Miyako, Tomomi Matoba

Advertisement

มีทั้งหมด 8 ตอน

ดูได้ที่แอพ Netflix

เริ่มแรกเลยที่หนูตัดสินใจดูเรื่องนี้เพราะเจ้าของร้านปลาทองเลยค่ะฮ่าๆ  เพราะเขาเป็นเมนของหนู ใช่ค่ะเขาเป็นศิลปินเป็นนักเต้นในวง J Soul Brothers หรือ JSB3 ซึ่งยังเป็นคำถามในใจอยู่ทุกวันนี้ว่าทำไมวงนี้ถึงมีนักร้องสองคน สมาชิกมี 7 คนนะคะ โดยตัวของคุณIwata เองก็มีผลงานเพลงเมื่อเดือนกันยาปีที่แล้ว ที่ออกมาทั้งหมด 3 เพลง ใครอยากรู้จักเพิ่มเติมไปหาฟังหาดูกันได้ที่ Youtube เลยน้า  มาเข้าเรื่องซีรีส์กันต่อค่ะ เดี๋ยวหนูจะป้ายยาเยอะเกินไปแฮร่  แต่ก็แอบทำใจนานอยู่นะคะ กว่าจะตัดสินใจดูได้ เพราะมีฉากแบบนั้น ใจบ่ดีจริงๆค่ะแง

ซีรีส์จะมีโครงเรื่องหลักอยู่ที่คู่ของ ซากูระ (รับบทโดย ชิโนฮาระ เรียวโกะ) ที่แต่งงานกับ ทาคูยะ (รับบทโดย อันโด มาซาโนบุ) ที่หลังจากซากูระต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจจากความไม่พออิ่มในกามของทาคูยะ ซากูระก็เริ่มเบนตัวเองไปมีสัมพันธ์กับ ฮารุโตะ (รับบทโดย อิวาตะ ทาคาโนริ) เจ้าของร้านปลาทองที่เคยมีความหลังบางอย่างกับ ซากูระ ที่ทำให้เขาตกหลุมรักเธอมานานกว่าที่เคย แต่ข่าวคาวความสัมพันธ์ของเมียก็ทำให้ ทาคูยะ ไม่อาจนิ่งเฉยจนทำให้ซากูระและฮารุโตะต้องต่อสู้ทั้งภัยคุกคามจากทาคูยะและเสียงวิจารณ์จากสังคม

มาเริ่มกันที่เนื้อเรื่องกันเลยนะคะ ด้วยความที่เรื่องนี้สร้างมาจากมังงะ แล้วหนูไม่เคยอ่านก็อาจจะพูดถึงเนื้อเรื่องแต่เพียงในซีรีส์เท่านั้นนะคะ  เนื้อเรื่องจะเน้นไปที่ปัญหาครอบครัวเป็นหลักเลยค่ะ ทั้งเรื่องบนเตียง เรื่องมีชู้ การนอกใจ การดูแลเอาใจใส่  การรับฟังปัญหาของกันและกัน  เราจะได้เรียนรู้ผ่านตัวละครแต่ละคู่ว่าจะมีวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้นยังไง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกที่ควรถ้าพูดถึงตามจริยธรรม จึงทำให้เนื้อเรื่องมีเนื้อหาที่ค่อนข้างตรึงเครียดอยู่ค่ะ สิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้คือ ในท้ายที่สุดจุดจบของแต่ละคู่จะเป็นยังไง

สิ่งที่หนูชอบในซีรีส์คือการใส่ตัวละครลึกลับในคอนโดที่เป็นหมอดู ที่เธอมักจะพูดอะไรลอยๆ สำหรับในความคิดของหนู เธอเปรียบเสมือนกิเลสในใจของเราเลยค่ะ  เหมือนมาพูดอะไรเข้าหูหน่อยก็จะอยากทำแบบนั้นทันที ต้องไปดูนะคะว่าป้าคนนี้เขาสุดปังแค่ไหนฮ่าๆ และก็ชอบที่ใส่สัญลักษณ์ของเรื่องเป็นน้องปลาทองมากๆค่ะ สื่อภาพเข้ากับชีวิตของคุณซากุระได้ดีเลยทีเดียว แล้วปลาทองก็ทำให้คู่นึงเขากลับมาเจอกันด้วยนะคะ

คู่ที่หนูชอบมากที่สุดคงเป็นคู่ที่วิ่งด้วยกัน คู่นี้ในท้ายที่สุดคือน่ารักมากกกกก เป็นคู่ที่หนูรู้สึกว่าดีมากๆในทุกๆคู่ของเรื่องนี้เลยค่ะ

มากันที่นักแสดง ด้วยความที่หนูไม่ใช่สายซีรีส์ญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ หนูเลยรู้จักนักแสดงน้อยมากกกก ส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ในค่ายLDH ค่ะ เรื่องนี้ก็รู้จักแต่เมนของหนูคนเดียวเลย แต่เคยได้อ่านมาว่าตัวเอกที่เล่นเป็น คุณซากุระ เธอถนัดแนวนี้อยู่แล้ว หนูก็ว่าจริงค่ะ เธอถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ หน้าที่ดูอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาและน่าสงสารมากๆ  ตัวละครท่านอื่นๆก็เล่นได้สมบทบาท ถ่ายทอดปัญหาของคู่รักได้ดีเลยค่ะ  ส่วนนักแสดงสุดน่ารักที่สุดในเรื่องต้องยกให้น้องปลาทองทั้งหลายค่ะ

ในองค์ประกอบด้านอื่นๆ หนูชอบmood & tone  การเกรดสีของซีรีส์เรื่องนี้นะคะ แต่ก็อยากตีมือช่างไฟมากๆ ทำไมหน้าเมนหนูมืดบ่อยมากฮ่าๆๆ หรือเขาจะสื่อถึงอะไร แต่บางทีหนูก็อยากเห็นสีหน้า การสื่ออารมณ์แบบชัดๆ ก็แอบขัดใจเล็กน้อยค่ะแง ไม่รู้ว่ามีคนคิดเหมือนหนูไหมนะฮ่าๆ

หนูขอสรุปนะคะ ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวปัญหาครอบครัวเลยค่ะ มีฉากกุ๊กๆกิ๊กๆ ห้ามเปิดดูบนจอทีวีเด็ดขาดนะคะ แต่ถ้าอยู่คนเดียวได้ค่ะฮ่าๆ หนูขอเตือนเลยน้า เรื่องนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ถ้าคุณชีสท่านไหนที่อ่านรีวิวของหนูแล้วอยากดู ต้องไปลองนะคะ แล้วมาพูดคุยกันได้ค่ะ

สนุกครับ และดีด้วย เพียงแต่เรื่องนี้นำเสนอค่อนข้างเรียล ในแง่ชีวิตคู่จริงๆ ไม่ได้เหมือนกับโลกนิยายที่ต้องสวยงามไปหมด หลายคนอาจจะขัดใจไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดูจบแล้วก็ชวนให้คิดต่อ ไม่ได้จบแล้วก็จบกันไป

รีวิว True Mothers

รีวิว True Mothers

รีวิว True Mothers

 

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสจ้าาแอดเชื่อว่าเราหลายๆคนนั้น ก็ต้องคงเคยได้ยินได้ฟังคำกล่าวที่ว่า “จะถือสาหาความจริงกันไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันก็เป็นเพียงแค่หนังแค่นิยายที่แต่งเรื่องขึ้นมาเท่านั้น!” ซึ่งประโยคดังกล่าวเป็นประโยคที่บ่งสะท้อนถึงสมบัติแห่งการเป็น fiction หรือ ‘เรื่องสมมติ’ ของศิลปะแห่งการเล่าเรื่องราวสองแขนงนี้ได้อย่างดี แม้ว่าในอดีตจะมีกลุ่มตระกูลหนัง ‘สัจนิยมใหม่’ หรือ ‘neo-realism’ นำขบวนโดยผู้กำกับอิตาเลียน Vittorio de Sica กับผลงานหนังอย่าง Shoeshine (1946) หรือ Bicycle Thieves (1948)

ที่ประกาศชัดว่า ‘หนัง fiction’ เป็นสื่อที่สามารถนำเสนอภาพชีวิตที่เกิดขึ้น และ ความเป็นไปในโลกแห่งความจริงได้โดยไม่ต้องมีสิ่งปรุงแต่ง ต่อให้หลายๆ ความจริงอาจเป็นสิ่งแสลงไร้ความโสภาก็ตาม แต่ในเมื่อธรรมชาติอีกด้านของหนัง fiction คือการสร้างความบันเทิง จึงไม่น่าแปลกใจที่เนื้อหาเรื่องราวส่วนใหญ่มักจะต้องเกินจริงในแบบ larger-than-life เพื่อให้อรรถรสในการติดตามเรื่องราวที่มิอาจพบเห็นได้ในชีวิตประจำวันใกล้ตัว

อย่างไรก็ดี ผู้กำกับหลายรายยังคงยึดถือการเล่าเรื่องราวแง่มุมชีวิตด้านต่างๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมอย่างซื่อสัตย์ ปฏิบัติต่อเหตุการณ์ และ สถานการณ์ต่างๆ อย่างบริสุทธิ์ และ จริงใจ โดยมีเป้าหมายในการร่วมกันศึกษา และทำความเข้าใจ ‘ธรรมชาติ’ ของการเป็นมนุษย์ ซึ่งผู้กำกับหญิงชาวญี่ปุ่น Naomi Kawase ก็เป็นหนึ่งในนั้น กับการถ่ายทอดภาพชีวิตของชาวญี่ปุ่นในเมืองต่างจังหวัดใกล้ชิดหมู่แมกไม้ และ ธรรมชาติ

โดยผลงานเรื่องล่าสุดของเธอ True Mothers ยังคงลายเซ็นการเป็นหนังของ Naomi Kawase ที่ได้รับการประทับรับรองสถานะ Cannes Label 2020 จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประจำปี 2020 ซึ่งไม่สามารถจัดงานได้ และ ต้องประกาศรายชื่อหนังที่คัดเลือกไว้ให้ผู้ชมได้ติดตามกันจากเทศกาลอื่นๆ หรือในโรงภาพยนตร์ เรื่องของ 2 สามีภรรยาที่ตัดสินใจรับเด็กมาเลี้ยงหลังพยายามมีลูกหลายครั้ง จนวันนึงมีผู้หญิงปริศนาอ้างว่าเป็นแม่ตัวจริงของเด็ก และ บังคับให้พวกเขาคืนเด็กให้กับเธอ เว็บดูหนัง

รีวิว True Mothers

รีวิวหนังมาใหม่ ‘True Mothers’ เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายที่ชื่อ ‘Asa ga Kuru’ ของ ‘มิซึกิ สึจิมูระ’ ซึ่ง ผู้กำกับหญิงอย่าง ‘นาโอมิ คาวาเสะ’ ได้นำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากฉายในญี่ปุ่น ก็ได้รับกระแสวิจารณ์ที่ดีมาก จนได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัล ‘The 44th Japan Academy Film Prize’ ที่เทียบได้กับออสการ์ของญี่ปุ่นถึง 7 รางวัล และ ได้รับฉายใน ‘เทศกาลภาพยนตร์เมื่องคานส์ ประจำปี 2020’ ในสายประกวดหลัก พร้อมทั้งยังเป็นตัวแทนหนังญี่ปุ่นเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย

รีวิว True Mothers

เรื่องราวของครอบครัวของ ‘ซาโตโกะ’ และ สามี ที่อยากมีลูก แต่ต้องประสบปัญหาบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถมีลูกได้อย่างใจคิด ทั้งคู่จึงต้องพึงพา ‘เบบี้ บาตอง’ บ้านที่รับอุปการะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม และ ทำหน้าที่ส่งต่อลูกต่อให้กับพ่อแม่บุญธรรม โดยมีกฏว่า แม่ที่แท้จริงจะไม่มีโอกาสติดต่อกับลูกของตัวเอง และ ครอบครัวบุญธรรมอีกต่อไป โดยซาโตโกะได้รับ ‘น้องอาซาโตะ’ มาจาก ‘ฮิคาริ’ หญิงสาวมัธยมต้นที่เกิดอุบัติเหตุตั้งครรภ์ไม่พร้อม แต่วันหนึ่ง ฮิคาริตัดสินใจโทรไปหาซาโตโกะ เพื่อขอรับน้องอาซาโตะคืน

แม้ด้วยตัวอย่างหนัง และ เรื่องย่อ จะทำให้เราคิดไปว่า นี่อาจเป็นหนังญี่ปุ่นที่ขับเน้นดราม่า เค้นน้ำตาด้วยเรื่องราวประเด็นเกี่ยวกับครอบครัว และ ประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกบุญธรรม ซึ่งประเด็นนี้มันสามารถเป็นได้ทั้งพล็อตน้ำเน่าเมโลดราม่า ที่ว่าด้วยเรื่องของการแย่งชิงลูกระหว่างแม่แท้ ๆ กับแม่บุญธรรม หรือลึกซึ้งขึ้นอีกนิดด้วยประเด็นถกเถียงว่า ระหว่างแม่แท้ ๆ ที่ให้กำเนิด กับแม่ที่เลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ แม่แบบไหนคือแม่ที่แท้จริง (True Mother) หรือแม่แบบไหนมีความเป็นแม่ (Motherhood) มากกว่ากัน

แต่หนังเรื่องนี้คือหนังความยาว 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งที่ลึก และ หนักหน่วงกว่านั้นมาก เพราะตัวหนังยังลงรายละเอียด และ สะท้อนให้เห็นภาพของความเป็นแม่ที่ไม่ใช่แค่ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดู แต่กลับสะท้อนถึง “ความเป็นแม่” ที่จะใช้คำว่า “คือหัตถาครองพิภพจบสากล” อย่างนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะตัวหนังยังเล่าถึงความเป็นแม่ (และ ความเป็นหญิง) ที่มีอิทธิพล ส่งผลกระทบต่อคนคนหนึ่งที่เกิดมา และ อยู่ในสังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

รีวิว True Mothers

ในขณะที่ช่วงแรก คุณแม่ซาโตโกะ และ สามี รับน้องอาซาโตะมามาเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น ท่ามกลางครอบครัวชนชั้นกลางที่พอมีพอกิน ซาโตโกะเลี้ยงลูกอย่างอบอุ่น และ เข้าใจ ในขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่งก็คือ ฮิคาริ สาวน้อยวัยมัธยมต้น คุณแม่แท้ ๆ ของน้องอาซาโตะ ที่เกิดจากการมีอะไรกับคนรักโดยพลั้งเผลอจนเกิดปัญหา โดยที่แทบจะไม่มีใครเข้าใจเธอเลย ดูหนัง

สรุป True Mothers

รีวิวหนังมาใหม่ ซึ่งมันเป็นภาพสะท้อนที่ตัดกันอย่างรุนแรง ที่ทำให้เรามองเห็นอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของสถาบันครอบครัวต่อชีวิตคนคนหนึ่ง ระหว่างครอบครัวที่เลี้ยงดูแบบเข้าใจ ยอมรับในความเป็นตัวตน และ เข้าใจทุกคนในครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่มองว่าใครเป็นตัวถ่วงเหมือนครอบครัวซาโตโกะ ในขณะที่ครอบครัวของฮิคาริ คือมุมมองของครอบครัวที่มองว่าการตั้งครรภ์ก่อนกำหนดของเธอคือปัญหา ฮิคาริกลายเป็นตัวถ่วงที่สร้างความยากลำบากให้ครอบครัว

ต้องตามแก้ปัญหา ในที่สุด ปัญหาในบ้าน และ ความไม่เข้าใจของพ่อ และ แม่ จึงเหมือนเป็นการผลักไสไล่ส่งแบบกลาย ๆ ให้ฮิคาริออกไปเผชิญกับความเป็น “คุณแม่ไม่พร้อม” แต่เพียงลำพัง

รวมถึงยังสะท้อนภาพ ‘ความเป็นหญิง’ ในญี่ปุ่นที่ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามหรือน่ารักแต่เพียงอย่างเดียว ญี่ปุ่นดูเหมือนจะคล้ายกับหลายประเทศทั่วโลก ที่ผู้หญิงมักประสบปัญหาความลำบากในชีวิตมากมายหลายประการ ผู้หญิงหลายคนตั้งครรภ์

ไม่พร้อม ซึ่งบางคนต้องออกจากการเรียนกลางคัน หนีออกจากบ้านไปหางานรับจ้างเงินน้อยเพื่อเลี้ยงชีพ บางคนอาจไม่มีทางออกในชีวิตจนต้องกลายไปเป็นโสเภณี หลายคนก็ถูกเอารัดเอาเปรียบ แถมมีชีวิตครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ไม่เข้าใจ รวมถึงการต้องปิดบัง แอบซ่อนปัญหาเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นเพราะกลัวว่าจะเสียหน้า และ อับอาย ตามลักษณะนิสัยแบบสังคมญี่ปุ่น

ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งมันเกิดขึ้นจากการให้กำเนิด และ การเลี้ยงดูที่บิดเบี้ยว แต่นั่นก็จะโทษผู้หญิงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะมันก็เป็นข้อสังเกตของหนังอยู่เหมือนกัน ตรงที่ตัวหนังเน้นเล่าเรื่องของผู้หญิง (โดยเฉพาะชีวิตผู้หญิงญี่ปุ่น) เสียมาก จนทำให้ขาดมุมมองของผู้ชาย และ ความเป็นผู้ชายในฐานะผู้มีส่วนในความรับผิดชอบ ทั้งการเลี้ยงดูลูก และ การมีส่วนปกป้องสังคมไม่ให้คนไม่ว่าจะเพศไหน ต้องตกเป็นเบี้ยล่างหรือถูกเอาเปรียบในความแตกต่างทางเพศได้

แม้หนังเรื่องนี้ของผู้กำกับ ‘นาโอมิ คาวาเสะ’ จะมีความ ‘แมส’ มากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เธอเคยกำกับมาก่อนหน้านี้ แต่เรื่องนี้ก็ยังมีร่องรอยวิธีการเล่าเรื่องด้วยกลวิธีแบบหนังอินดี้อยู่พอสมควร ทั้งวิธีการเล่าเรื่องที่แช่มช้า (แต่ไม่เชื่องช้า)

การใช้ภาพธรรมชาติใน 6 เมืองสำคัญของประเทศญี่ปุ่น ทั้งป่าไม้ ภูเขา ทะเลอันสวยงามที่เสมือนเป็นตัวแทนเรื่องรา วและ ความรู้สึกของตัวละคร วิธีการเล่าเรื่องที่แหวกขนบทั้งการเปลี่ยนบางซีนให้กลายเป็นสารคดีสัมภาษณ์ที่ถือกล้อง Handheld รวมถึงการเล่าข้าม 2 เส้นเรื่องแบบไม่แคร์เวิลด์

ซึ่งแน่นอนว่าในทีแรกที่ดูอาจทำให้รู้สึกงงนิด ๆ ว่า ทำไมถึงเล่าเรื่องคนนั้นมากกว่าคนนี้ แต่สุดท้ายก็ทำให้เราหายงง เพราะตัวหนังกลาง และ ท้ายเรื่องกลับสามารถขมวดปม และ โยงใยเรื่องราวระหว่าง 2 ครอบครัว ภายใต้เรื่องราวของความเป็นแม่เข้ากันได้อย่างงดงาม และ สะท้อนเรื่องราวของสถาบันครอบครัว ความเป็นแม่ และ ความเป็นผู้หญิงได้อย่างหนักหน่วง งดงาม และ บาดลึกจนอาจน้ำตารื้น

แน่นอนว่าหลายคนอาจรู้สึกไปก่อนแล้วว่า หนังที่เกี่ยวกับประเด็นแม่ลูกบุญธรรม ก็คงไม่พ้นการแย่งชิงลูกกัน แต่ต้องบอกเลยว่า ‘True Mothers’ คือหนังที่ลงลึกให้เราได้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว รวมถึงความเป็นแม่ ที่ไม่ใช่มีแค่ทำหน้าที่ให้กำเนิดออกมา

หรือทำหน้าที่เลี้ยงดูให้เติบโตเพียงเท่านั้น แต่ระหว่างทางที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นมา การมอบความรัก ความเข้าใจ และ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเหมือนคนไร้ตัวตนให้กับลูก นั่นต่างหากคือสิ่งที่จะทำให้ครอบครัว และ สังคมแข็งแรง และ มีความสุข เว็บหนัง

รีวิว What She Likes

รีวิว What She Likes

รีวิว What She Likes

รีวิวหนังมาใหม่ สวัสดีครับ ณ ในปัจจุบันนี้ซีรีส์วายในเมืองไทยไม่ใช่กลายเป็นเรื่องปกติเป็นที่ยอมรับของสังคมไทยไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าไม่ไช่ของแปลกใหม่แต่ก็ถึงขั้นได้กลายเป็นละครหลังข่าวในช่องใหญ่มาแล้ว แต่ข้ามกลับไปที่ประเทศผู้ให้กำเนิดอย่างญี่ปุ่นที่มีมังงะประเภทบอยเลิฟ มีตัวละครผู้ชายรักกันให้ชวนจิ้นหรือภาษาญี่ปุ่นเรียก “ยาโยย” หรือที่สาวไทยยุค 90s เรียกว่าการ์ตูนวาย กลับก่อร่างสร้างตัวในฐานะมังงะนอกกระแสที่แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก และ ทีละน้อยมันก็กลายเป็นสื่อระดับแมสในหลายพื้นที่รวมถึงที่ประเทศไทยด้วยจึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ดูหนัง ‘What She Likes’ นิยายที่พูดถึงสาววาย และ การปกปิดตัวตนของเกย์ในสังคมโรงเรียนมัธยมญี่ปุ่น

รีวิว What She Likes

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ทีเซอร์ตัวอย่างหนังเรื่องนี้อาจจะแอบสับขาหลอกคนดูไปบ้างนิดหน่อย เพราะเนื้อแท้ และ แก่นแท้จริง ๆ ของ What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน ยอมรับเลยว่าค่อนข้างหนักหน่วง และ หม่นกว่าที่คิดเอาไว้พอประมาณทีเดียว นี่ไม่ใช่แค่หนังวัยใส ที่สาววายมาแอบชอบหนุ่มเกย์แบบโบ๊ะบ๊ะอะไร แต่มันกลับเป็นหนังญี่ปุ่นที่สะท้อนสังคมได้อย่างน่าทึ่ง กับความพยายามสื่อสารข้อความบางอย่างที่แม้แต่สังคมญี่ปุ่นเองก็ยังไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงออกมาได้เต็มคำ ดูหนังฟรี

รีวิว What She Likes

รีวิวหนังมาใหม่ What She Likes ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียน “นาโอโตะ อาซะฮาระ” ที่เคยถูกนำมาไปขึ้นจอเป็นมินิซีรีส์เบา ๆ ทางช่องเอ็นเอชเคมาก่อน เมื่อปี 2019 ก่อนจะถูกหยิบมาขึ้นจอใหญ่ในครั้งนี้ ด้วยฝีมือของผู้กำกับ “โชโกะ คูซาโนะ” ที่เขายังรับหน้าที่ดัดแปลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกเช่นเคย และ กลั่นกรองออกมาเป็นหนังญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความข้อความสำคัญ ๆ เกี่ยวกับการความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะการเปิดใจยอมรับเข้ากับสังคมอย่างเปิดเผย

รีวิว What She Likes

โดยหนังเปิดปมสำคัญที่ร้านขายมังงะในบ่ายวันหนึ่งเมื่อ มิอุระ สาวน้อยชมรมศิลปะที่เป็นสาววายเต็มขั้นได้แอบมาซื้อการ์ตูนบอยเลิฟ และ ได้พบกับอันโด (รับบทโดย คามิโอะ ฟูจู) เพื่อนร่วมชั้นของมิอุระจนเธอต้องขอให้เขาปกปิดความลับเรื่องความคลั่งใคล้มังงะบอยเลิฟของเธอ และ เพื่อให้แน่ใจว่าความลับของเธอจะไม่รั่วไหล มิอุระจึงวางแผนชวนอันโดออกเดต และ พาเธอเข้าสู่โลกของสาววายจนนานวันความรู้สึกของมิอุระก็ท่วมท้นจนเกิดเป็นความรัก โดยหารู้ไม่ว่าอันโดต้องทุกข์ทรมานกับการปกปิดตัวตนว่าเขาชอบผู้ชาย และ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมาโกโตะ (รับบทโดย สึบาสะ อิมาอิ) หนุ่มใหญ่ที่มีเมียกับลูกเป็นตัวเป็นตน

รีวิว What She Likes

จุดที่นับว่าเป็นหมัดเด็ดของหนังคงหนีไม่พ้นความขัดแย้งระหว่างแฟนตาซีของสาววายกับชีวิตอันหวานอมขมกลืนของเกย์หนุ่มที่ไม่อาจมีปากเสียงและบอกเรื่องราวของเขากับใครได้ ซึ่งเป็นมวลที่กระทบกับชีวิตตัวละครตลอดทั้งเรื่อง แต่แทนที่หนังจะออกมาฟูมฟายหรือจิ้นกระจายจนเละเทะ คุซาโนะ โชโกะ ผู้กำกับจาก ‘Bitter Sweet’ กลับบาลานซ์ซีนโรแมนติกชวนอมยิ้มระหว่างมิอุระกับอันโด ซีนดราม่าหนัก ๆ ในความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างอันโดกับมาโกโตะ และซีนชวนช็อกตอนท้ายเรื่องไปสู่บทสรุปที่สวยงามได้อย่างลงตัวมาก ๆ และในขณะเดียวกันมันก็ทำให้สารของเรื่องราวถูกขับเน้นออกมาได้อย่างหนักแน่นอีกด้วย

อีกจุดที่หนังทำได้ดีมาก ๆ คือการจำลองภาพและทัศนคติของคนญี่ปุ่นต่อเกย์ ซึ่งการเอามิอุระที่เป็นสาววายมาเป็นตัวจุดประเด็นก็นับว่าชาญฉลาดมาก ๆ จนทำให้เกิดซีนสุดเจ็บปวดและอึดอัดอย่างฉากทำการบ้านคณิตศาสตร์หรือการเอารูปปั้นเทพต่าง ๆ มาจิ้นกันในทำนองใครรุกใครรับโดยไม่รู้เลยว่าคนที่ฟังเธออยู่อย่างอันโดจะรู้สึกอย่างไร

หรือการเอาความสัมพันธ์ระหว่างมาโกโตะกับอันโดมาพูดถึง ‘ความปกติ’ ในความสัมพันธ์ก็นับว่าชวนคิดและคำนึงถึงความเจ็บปวดที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ไม่น้อย มีคำถามหนึ่งที่อันโดถามมาโกโตะว่าหากเขากับภรรยาของมาโกโตะจมน้ำเขาจะเลือกช่วยใคร ซึ่งความเงียบของมาโกโตะก็เป็นคำตอบได้ดีที่สุดถึงความลังเลของเขา เพราะจะเลือกทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องเลือกซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีคนที่เจ็บปวดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ด้านนักแสดงต้องยอมรับว่าทั้ง อันนา ยามาดะ และ คามิโอะ ฟูจู มีเคมีบนจอที่ลงตัวมาก ๆ อย่างยามาดะเองก็หมั่นตกให้หนุ่ม ๆ คลั่งไคล้เธอได้ไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งเรื่อง และพอถึงซีนดราม่าเราก็พร้อมจะเสียน้ำตาไปกับเธอได้ ด้าน คามิโอะ ฟูจู ก็พลิกบทบาทจากนักเลงเท่ ๆ ใน ‘High and Low The Worst’ มาสู่บทเกย์หนุ่มที่เหมือนหาที่ยืนตัวเองในสังคมไม่ได้จนเราอดรู้สึกเห็นใจและเศร้าบาดลึกไปกับเขาไม่ได้เลย

What She Likes ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียน “นาโอโตะ อาซะฮาระ” ที่เคยถูกนำมาไปขึ้นจอเป็นมินิซีรีส์เบา ๆ ทางช่องเอ็นเอชเคมาก่อน เมื่อปี 2019 ก่อนจะถูกหยิบมาขึ้นจอใหญ่ในครั้งนี้ ด้วยฝีมือของผู้กำกับ “โชโกะ คูซาโนะ” ที่เขายังรับหน้าที่ดัดแปลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกเช่นเคย และกลั่นกรองออกมาเป็นหนังญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความข้อความสำคัญ ๆ เกี่ยวกับการความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะการเปิดใจยอมรับเข้ากับสังคมอย่างเปิดเผย

ในช่วงแรก ๆ ของหนังอาจจะปูเรื่องมาด้วยทิศทางผ่อนคลาย ใส่ความใสและความน่ารักของวัยรุ่นเข้ามากำลังพอดี แต่เมื่อจุดเครื่องติดและย่างเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังแล้ว หนังค่อย ๆ กดอารมณ์ผู้ชมไปทีละน้อย ผ่านภาวะและความรู้สึกของตัวละครที่เกือบจะเข้าถึงแก่นแท้ได้เลย แม้ว่าจะน่าเสียดายที่การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ ยังค่อนข้างขาดความกระชับ และเล่าไปได้อย่างช้าเนิบเกือบจะน่าเบื่อไปในหลายจุด เพราะหนังก็ยังคงมีความเป็นญี่ปุ่นถูกใส่เข้ามาตามสูตร หากสามารถทำให้กระชับขึ้นกว่านี้สักหน่อย น่าจะกลมกล่อมกำลังพอดี หนังฟรี

แต่เอาจริง ๆ แม้ว่าข้อความเกี่ยวกับเรื่องความหลากหลายทางเพศของหนังเรื่องนี้นั้น จะพยายามเค้นออกมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าหนังยังไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้สุดเต็มกำลัง ยังใช้วนอยู่ในพื้นที่เซฟโซนของตัวเองในบางจุด ทำให้หนังที่น่าจะไปสุดได้กว่านี้ ยังรู้สึกก่ำกึ่งและครึ่ง ๆ กลางอยู่ไปหน่อย แต่อย่างน้อย หนังก็ยังมีข้อดีมากกว่าข้อด้อย โดยเฉพาะแนวทางในการสร้างความเชื่อมโยงในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างชัดดี

สรุป What She Likes

รีวิวหนังมาใหม่ การแสดงของนักแสดงก็ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ช่วยบัลลานซ์ตัวหนังเอาไว้ได้ “ฟูจู คามิโอะ” แบกรับหนังเรื่องนี้ในด้านความสับสนและการค้นหาตัวเองที่ออกมาจากอินเนอร์ทางการแสดงของเขาที่น่าพอใจ ในขณะที่ “อันนะ ยามาดะ” มาเป็นตัวแทนในด้านความสดใสของเขา ที่ต้องแปดเปื้อนกับผลจากการกระทำของอีกตัวละคร ที่เมื่อทั้งคู่มาอยู่ด้วยกัน กลายเป็นการแสดงที่เกื้อหนุนกันดีและประคับประคองหนังไปได้ตลอดทาง

แอบคิดอยู่เล็ก ๆ เหมือนกันว่า ถ้าหากว่า What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน ไม่มีการใส่อินเนอร์ความกระจ่างใสเข้ามาสอดแทรกในหนังเรื่องนี้ ก็น่าจะทำให้หนังเรื่องนี้เป็นดราม่าที่หม่นจัด ๆ ไม่เบาเลยทีเดียว และอาจจะหม่นหมองเกินไปสักหน่อย แต่จังหวะที่หนังเลือกใช้เข้ามาทั้งหมดก็ถือว่ากำลังพอเหมาะพอดี ไม่เบาไปและก็ไม่หนักเกินไป ด้วยสูตรสำเร็จตามแบบฉบับญี่ปุ่น แต่หนังก็ทิ้งข้อความเอาไว้ในผู้ชมได้คิดตามอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของเรื่องนี้ ที่แอบขนลุกกับแนวคิดของตัวละครทั้งคู่ไม่เบา

สรุปแล้วหนัง ‘What She Likes’ สร้างเซอร์ไพรส์ให้ผมไม่น้อยเลยครับ เพราะยอมรับว่าหนังโรแมนติกวัยรุ่นของญี่ปุ่นไม่ใช่แนวที่ผมสนใจเท่าไหร่ แต่จากบทหนัง การแสดงและองค์ประกอบต่าง ๆ ของหนังก็ทำให้ยากล่ะครับที่ใครได้ดูแล้วจะไม่ตกหลุมรักมัน ดูหนังออนไลน์

จุดเด่น

  • เป็นหนังโรแมนติกที่ดูได้ทั้งสายวายและสายโรแมนติกดรามาหนัก ๆ
  • เคมีระหว่าง อันนา ยามาดะ กับ คามิโอะ ฟูจู เข้ากันมาก แท็กทีมกันสร้างความใจเจ็บให้คนดูกันทั้งเรื่อง
  • งานภาพละมุนตามาก ๆ โลเคชันที่เลือกถ่ายก็แปลกใหม่ ได้มุมมองและสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่จะต้องไปเช็กอินให้ได้

จุดสังเกต

  • หนังมีความดรามาหนัก ๆ อาจไม่ถูกใจสายโรแมนติกแบ้ว ๆ หรือหวังจะได้เห็นผู้ชายจิ้นกันนัก
  • เตือนไว้ก่อนว่าหนังมีซีนตึงเครียดอยู่พอสมควร และอาจมีพฤติกรรมบางอย่างที่ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ

เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้ว What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน นับว่าเป็นดราม่าที่มีประเด็นเกี่ยวกับการเปิดรับความหลากหลายทางเพศที่อาจจะยังไม่ได้เปิดทางออกได้สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ค่อย ๆ พยายามให้สังคมเปิดใจและกล้าที่พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเราทราบกันดีว่า สังคมญี่ปุ่นยังไม่ได้เปิดรับกับความหลากหลายมากนั้น แต่ปัจจุบันยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว และทุก ๆ สังคมก็ย่อมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและอยู่ร่วมกับความหลากหลายไร้ขอบเขต ที่เป็นโจทย์ที่หนังเรื่องนี้พยายามจะสื่อสารออกมานั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง What She Likes ฉันวาย นายเกย์ ขอหัวใจอย่าเซย์โน

ประเภท: ดราม่า / โรแมนติก
ผู้กำกับ: โชโกะ คูซาโนะ
นำแสดงโดย: ฟูจุ คามิโอะ, อันนะ ยามาดะ
ความยาว: 121 นาที
กำหนดฉายในไทย: 19 พฤษภาคม 2022 (ในโรงภาพยนตร์)