รีวิว Aladdin
รีวิว Aladdin ทำออกมาดีเกินคาดมากกก เลิฟมากกกกไม่เผื่อใจ อะลาดิน (Aladdin) กลายเป็นหนังดิสนีย์เปลี่ยนการ์ตูนมาเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง (Live Action) อีกเรื่องที่คุณจะตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง ตั้งแต่ นักแสดง คอสตูม ฉากซีจีอลังการ เพลงเพราะ ลิงอาบู ยันพรมวิเศษ
พันพันราตรีที่จีนี่ไม่เจอใครๆ บอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้เห็นทีเซอร์ และ นักแสดงก็แอบลุ้นว่าจะไปรอดมั้ย แถม วิล สมิธ (Will Smith) กับบทจีนี่ตัวฟ้าก็ออกมาแปลกๆ
แต่พอได้ดูเต็มๆแล้วเปลี่ยนความคิดจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที หนังทำออกมาดีมากอิ่มเอมใจอาหรับราตรี บรรยากาศชวนให้อยากระบำหน้าท้องไปตลอดเรื่อง ทุกอย่างมันลงตัว ทั้งบท นักแสดง เพลง คอสตูม ท่าเต้นโมเดิร์น มุขตลกที่ใส่เข้ามาได้ฮาก๊าก รวมรีวิวหนัง
เปลี่ยนการ์ตูนที่เราคุ้นกันดีวัยเด็กทำออกมาได้อย่างมีสีสันมีชีวิตชีวา ตัวบทเคารพต้นฉบับปรับออกนิดเติมเข้ามาหน่อยกลายเป็นหนังที่สมบูรณ์ สมเหตุสมผลมากขึ้น
ระหว่างดูภาพจำจากเวอร์ชั่นการ์ตูนโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ฉากไหนที่เราเคยชื่นชอบก็มีให้ฟิน ไม่ว่าจะเป็นฉากแห่เจ้าชายที่สุดของความอลังการ ฉากคู่รักท่องโลกบนพรมวิเศษฯ แถมบางส่วนเพิ่มเข้ามาก็ทำได้ดีไม่ขัดหูขัดตา ซีจีดีงามเป็นอย่างมาก คอสตูมก็เริ่ดสมราคาดิสนีย์ไม่มีคำว่าผิดหวัง
รีวิว Aladdin เนื้อเรื่อง
อะลาดิน เป็นจอมโจรหนุ่มจิตใจงามที่อาศัยอยู่ในนครอัคราบาห์ของอาหรับ อยู่ร่วมกับ ลิงสัตว์เลี้ยงนาม อาบู ได้ช่วยชีวิตและผูกมิตรกับเจ้าหญิงจัสมินที่แอบหลบหนีออกจากวัง เพื่อออกสำรวจชีวิต เพราะเบื่อกับชีวิตที่ถูกประคบประหงม ในขณะเดียวกัน มหาเสนาบดีจาฟาร์มีแผนการที่จะโค่นล้ม สุลต่าน บิดาของเจ้าหญิงจัสมิน เขาออกตามหา ตะเกียงวิเศษ ที่ถูกซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งสิ่งมหัศจรรย์
เพื่อจะให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง ซึ่งมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรเท่านั้น เรียกว่า “เพชรในตม” ซึ่งคืออะลาดิน อะลาดินซึ่งถูกจับตัวไว้ได้ตอนลอบเข้าไปในวัง เพื่อพบเจ้าหญิงจัสมิน จาฟาร์หลอกล่อให้เขาไปเอาตะเกียงมา
แล้วจะปล่อยให้เป็นอิสระ ภายในถ้ำอะลาดินได้ช่วยเหลือ พรมวิเศษ ไว้ และได้ตะเกียง เขามอบมันให้กับจาฟาร์ ก่อนจะโดนทรยศทิ้งไว้ในถ้ำ โชคดีที่อาบูขโมยตะเกียงโยนกลับมาให้เขาได้ รีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่
อะลาดินที่ติดอยู่ในถ้ำและเผลออัญเชิญจีนี่ที่อาศัยอยู่ในนั้น ซึ่งมี อำนาจทุกอย่าง โดยไม่รู้ตัวผ่านการถูตะเกียง จีนี่อธิบายว่าเขามีพลังมากพอที่จะให้พร อะลาดิน สามข้อตามที่ปรารถนา อะลาดินใช้อุบายหลอกให้ จีนี่ออกมาจากถ้ำได้ โดยไม่ใช้พร
หลังจากนั้น อะลาดินจึงใช้พรขอความต้องการอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยการเป็นเจ้าชายเพื่อสร้างความประทับใจให้กับเจ้าหญิงจัสมิน และสัญญาว่าจะใช้ความปรารถนาข้อสุดท้ายของเขาเพื่อปลดปล่อยจีนี่จากการถูกจองจำ
เมื่อเขาพาเธอขึ้นไปนั่งบนพรมวิเศษเพื่อแสดงให้เธอเห็นโลกที่เธออยากเห็นมาตลอด ในขณะที่ จีนี่ออกไปเดทกับดาเลีย นางกำนัลของเจ้าหญิงจัสมิน
แต่เมื่อเจ้าหญิงจัสมินจับได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของอะลาดิน เขาจึงโน้มน้าวเธอว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นเจ้าชายและที่แต่งตัวเหมือนยาจก ก็เพื่อทำความรู้จักกับชาวอัคราบาห์ก่อน จาฟาร์ที่รู้เรื่องนี้จึงขู่ให้เขาบอกที่ซ่อนของตะเกียง และโยนเขาลงไปในทะเล
อะลาดินจึงถ่วงเวลาโดยการเยาะเย้ย จาฟาร์ ว่ายังเป็นรองจีนี่ ในแง่ของพลังทั้งหมด เพื่อจะนั้นให้เขาใช้พรความปรารถนาข้อสุดท้าย ให้กลายเป็นสิ่งที่ทรงอำนาจที่สุดในจักรวาล แต่เนื่องจากพื้นที่ในตะเกียงมีไว้สำหรับจีนี่ตนเดียว จีนี่จึงได้รับอิสระ และเปลี่ยนจาฟาร์
เป็นจีนี่ซะเอง เพราะไม่มีเจ้านาย จึงถูกจองจำไว้กับตะเกียงโดยลากอิอาโกเข้าไปข้างในกับเขาด้วย จีนี่โยนตะเกียงของจาฟาร์กลับไปยังถ้ำแห่งสิ่งมหัศจรรย์ และ อะลาดินทำตามสัญญา โดยใช้พรความปรารถนาสุดท้ายของเขาเพื่อปลดปล่อยจีนี่
และทำให้เขาได้เป็น มนุษย์ สุลต่านออกประกาศแก่ชาวเมืองว่า เจ้าหญิงจัสมีนจะเป็นผู้ปกครองคนต่อไป และบอกเธอว่าอะลาดินเป็นคนดี และคู่ควรกับเธอ และจัสมินได้กลับมาอยู่กับอะลาดิน ในขณะที่จีนี่แต่งงานกับดาเลีย รีวิวหนัง
และออกเดินทางไปสำรวจโลกกว้างและเริ่มต้นครอบครัวกับลูกชายและลูกสาว โอมาร์ และ เลียน ส่วนอะลาดิน และสุลต่านจัสมิน ก็แต่งงานแล้วเริ่มชีวิตใหม่อย่างมีความสุขนับตั้งแต่นั้น
นักแสดง
หนัง Aladdin Live Action พล็อตเรื่องจะมีการผสมผสานระหว่าง อะลาดิน เวอร์ชั่นการ์ตูนและเรื่องราวจาก 1,001 Arabian Nights (นิทานอาหรับราตรี) โดยผู้กำกับคือ Guy Ritchie ที่เคยกำกับหนัง Sherlock Holms (ที่แสดงนำโดย Robert Downy JR.) และ John August มาทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์
สำหรับเหล่านักแสดงโดยรวมก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีเลยทั้ง มีนา แมสโซด์ ที่รับบทอลาดินได้อย่างมีเสน่ห์ ส่วน นาโอมิ สก็อตต์ ก็สวยวัวตายควายล้มทุกช็อตที่ปรากฏตัวจริงๆ
ส่วนคนที่น่าจะรับแรงกดดันสุดๆ อย่าง วิลล์ สมิธ ก็ขอปรบมือชื่นชมด้วยใจจริง ทุกฉากที่มียักษ์จินนี่ วิลล์ สมิธิไม่เคยทำให้ผิดหวัง ความทะเล้น พลังงานในการเต้นที่ล้นเหลือ ไปจนถึงฉากแสดงอารมณ์ไม่มีขาดตกบกพร่อง และน่าจะได้เข้าชิงลูกโลกทองคำสาขานักแสดงตลกแน่ๆ
ใครคิดถึงการ์ตูนต้นฉบับรับรองว่า Aladdin ไม่ทรยศกับหนังในดวงใจแน่นอน ส่วนแฟนๆรุ่นใหม่ก็น่าจะถูกใจกับความจัดจ้านของงานสร้างและเรื่องเล่าที่ร่วมสมัยเอามากๆ นับเป็นหนังไลฟ์แอ็คชั่นจากดิสนีย์ที่สร้างสรรค์มากๆและบันเทิงสุดๆไปเลย รีวิวหนังสนุกแนะนำ
Aladdin พระเอกของเรื่องรับบทโดย Mena Massoud นักแสดงหนุ่มชาวอียิปต์ ที่เคยฝากผลงานไว้ในซีส์เรื่องดัง Open Heart
Jasmine แสดงโดย Naomi Scott ที่เคยแสดงหนังซูเปอร์ฮีโร่ “Power Rangers” โดยรับบทเป็น Pink Ranger นั่นเอง
Genie แสดงโดย Will Smith นักแสดงชายมากฝีมือจะมารับบทเป็นเจ้ายักษ์ตัวสีฟ้าในตะเกียง
หนังที่สร้างจากการ์ตูน
Aladdin นับเป็นหนังไลฟ์แอ็คชั่นที่สร้างจากการ์ตูนดังของดิสนีย์เรื่องที่ 2 ของปีตามหลัง Dumbo การเรียกใช้บริการ กาย ริชชี่ มาเป็นผู้กำกับนับว่าเป็นก้าวที่กล้าหาญไม่น้อยเลย ด้วยว่าหนังกาย ริชชี่ แทบไม่เคยมีหนังครอบครัวในประวัติการทำงานเลย
แถมมุกส่วนใหญ่ยังดูผู้ใหญ่ไม่น้อย จนหลายคนกังวลว่า Aladdin ฉบับนี้จะออกมาเละเทะไปกันใหญ่ แถมยังหมั่นสร้างความตระหนกให้แฟนการ์ตูนต้นฉบับทั้ง ภาพโปรโมตที่วิลล์ สมิธ
ปรากฎกายด้วยสีผิวปกติจนเกิดเสียงครหาไปทั่วโซเชียลมีเดีย กระทั่งได้ปล่อยตัวอย่างจริงออกมานั่นแหละถึงพอเบาใจกันได้หลังได้เห็นฉากขี่พรมวิเศษสุดโรแมนติกในความทรงจำ
แต่หากคิดว่า คนอย่าง กาย ริชชี่ จะคัดลอกการ์ตูนมาแบบหน้าด้านๆ ขอให้คิดใหม่เลย เพราะบทภาพยนตร์ฉบับนี้ กล้าหาญถึงขั้นใส่มุกตลกกาวๆแต่ไม่หยาบคายเข้ามาให้คนดูผู้ใหญ่ได้หัวเราะกันก๊ากใหญ่ๆ
คือความเฟมินิสต์ของเรื่องราวโดยเฉพาะเจ้าหญิงจัสมินที่ฉบับนี้คือกล้าเสนอตัวปกครองประเทศในฐานะสุลต่านเรียกได้ว่าตอบรับกระแสพลังหญิงแบบสุดโต่งจนน่าจะเป็นแรงผลักดันที่ดีให้สาวน้อยทั้งหลายมีโรลโมเดลดีๆ ได้อย่างน่าชื่นชม
ถือว่าความพยายามของดิสนีย์ที่พยายามสร้างความเท่าเทียมก็ตอบโจทย์กับการดัดแปลงจนเกิดเป็น Aladdin ฉบับนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับวิสัยทัศน์อีกข้อของกาย ริชชี่ คือการตระหนักรู้ว่าในเมื่อหนังที่ทำมีความเป็นแฟนตาซีเลยไม่ได้ยึดตรรกะกับโลกจริงและสร้างความมหัศจรรย์จากการผสานวัฒนธรรมโดยเฉพาะการนำองค์ประกอบแบบหนังบอลลีวูดมาใช้สำหรับฉากมิวสิคัลที่ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการทุกฉาก แถมยังเพิ่มการผสานวัฒนธรรมได้อย่างแปลกตา
เช่นฉากเปิดตัวเจ้าชายอาลี ที่ผสมทั้งนักเต้นระบำหน้าท้อง นักเต้นคาร์นีวัล ไปจนถึงเบรคแดนซ์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ส่วนฉากมิวสิคัลอื่นๆ ก็เรียกได้ว่า ริชชี่ เข้าใจความเป็นหนังผสานงานออกแบบงานสร้างสุดอลังการและงดงามโดยยังคงมนต์ขลังจากการ์ตูนต้นฉบับไว้ได้ไม่ตกหล่นเลย
แถมทั้งยังมีการทำงานในส่วนภาคดนตรีร่วมกับ อลัน เมนเคน ที่เคยทำดนตรีให้กับ Aladdin ฉบับอนิเมชันเมื่อปี 1992 ให้ดัดแปลงเพลงจากต้นฉบับให้มีความร่วมสมัยทั้งใส่กลิ่นอายความเป็นพอพและฮิพฮอพได้อย่างครื้นเครง เรียกได้ว่าในพาร์ตยากสุดๆได้มือดีมาดูแลก็ทำผลงานได้ยิ่งกว่าหายห่วงเลย
รีวิว Aladdin บทสรุปของเรื่อง
จุดที่ผู้รีวิวชอบที่สุดก็คือการส่งเสริมการเป็น Feminist ของเจ้าหญิง Jasmine ได้อย่างลงตัว คนดูอย่างเราไม่ได้รู้สึกฝืนหรือยัดเยียดมากจนเกินไป และบวกกับที่จุดนี้มีการปูมาตั้งแต่เวอร์ชันแอนิเมชันอยู่แล้ว การได้เห็นเจ้าหญิง Jasmine
ลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อตัวเองและบ้านเมืองจึงเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆ และผู้รีวิวก็รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงหลายๆ คนก็คงจะได้แรงบันดาลใจจากเจ้าหญิง Jasmine เช่นกันค่ะ
โดยภาพรวมแล้ว Aladdin ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งของ Disney
ที่ทำออกมาเป็น Live-Action ได้อย่างพอดี ลงตัวและน่าประทับใจมากๆ หากใครยังไม่ได้ดู ผู้รีวิวก็อยากขอแนะนำให้ทุกคนลองไปดูกันนะคะ โดยเฉพาะเมื่อ Disney ยังคงมีโปรเจ็กต์ในการนำแอนิเมชันมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ Live-Action อีกมากมายที่กำลังรอต่อคิวให้เราได้ชมกันอยู่ค่ะ
ความรู้สึกหลังรับชม
ก่อนอื่นคงจะต้องพูดถึงในส่วนของบทก่อน เหมือนกับภาพยนตร์ Live-Action ทั่วๆ ไป Aladdin ก็ยังคงไม่ได้แตกต่างอะไรมากในส่วนของบทค่ะ เพราะเวอร์ชันภาพยนตร์นั้นก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเนื้อหาใดๆ เลยเช่นกัน แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับผู้รีวิวนะคะ
เพราะเราก็แค่อยากเห็นแอนิเมชันและตัวละครที่เราชื่นชอบได้มีโอกาสกลับมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง แต่เราไม่ได้อยากให้เขาเปลี่ยนเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกให้เข้ากับยุคสมัยแต่อย่างใด แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าตั้งแต่เวอร์ชันแอนิเมชันที่เราได้มีโอกาสเห็นเจ้าหญิง Jasmine
ไม่ยอมจำนนให้กับราชประเพณีและธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ในเวอร์ชันภาพยนตร์ก็นำจุดนี้มาขยายให้ใหญ่ขึ้นไปอีกค่ะ แต่นอกจากตรงจุดนี้ เนื้อเรื่องก็ยังเป็นเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกที่เราคุ้นเคยกันดีค่ะ
ส่วนตัวผู้รีวิวมองว่า จุดที่นำเรื่องของเจ้าหญิง Jasmine มาขยายนั้นเป็นการเกลี่ยบทให้กับตัวละครได้ดีมากเลยล่ะค่ะ แถมจุดนี้ยังเป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมที่เป็นผู้หญิงหลายๆ
คนประทับใจที่ได้เห็นเจ้าหญิงที่ตนชื่นชอบลุกขึ้นมาสู้และไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจปิตาธิปไตยของผู้ชายในช่วงเวลานั้นอีกด้วยค่ะ แถมเพลง Speechless ที่เป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อตัวละคร Jasmine โดยเฉพาะก็ยังดังเป็นพลุแตกอีกด้วย มาแรงแซงหน้าเพลงประจำเรื่องอย่าง The Whole New World ไปเลยค่ะ